สโรชา เพื่อนสาวคนสนิทเพียงคนเดียวของเธอแอบฟังเธอคุยโทรศัพท์กับแฟนหนุ่มรูปหล่ออยู่ข้างหลังได้ครู่หนึ่งแล้ว เธอใช้นิ้วจิ้มเอวคอดกิ่วของรดาจนเจ้าหล่อนสะดุ้งร้องเสียงหลง
“รดา?”
จากที่กำลังขมวดคิ้วขึ้นอย่างตึงเครียดด้วยความเป็นห่วง พอได้ยินเสียงคุยหยอกล้อกันคิกคักของสองสาวเขาจึงค่อยคลี่ยิ้มออก
“ออ เปล่าค่ะไม่มีอะไร ยัยชาเล่นมาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงรดาเลยตกใจค่ะ”
“แหม คุยกันหวานเชียวนะคะเห็นใจคนโสดบ้างค่ะอาจารย์ขา” สโรชายื่นหน้าเข้าใกล้มือถือและเอ่ยทักทายเขาด้วยความสนิทสนม รดาจึงช่วยอำนวยความสะดวกให้ด้วยการเปิดเสียงลำโพง
‘อรุณสวัสดิ์สโรชา’
“ว้า เมื่อไหร่ชาจะได้นั่งรถสปอร์ตของอาจารย์คะเนี่ย”
‘ทำเป็นพูดไป ช่วยกล่อมเพื่อนเธอให้พี่หน่อยสิกล่อมได้วันไหนก็วันนั้นแหละ’
“แหม ได้ถอยรถคันใหม่แล้วอย่ามีแฟนใหม่เชียวนะคะ เห็นลงภาพหล่อๆคู่กับรถแล้วสาวๆคอมเม้นต์กันเกรียวกราวเชียว” เธอเปรยออกมาซึ่งแน่นอนมันช่างตรงใจรดาเหลือเกิน แต่ติดที่เธอไม่กล้าพูดตรงๆแบบนั้น
‘เกี่ยวอะไรกัน? รถก็ส่วนรถ ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับเรื่องหัวใจเลย เนาะอรุณรดาที่รัก’
“ว้าย ช็อตนี้นังชาตายจ้า”
รดายืนยิ้มเขินอาย ปล่อยให้การเจรจาเป็นหน้าที่ของเพื่อนรักไปก่อน เธอค่อนข้างเป็นคนหัวโบราณในสายตาเพื่อนๆเพราะไม่เล่นโซเชียลใดๆเลย ทั้งที่อดีตแทบจะใช้เป็นที่ระบายความในใจทุกอย่าง และลงภาพทุกช็อต
“อ่ะนี่ มือถือเศษเหล็กแก”
“วางแล้วหรือ?”
“ใช่ วางแล้ว”
“เห้อ ยัยรดาเมื่อไหร่แกจะเล่นโซเซียลเปิดเผยตัวตนในสื่อออนไลน์บ้างวะ”
“เพื่ออะไร แค่มีไลน์แจ้งข่าวส่งงานในคลาสก็น่าจะโอเคแล้วนี่”
“มันก็ต้องมีการแสดงความเป็นเจ้าของบ้างสิ ของสวยๆงามๆทำไมไม่ชอบโชว์ หน้าสวยๆ หุ่นเซ็กซี่ อกโตๆเนี่ย” เธอไม่พูดเปล่าแต่จิ้มนิ้วด้วยทำเอาอรุณรดารีบปัดป่ายพัลวัน “หัดถ่ายรูปลงบ้างแล้วก็อวดไปเลยว่าอาจารย์ภุชงค์เนี่ยแฟนแก ไม่ใช่ปล่อยให้ชะนีนักศึกษามโนไปเรื่อย”
“ก็ลูกศิษย์เค้า เราไม่ควรไปยุ่งเรื่องแบบนั้นสิ”
“โอ๊ยลูกศิษย์น่ะตัวดีเลย ไม่เคยได้ยินเหรอที่โบราณเค้าว่าสมภารกินไก่วัด”
เมื่อรู้สึกว่าสโรชาเริ่มพล่ามไปเรื่อยเปื่อยร่างเพรียวบางสมส่วนเดินนำเข้าไปในตึกคณะบัญชี เหตุผลที่เธอเลือกเรียนสายนี้เพราะรู้สึกว่าตนเองยังอ่อนเรื่องตัวเลขซึ่งมันจำเป็นต่อการสืบทอดธุรกิจร้านอาหารจากน้าริน เพราะสามีของน้าเริ่มป่วยกระเสาะกระแสะสวนทางกับธุรกิจที่กำลังไปได้สวยและตอนนี้ขยับขยายไปได้ถึงสามสาขาแล้ว
“ชิ ไม่ได้ดั่งใจเพื่อนเล้ย”
สโรชาย่นจมูกอย่างไม่พอพึงใจในความใจเย็นของรดา แต่เมื่อเห็นเพื่อนเดินนำไปไกลเธอจึงรีบสับเท้าวิ่งตาม
“นี่ รอด้วย! ...ลงฝึกงานที่ไหนไปด้วยดิ”
“ไม่ไป!”
เสียงห้าวปนแหบพร่าเนื่องจากถูกเรฟเข้ามาปลุกเขาถึงในห้อง มันทำให้เขาหงุดหงิดไม่น้อย
“โธ่ ไปเถอะครับ นายใหญ่สั่งว่าต้องไป”
“เฮอะ จะหาเมียให้กูล่ะสิ” เขาแทรกขึ้นอย่างรู้ทัน
“ก็ ไปเชยชมของสวยๆงามๆไม่ดีหรอกหรือครับ”
“นายก็รู้ว่าฉันเกลียดงานฉีกยิ้มใส่หน้ากากเข้าหากันมากแค่ไหน ฉันเหมาะกับเอกสาร ปืน และเตียงนอนมากกว่า เอาล่ะ เรฟนายออกไปซะฉันจะนอนต่อ”
“เถอะครับ” บอดี้การ์ดหุ่นล่ำยังคงยืนยันที่จะไม่ไปไหน เจ้านายเขามักจะนอนซมอยู่บนเตียงแทบทั้งวันเลยก็ยังได้หากวันไหนไม่มีงานด่วน นั่นหมายความว่ามาร์ตินกำลังมีความเศร้าอยู่ภายในใจลึกๆ
“เวลาพักคือพัก เวลางานก็ทำจนอดหลับอดนอน แกก็รู้”
“เอาที่พอดีสิครับ บ้างานมากเกินไปเดี๋ยวจะไม่ได้เมียกับเค้าหรอก แถมยังมีคนแอบเม้าท์ว่าไม่ชอบผู้หญิงอีก”
“หืม?”
“เอ่อ อันนี้ผมไม่ได้พูดเองนะครับ นายใหญ่บ่นมาว่าอย่างนั้น” เขารีบออกตัว
“ไร้สาระชะมัด ใครมันจะลากมากินโจ่งแจ้งล่ะ เห้อ” ร่างสูงใหญ่ยอมลุกจากเตียงในที่สุด “โอเค บอกมาตรงๆว่าต้องไปเจอใคร?” สองแขนล่ำเต็มไปด้วยรอยสักยกขึ้นเท้าสะเอวถามเรฟ
“ก็ลูกสาวท่านอเล็กซานเดอร์ เชอวาโรฟ คนที่เจ้านายชี้นิ้วจิ้มเลือกสุ่มมั่วๆไปเมื่อเดือนก่อนไงล่ะครับ ขอบอกว่านายใหญ่ท่านดูจะพอใจในสายตาอันเฉียบแหลมของเจ้านายมากนะครับ”
“เหรอ” เขาแค่นขำออกมา
“ผมรู้ว่านายน่ะเดาสุ่มไปงั้นๆน่ะ”
“ใครบอกล่ะ” เขาหันกลับมาอธิบายด้วยท่าทางที่ยกนิ้วชี้ขึ้นตั้งฉากกับนิ้วโป้ง หลับตาขวาหรี่ตาซ้ายขณะเพ่งมองสาวผมบลอนสั้นคนนั้นอยู่ไกลๆ
“อุตส่าห์เพ่งมองอย่างตั้งใจเลยล่ะ”
เขาใช้เพียงนิ้วชี้เป็นตัววัดความสูงของหล่อนคนนั้นที่..
‘เทียบเท่าแสงรุ่งเลยแฮะ’ เขาพึมพำในใจ
แล้วจึงเป็นอันตกลงกับตัวเองว่า
“เอาคนนี้ก็ได้”
เอาล่ะ คราวนี้จะเอาเมียตามใจท่านโลอาห์นก็ได้เอ้า
“วันนี้แหละกูจะต้องได้คุยกันเรื่องหมั้นเอาให้สาแก่ใจท่านเคอริอาห์นเชียว” เขาขยิบหางตาหนึ่งทีก่อนเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ
“หา? ไวไปมั้ยครับเนี่ย?”