"เสียใจกับเรื่องคุณพ่อคุณแม่คุณด้วยนะคะ และก็ดีใจด้วยที่คุณยังได้เจอครอบครัวคนดี ๆ อย่างม่อนน่ะ"
เรวิกาเอ่ยออกไปพร้อมรอยยิ้มอย่างจริงใจ ให้อีกคนยิ้มอ่อนกลับมา
"อืม มันผ่านมาหลายปีแล้วตอนนี้ฉันก็โอเคแล้วล่ะ ก็คงได้แต่คิดถึงท่านแต่ก็ไม่ได้ร้องไห้เหมือนตอนนั้นแล้ว คนเราเมื่อถึงเวลาอะไรที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดมันก็เกิดได้นะว่ามั้ย"
"นั่นน่ะสิ คำพูดที่ว่าทุกคนเกิดมาล้วนกำลังเดินถอยหลังสู่วันตาย เพียงแค่ใครจะถึงช้าหรือเร็วมันเป็นแบบนั้นจริง ๆ"
คำพูดของนางแบบคนสวย ทำให้กัณภัคถึงกับหันมามอง พร้อมทำสีหน้าประหลาดใจ
"โห นี่ถ้าไม่รู้ว่าคุณเป็นนางแบบนะ คำพูดเมื่อกี้ ฉันนึกว่าฉันกำลังสนทนาธรรมกับแม่ชีอยู่นะเนี่ย"
"นี่ มันไม่เกี่ยวกับอาชีพสักหน่อย เห็นฉันเป็นแบบนี้ ฉันเคยไปบวชชีพราหมณ์ปฏิบัติธรรมมาหลายครั้งแล้วนะจะบอกให้ คุณอย่ามามองกันแค่ภายนอกสิ"
สีหน้ายุ่งคิ้วขมวด คล้ายกำลังไม่พอใจของคุณนางแบบ ทำให้กัณภัคอดขำไม่ได้
"เดี๋ยว ๆ คุณอย่าเพิ่งต่อว่ากันสิ ฉันไม่ได้หมายความว่าจะดูคุณแค่เปลือกนอกนะ ฉันแค่แปลกใจแค่นั้นไม่คิดว่าคนดังอย่างคุณก็คิดเรื่องแบบนี้น่ะ นี่ฉันถามได้มั้ย อย่างคุณนี่เรื่องเงินคงไม่ได้เดือดร้อนหรอกใช่มั้ย แล้วทำไมคุณถึงมาสมัครรายการนี้ล่ะที่จริงฉันไม่ได้สงสัยแค่คุณหรอกนะ แต่ในฐานะที่เราเป็นบัดดี้กันตอนนี้ ฉันขอถามคุณละกันคุณจะเอาเงินไปทำอะไรเหรอ"
กัณภัคเอ่ยถามสิ่งที่คาใจ ตั้งแต่รู้ว่าเหล่าคนดังก็มาสมัครเล่นเกมท้าทายความลำบากแบบนี้ด้วย แถมยังมีความสามารถผ่านมาจนรอบสุดท้ายกันได้นี่ ยอมรับว่าเธออดทึ่งไม่ได้เหมือนกัน
"เรื่องเงินฉันไม่ได้เดือดร้อนอย่างที่คุณเข้าใจนั่นแหละค่ะ เงินรางวัลมันเป็นแค่ผลพลอยได้ถ้าเราชนะเกมนี้ ได้เงินมาฉันก็คงเก็บเอาไว้ไปทำบุญน่ะ สิ่งสำคัญที่ฉันมาสมัครเพราะฉันอยากได้เพื่อน อยากรู้จักคนที่มีความชอบในการลุยป่าเขาแบบไม่กลัวความลำบาก แบกเป้ใบเดียวแล้วตะลอนไปเที่ยวทั่วทุกที่ คือคุณก็รู้ใช่มั้ยว่าผู้หญิงที่ลุย ๆ และไม่กลัวความลำบากน่ะมันค่อนข้างหายากนะ"
กัณภัคพยักหน้าเข้าใจและเห็นด้วย
"เวลาอยากไปเที่ยวเฉพาะกลุ่มคนที่มีความชอบคล้ายกัน หรือสไตล์เดียวกันมันจะสนุกสุด ๆ เลยนะคุณ อีกอย่างถ้าไปกับเพื่อนที่มีทั้งชายหญิงรวมกันมันก็ดูแบบยังไงล่ะ คือผู้ชายน่ะยังไงก็ยากที่จะไว้ใจได้ ไปเที่ยวแต่ต้องคอยระวังตัวอะไรแบบนี้มันก็สนุกไม่สุดน่ะ คุณเข้าใจมั้ย"
"อือหึ โอเคสรุปคือคุณมาสมัครเล่นเกมเพราะอยากมีเพื่อนที่มีความชอบคล้ายกัน แล้วอย่างคุณเนย่าคุณแบมพี่หมอกิ่งพี่อัญพี่นันท์ คิดเหมือนกันกับคุณมั้ย เพราะถ้าพูดเรื่องฐานะฉันว่าพวกคุณน่าจะพอตัวกันทุกคนนะ อย่างพี่ณัฐฉันเคยถามไปแล้วล่ะ พี่เขาบอกอยากได้เงินไปลงทุนว่างั้นนะ"
"พี่อัญกับพี่หมอฉันยังไม่เคยถามเรื่องนี้นะ แต่พี่นันท์แกก็คิดคล้ายฉันกับเนย่า แบมก็เหมือนกันบางทีเราก็อยากไปเที่ยวลุย ๆ แบบเฉพาะผู้หญิงบ้างอะไรประมาณนั้น และเกมนี้มันท้าทายน่าสนุกจะตายใครจะพลาดล่ะ คุณรู้มั้ยฉันนะต้องให้พ่อสอนวิธีก่อไฟแบบไม่พึ่งไฟแชค กว่าจะทำได้ก็มือพองไปหลายวันแต่มันสนุกดีนะฉันชอบ แล้วคุณล่ะอยากได้เงินไปทำอะไรลงทุนธุรกิจเหรอ"
"ฉันกับเจ้าม่อนวางแผนไว้อยากจะเปิดร้านกาแฟน่ะ และก็อยากทำโฮมสเตย์เล็ก ๆ สัก10 หลังไว้ให้คนมาพัก พอดีพ่อแม่ฉันท่านซื้อที่ไว้แปลงหนึ่ง แล้วบังเอิญว่าตอนนี้เมืองมันขยายออกไปแถวที่ดินของฉัน ก็เลยคิดว่าถ้าทำอะไรให้มันเป็นจุดสำหรับพัก หรือร้านขายอาหารเครื่องดื่มน่าจะไปได้ดี พอเจ้าม่อนมันเห็นข่าวในเวบเพจมันเลยชวนฉันมาสมัคร ก็ไม่คิดว่าความสามารถที่ได้มาด้วยความลำบากตอนเด็ก มันจะนำมาใช้จนผ่านเข้ารอบสุดท้ายนี่ได้เหมือนฟลุ๊คน่ะ"
กัณภัคเล่าให้อีกคนฟังขำ ๆ ก็ไม่คิดว่าจะชนะคนที่มาสมัครเป็นร้อยคนมาได้
"อืม บ้านคุณอยู่ที่ไหนนะ"
"ขอนแก่นน่ะ"
"ขอนแก่นเดี๋ยวนี้เจริญพอ ๆ กับกรุงเทพรอบนอกเลยนี่ ฉันเคยไปทำงานหลายครั้งสนามบินก็มีไปมาก็สะดวก ฉันว่านะกิจการคุณน่าจะรุ่งถ้าที่มันติดถนนใหญ่นะ"
"ฉันก็หวังอย่างนั้นแหละ ตอนนี้ขอแค่ให้พวกเราชนะเกมนี้ได้ ฝันฉันคงเป็นจริง"
"ฉันเชื่อว่าทีมพวกเราจะผ่านมันไปได้ เพราะแต่ละคนก็มีความสามารถเอาตัวรอดได้ เอาไว้ฉันจะไปพักที่โฮมสเตย์ของคุณนะคะว่าที่เจ้าของกัณภัคโฮมสเตย์ " คิก ๆ
"หืม กัณภัคโฮมสเตย์เหรอ เข้าท่าเหมือนกันนะเนี่ย ฉันยังไม่ได้คิดเรื่องชื่อเลยนะ อืมไม่เลวงั้นฉันจะเอาชื่อนี้แหละ ขอบคุณนะคะคุณบัดดี้"
มือเรียวเผลอยื่นไปบีบคางของนางแบบ ที่วันนี้มาในแนวหน้าสดไร้เครื่องสำอางกันทุกคน เห็นแบบนี้ต้องยอมรับว่าแต่ละคนหน้าใสกิ๊กจริง ๆ เห็นในหนังสือแต่งหน้าซะจนไม่กล้าคิด ว่าถ้าไร้เครื่องสำอางพวกนั้นใบหน้าจริงของเหล่าดารานางแบบจะเป็นยังไง ตอนนี้เธอได้เห็นกับตาแล้วไม่ว่าจะเรวิกา เนย่าแม้กระทั่งนางร้ายคนสวยอย่างชาลิศา ใบหน้าผิวพรรณแต่ละคนดูดีไม่ต่างจากที่เห็นในทีวีเลย
คนที่ถูกแตะต้องสัมผัสอย่างไม่ทันตั้งตัว ก็แอบชะงักไปเหมือนกัน สัมผัสจากปลายนิ้วคล้ายมีกระแสบางอย่างแล่นฉิวเข้าสู่หัวใจ เพียงแค่คนตรงหน้าฉีกยิ้มให้เห็นเต็มตา
"เอ่อ อือ ถ้าคุณชอบก็ตั้งไปสิมันเป็นชื่อคุณอยู่แล้วด้วย คงไม่ไปซ้ำใครหรอกมั้ง"
เรวิกาเสใบหน้าออกไปมองวิวทะเลแล้วพึมพำออกไปแก้เก้อ บ้าจริงอยู่ดี ๆ ก็ใจเต้นแรง แถมยังรู้สึกร้อน ๆ ที่ใบหน้าอีก
ส่วนอีกคนที่ไม่ได้รับรู้ผลการกระทำของตัวเองเลยซักนิด กลับกำลังอมยิ้มชอบใจกับชื่อธุรกิจในฝัน ที่หวังว่ามันจะเกิดขึ้นได้จริง ๆ ในเร็ววัน
ใช้เวลาเดินทางกว่าชั่วโมงครึ่งเรือก็พามาถึงเกาะ ที่ยังไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ เจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลมารออยู่ก่อนแล้ว พร้อมทีมงานบางส่วนที่ล่วงหน้ามาถึงตั้งแต่เมื่อวาน เต๊นท์สีขาวสี่เหลี่ยมถูกกางไว้รออยู่แล้วสี่หลัง คืนนี้ทุกคนคงจะได้นอนกันที่จุดพักแห่งนี้ก่อนที่เช้าวันรุ่งขึ้นการถ่ายทำ เกมรอดชีวิตจะเริ่มอย่างเป็นทางการ งานนี้คนที่จะต้องลำบากไปกับกลุ่มผู้แข่งขันด้วยก็คงจะไม่พ้นตากล้องและผู้ช่วย ที่ต้องคอยตามถ่ายทุกคนไม่ว่าจะปีนเขาเข้าป่าลงน้ำก็ต้องลุยไปด้วยกัน
เต๊นท์ชั่วคราวขนาดกว้างพอให้สาว ๆ ทั้งสิบคนได้อาศัยนอนพักในคืนนี้ ตอนนี้ทุกคนกำลังล้อมวงพูดคุยถึงสิ่งที่จะต้องทำกันเมื่อเกมเริ่ม
"อย่างที่พี่บอกพวกเราไปวันนั้นนะคะ ว่าจุดจอดเรือตรงนี้กับจุดที่พี่สังเกตุเห็นว่าน่าจะมีต้นมะพร้าวน่ะ อยู่กันคนละฝั่ง เพราะฉะนั้นเดี๋ยวพวกเราจะออกไปดูลาดเลาช่องทางกันว่าเราจะข้ามไปฝั่งนั้นยังไง"
อัญญาวีอธิบายแผนการณ์ให้ทุกคนพยักหน้ารับรู้
"เมื่อกี้ตอนที่เรือแล่นเข้ามาใกล้ถึงเกาะ ฉันสังเกตุดูบางจุดแถวนี้น่าจะมีพวกสาหร่ายปะการังอยู่นะคะ ถ้าผืนน้ำมีปะการังแน่นอนสัตว์ใต้น้ำก็จะอยู่อาศัยเยอะไปด้วย คิดว่าเราคงไม่อดตายแน่ค่ะ"
กรนันท์กล่าวด้วยรอยยิ้ม ให้คนที่เหลือยิ้มออกมาอย่างโล่งใจไปด้วย
"ถ้าเป็นแบบนี้สิ่งที่เราต้องค้นหาต่อไปคือแหล่งน้ำจืด จากสภาพต้นไม้บนเกาะนี้ที่มีต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ด้วย ไม่แน่อาจจะมีแหล่งน้ำจืดอยู่ในเกาะนี้ก็ได้นะพี่ว่า"
กิ่งกานต์พูดถึงสิ่งที่อาจจะมีความเป็นไปได้ เพราะจากประสบการณ์การเป็นแพทย์ ที่ต้องออกภาคสนามช่วยเหลือทั้งเหล่าทหารนอกสถานที่ และชาวบ้านในถิ่นกันดารอยู่บนเขาบนดอยมาหลายปี ทำให้เธอเองได้สัมผัสกับธรรมชาติและสิ่งที่มีในป่ามาพอสมควร
"ถ้าพวกเรามีแหล่งน้ำจืดนั่นแสดงว่าจากเกาะร้าง มันจะกลายเป็นสถานที่พักผ่อนและผจญภัยของพวกเราไปเลยล่ะ ในเมื่อเรามีอาหารมีน้ำจืดให้กินให้อาบได้ เท่านี้เราก็แฮปปี้กันแล้วใช่มั้ยทุกคน"
ณัฐพัชเอ่ยอย่างตื่นเต้น ทำให้สีหน้าแววตาเพื่อนร่วมทีมมีประกายแห่งความหวังตามไปด้วย
"ใช่ค่ะ เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้เราต้องข้ามไปอีกฝั่งให้ได้ จากนั้นดูทำเลว่ามันพอจะเป็นที่พักพิง ให้เราไปจนครบเจ็ดวันได้มั้ย เราต้องรีบสำรวจหาแหล่งน้ำจืดให้เร็วที่สุดก่อนที่จะได้กินแต่น้ำมะพร้าว ถ้าโชคไม่ดีไม่มีน้ำจืดเราก็ต้องหาอะไรมาเป็นอุปกรณ์กลั่นน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืด อันนี้คงจะเหนื่อยกันหน่อยแต่พวกเราคงไหวใช่มั้ย"
"ไหวแน่นอนค่ะพี่อัญ ก็พวกเราผ่านด่านทดสอบกันมาหมดแล้ว ต้องจับมือกันเอารางวัลมาให้ได้ค่ะ"
เนย่าเอ่ยขึ้นบ้าง สาวลูกเสี้ยวที่หน้าออกไทยมากกว่าฝรั่ง หากสีตากับสีผมที่ออกเป็นสีน้ำตาลเข้มตามธรรมชาติเหมือนบิดาผู้ให้กำเนิด
"นี่คุณขนอะไรมาบ้างเนี่ย ทำไมกระเป๋าคุณมันถึงได้ใหญ่ขนาดนั้น แล้วถ้าต้องปีนหน้าผาคุณจะแบกไหวเหรอ"
นรากรหันไปถามเนย่า เพราะกระเป๋าเป้ของคุณเธอมันใหญ่กว่าชาวบ้านเขามาก
"ก็เสื้อผ้าไง เขาบอกให้เอามาให้เพียงพอฉันก็ต้องเตรียมมาให้พอสิ"
"เดี๋ยว คุณขนมากี่ชุดเนี่ย"
"อืม ก็ยี่สิบห้ามั้ง"
"ห๋า! ยี่สิบกว่าชุด คุณจะมาเปิดท้ายขายเสื้อผ้าเหรอคุณนางแบบ"
"บ้าสิ แล้วคุณเอามากี่ชุด อย่าบอกนะว่าไอ้เป้นั่นมีแค่เจ็ดชุดน่ะ?"
"ฉันเอามาแค่ 10 บวกที่ใส่วันนี้เป็น11ชุดกลางวัน 7 ชุดใส่นอน3แค่นั้นล่ะ จะขนมาทำไมเยอะแยะมาเดินป่านะคุณ เราต้องทำตัวให้เบาที่สุดจะได้ไม่เหนื่อย อีกอย่างน้ำก็มี ซักเอาก็ได้ขนมาทำไมเยอะแยะจะแบกไหวหรือเปล่า"
"นี่คุณไม่ต้องบ่น แล้วถ้าเกิดมันไม่มีน้ำจืด คุณจะเอาน้ำทะเลมาซักผ้าหรือไงห๊ะ"
"ก็ใช่น่ะสิ ทำไมก็น้ำเหมือนกันทำไมจะซักไม่ได้ล่ะ"
นรากรทำหน้างง แต่เพื่อนร่วมทีมหลายคน กำลังมองมาที่เธอคล้ายกำลังกลั้นขำกันอยู่
"บ้าไปแล้วคุณน่ะ คุณจะเอาน้ำทะเลเค็ม ๆ มาซักเสื้อผ้าเนี่ยนะ เสร็จแล้วพอคุณเอามาใส่ต่อ พอเหงื่อคุณออกมาผสมกับความเค็มที่ติดในผ้า พอดีล่ะ คุณจะได้เหม็นเป็นปลาเน่าแดดเดียว คุณคิดได้ยังไงเนี่ย"
"ห๊ะ! จริงเหรอพี่หมอ?"
พอได้ฟังเหตุผลจากบัดดี้ตัวเองเข้า นรากรก็ถึงกับหน้าตาตื่น ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอจะไม่กลายเป็นสังคังโรคเกลื้อนเลยเหรอเนี่ย
กิ่งกานต์ที่นั่งข้าง ๆ พยักหน้าให้ อดที่จะขำออกมาไม่ได้เหมือนกัน
"ง่า แล้วถ้าไม่มีน้ำจืดไนซ์จะทำไงอ่ะใส่เสื้อเน่า ๆ เหม็นเหงื่อเค็ม ๆ นี่ไม่ไหวนะ เพราะคุณเลยอ่ะ ขอเบอร์ก็ไม่ให้เห็นมั้ยแทนที่จะได้โทรปรึกษาหารือ แทนที่จะแนะนำฉันให้เตรียมเสื้อผ้ามาเผื่อด้วย เป็นบัดดี้ภาษาอะไรไม่ดูแลกันเลย"
เนย่าถึงกับอ้าปากหน้าเหวอที่จู่ ๆ ก็โดนอีกฝ่ายหันมาแขวะเอาหน้าตาเฉย แน่นอนละคุณนักแข่งรถนี่ขอเบอร์เธอจริงแถมยังบอกจะโทรจีบกันอีก ให้ตายเถอะ ถึงอีกฝ่ายจะเป็นคนที่เธอแอบปลื้มเขาอยู่ แต่เรื่องอะไรจะใจง่ายให้เบอร์ไป
"เก็บปากคุณไปเลยนะ โตแล้วทำไมไม่รู้จักหาข้อมูลไม่เคยเดินป่าหรือไง หรืออยากจะแก้ผ้าเอาตัวรอดเหมือนในรายการต่างประเทศน่ะ ฮึ"
หึ ๆ
"ถ้าคุณแก้เป็นเพื่อนฉันก็โอเคนะ ฮ่า ๆ"
"บ้าสิ โรคจิต"
แม้ปากจะด่าว่าออกไป หากใบหน้าขาวกลับขึ้นสีแดงเรื่อ ให้คนพูดทะลึ่งยิ่งหัวเราะชอบใจ
"เอาล่ะ ๆ ไม่ต้องต่อว่ากัน ถ้าไม่มีน้ำจืดซักผ้า ไนซ์ก็ใส่กับเนย่านั่นล่ะเอามาตั้งยี่สิบกว่าชุดพออยู่แล้วแบ่ง ๆ กันใส่ไหน ๆ ก็เนื้อคู่ เอ๊ย คู่บัดดี้กันอยู่แล้วนี่"
ณัฐพัชปรามรุ่นน้องแกมแซวไปในตัว แหมเห็นสายตาที่แอบเหล่กันมันน่าสงสัยน้อยซะเมื่อไหรล่ะ เธอเองก็มีคนรักเป็นผู้หญิงเหมือนกัน สัญญาณมันมีให้เห็นหรอก
สิ้นคำพูดของณัฐพัช คนที่เหลือก็พากันส่งเสียงเห็นด้วยพร้อมกับยิ้มขำทั้งคู่
"ใส่ด้วยนะคุณ เดี๋ยวช่วยแบ่งเสื้อผ้ามาใส่เป้ฉันก็ได้ คุณจะได้ไม่หนักไง"
นรากรกระซิบข้างใบหูอีกฝ่าย ให้เจ้าตัวหันมาค้อนใส่ด้วยความหมั่นไส้
ช่วงบ่ายสี่โมงแดดร่มลมตกทีมสาว ๆ ก็พากันออกมาเดินเล่นกึ่งสำรวจพื้นที่ไปในตัว แต่ละคนเดินเล่นคุยปรึกษากันไปตามแนวชายหาดที่ไม่ได้ยาวมาก อาจจะซักสามร้อยเมตรน่าจะได้ นอกจากต้นหูกวางกับพวกต้นไม้ขนาดเล็กที่อยู่ตามแนวชายหาดฝั่งนี้ก็ยังไม่เห็นมีอะไรที่พอจะทำให้ใช้เป็นจุดพักได้ เมื่อพากันเดินมาจนสุดหาด ก็เห็นเป็นเหลี่ยมโขดหินขนาดน้อยใหญ่ยื่นลงไปในน้ำทะเล นี่สินะเรือถึงมาฝั่งนี้ไม่ได้ เพราะมันคงเต็มไปด้วยโขดหินมากมาย
"พี่ว่าพรุ่งนี้เราคงต้องเดินผ่านป่าช่วงนี้ไปฝั่งนั้นนะ และคิดว่าน่าจะได้ใช้วิชาปีนเขากันจริงแล้วล่ะ พวกเราเห็นกำแพงเขานั่นใช่มั้ย"
อัญญาวีชี้บอกทุกคนให้มองไปยังแนวป่าใกล้ ๆ ที่มองเห็นกำแพงหินผาหลังต้นไม้ไม่ไกล
"แต่เราจะลองเดินเข้าไปด้านในก่อน เผื่อมันอาจจะมีทางทะลุไปหากันได้ โดยที่เราไม่ต้องปีนข้ามจุดนี้"
"ค่ะ ถ้างั้นพรุ่งนี้เกมเริ่มถ่าย เราก็ตรงมาจุดนี้กันเลยนะ"
กรนันท์สรุปให้ทุกคนรับรู้ จากนั้นแต่ละคนก็แยกย้ายกันเดินเล่น เรวิกาเดินเข้าไปดึงเพื่อนสนิทแยกออกมาเดินต่างหากแขนเรียวโอบไหล่เพื่อนก่อนจะมองหน้าอีกฝ่ายยิ้ม ๆ
"อะไรยัยเร มาแจกยิ้มให้ฉันทำไม"
เนย่าแกล้งบ่นเพื่อนออกไป
"อะไรยังไง สรุปคุณไนซ์เขาขอเบอร์แกจริง ๆ เหรอ"
"ก็อือ"
"แต่แกไม่ให้เขาเหรอ?"
"แหมใครจะไปให้ง่าย ๆ ล่ะ ฉันบอกจะเอาไปทำไมไหน ๆ มานี่เราก็ไม่ได้ใช้โทรศัพท์อยู่แล้ว ถ้าอยากได้เอาไว้ชนะเกมให้ได้ก่อนเหอะ"
"แหม เล่นตัวซะด้วยนะเพื่อนเรา หึ ๆ แล้วนี่เขาจะจีบเธอหรือเปล่า"
"ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าเขาพูดจริงหรือพูดเล่น ฉันแค่แกล้งถามว่าที่ขอเบอร์นี่คือจะจีบเหรอ เขาก็บอกแล้วยอมให้จีบหรือเปล่าล่ะ แบบนี้แกจะให้ฉันคิดว่าไงล่ะจากประวัติเขาแกก็รู้นี่เขาชอบผู้หญิง"
"อืม และรู้ดีด้วยว่าแกน่ะปลื้มเขาอยู่ฮ่า ๆ"
"หยุด ไม่ต้องแซว ถึงฉันจะปลื้มไม่ได้หมายความว่าจะง่ายนะยะ เจ้าชู้แบบนั้นจะรักใครจริงหรือเปล่าหรอก"
เนย่าพูดออกไปคล้ายบ่นถึงคนที่เธอแอบปลื้มเขามานาน นรากรเป็นนักแข่งรถหญิงคนเดียวที่ได้รับรางวัลนักแข่งที่แข่งรวมกับนักแข่งชาย ชื่อเสียงและความสามารถแถมหน้าตาที่จัดว่าดีมากคนหนึ่ง ทำให้เธอสนใจและคอยติดตามผลงานอีกฝ่ายมาร่วมสามปีกว่า ไม่คิดฝันเหมือนกันว่าจะได้มาเจอตัวเป็น ๆ และมาร่วมแข่งขันในเกมท้าทายนี้ด้วยกัน
"เรื่องเจ้าชู้มันก็คงธรรมดาคนหน้าตาดีมีเสน่ห์นั่นละเราว่า ถ้าเขาไม่ได้มีเป็นตัวเป็นตนมันก็ไม่แปลกนี่ ที่จะเห็นเขาควงใครหลายคนน่ะ ถ้าอย่างแฟนเก่าฉันก็ว่าไปอย่างนั่นน่ะเจ้าชู้แถมเอาไปทั่วด้วย"
เรวิกาพาดพิงไปถึงอดีตคนรัก ที่เลิกรากันไปเพราะความมักมากของอีกคน ก็อย่างว่าแหละคนที่เกิดในประเทศที่เสรีเรื่องเพศสัมพันธ์ แค่พอใจกันเขาก็ทำอะไรกันได้ง่าย ๆ ไม่เหมือนคนที่ถูกปลูกฝังมาให้รักมั่นคง ไม่นอกกายนอกใจอีกฝ่ายตราบใดที่ยังใช้คำว่าแฟน ก็ควรจะซื่อสัตย์ต่อคนที่ตัวเองรัก เมื่อทัศนคติมันไปกันไม่ได้ ก็ควรหยุดความสัมพันธ์ดีกว่าฝืนทนต่อไป
"อืม ช่างเหอะเรื่องอนาคตก็ค่อยว่ากัน ตอนนี้เตรียมตัวเก็บแรงไว้ลุยเกมดีกว่านะ"
สองสาวหันมายิ้มหัวเราะให้กัน ก่อนจะพากันเดินกับเต๊นท์ที่พัก