บทนำ

2666 คำ
บทนำ หลายปีมากแล้วที่หญิงสาววัยยี่สิบสี่ปีอย่าง ‘เจ้าขา’ เห็นสิ่งที่ไม่ใช่คน ใช่ กำลังหมายถึงภูตผีปีศาจและดวงวิญญาณทั้งหลายนั่นล่ะ แต่การที่เธอมองเห็นดวงวิญญาณทั้งหลายได้นั้นไม่ได้เป็นเพราะว่าเธอมีอายุเข้าใกล้สู่เบญจเพสหรืออะไรหรอกนะ ทว่าเป็นเพราะเธอเคยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเกือบถึงแก่ชีวิตมาแล้วหนหนึ่ง มีความเชื่ออยู่องค์ความเชื่อหนึ่งว่าใครก็ตามที่เคยเฉียดเข้าใกล้ความตายมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อกลับมาใช้ชีวิตตามปกติเฉกเช่นมนุษย์เท่าไป ก็จะได้รับญาณพิเศษมา ซึ่งญาณนั้นจะทำให้มองเห็นในสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น และเจ้าขาเองก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นที่สามารถมองเห็น ‘สิ่งในโลกคู่ขนาน’ ที่ปรากฏเป็นอีกภพหนึ่งขึ้นมาได้ นั่นก็เพราะเธอรอดชีวิตนั่นล่ะ อันที่จริงแล้ว เจ้าขาไม่น่ารอดชีวิตมาเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากรถเก๋งที่เธอนั่งไปประสานงาเข้ากับรถสิบล้อที่ข้ามเกาะกลางมาพุ่งชนเข้าอย่างจัง เหตุการณ์ครั้งนั้นพรากเอาชีวิตของบุคคลที่เธอรักไปถึงสองคนด้วยนั้น นั่นก็คือพ่อและแม่ ส่วนเธอกลับรอดชีวิตมาแทบจะไร้รอยขีดข่วน ซึ่งสร้างความฉงนสนเท่ห์ให้กับคนที่พบเห็นเป็นอย่างมากว่าเธอรอดมาโดยมีเพียงแผลถลอกและฟกช้ำดำเขียวเพียงเล็กน้อยได้อย่างไร มีแต่เจ้าขาเท่านั้นที่รู้... ในตอนที่เกิดเหตุนั้น เจ้าขาร้องเบิกตาโตด้วยความตกใจตามเสียงกรีดร้องของมารดา ก่อนที่จะรู้สึกราวกับว่ามี ‘ใครบางคน’ โผล่พรวดมาจากทิศทางไหนที่เธอก็ไม่อาจรู้ได้ เข้ามาโอบกอดเธอไว้แน่นในอ้อมแขน ก่อนที่รถจะประสานงาเข้ากับรถสิบล้อเข้าเต็มแรง เธอรอดชีวิตมาได้เพราะผู้ชายคนหนึ่งมาช่วยชีวิตเอาไว้... เจ้าขาจำรูปร่างหน้าตาของผู้ชายคนนั้นได้เป็นอย่างดี เขาเป็นชายวัยกลางคน ผมสีขาวดอกเลา มีหนวดเคราเฟิ้มคล้ายกับซานต้าคลอสที่เคยเห็นในภาพยนต์ สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว พับแขนเสื้อขึ้นมา เผยรอยสักที่เธอจำติดตาตั้งแต่แรกเห็นว่ามันเป็นลายอะไร แต่น่าแปลกที่เขากลับไม่ได้ดูแก่อย่างที่ควรจะเป็น ดูมีสไตล์มากกว่า คล้ายกับพวกนายแบบสูงวัยที่เคยเห็นทางอินเทอร์เน็ตอะไรประมาณนั้น ซึ่งการจดจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของผู้ชายคนนี้ได้เป็นอย่างดีนั้นก็เป็นเรื่องน่าแปลกที่เจ้าขาที่พยายามหาคำตอบเหมือนกันว่าในเสี้ยววินาทีที่เกิดอุบัติเหตุนั้น เธอสามารถจำรายละเอียดของผู้ชายคนนี้ได้มากขนาดนี้ได้อย่างไร ความคิดนี้จะไม่หวนกลับมาเลยถ้าหากว่ากลุ่มเพื่อนเก่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของเธอไม่ชวนเธอมาร่วมขบวนบุญที่ต้องตระเวนไปทำบุญเก้าวัดรอบกรุงเทพมหานครในวันนี้ เจ้าขายืนมองชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว ผมสีดอกเลาและมีหนวดเคราเฟิ้มดุจซานต้าคลอสยืนสูบบุหรี่อยู่บริเวณหน้าทางเข้าวัดลำดับที่เก้าซึ่งเป็นวัดสุดท้ายที่เธอมาทำบุญ หญิงสาวชะงักฝีเท้าด้วยรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เด่นสะดุดตาในแวบแรกที่เห็น เขามีรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ท่าทางเหมือนกับพวกนายแบบตามนิตยสารไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่ว่าอายุของเขาดูจะเกินเกณฑ์มาตรฐานของนายแบบมากไป สักหน่อย กระนั้นเธอก็ไม่ได้สนใจเท่ากับการได้เห็นใบหน้าของเขาเต็มสองตายามเขาผินหน้ามามอง ความทรงจำในอดีตผุดพรายขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าขาอ้าปากค้าง ใจเต้นระรัวเร็วเมื่อตระหนักได้ว่าชายที่เธอเห็นอยู่ตรงหน้านั้น มีลักษณะท่าทางและหน้าตาเหมือนกับคนที่เคยช่วยชีวิตเธอเมื่อสิบห้าปีก่อนอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ขาถึงได้ก้าวเข้าไปหาเขาเสียอย่างนั้น ครั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้า ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว เธอก็เปล่งเสียงออกมาทันทีที่สายตาของเขาเหลียวมามองเธอ “เอ่อ...คุณ...” “...” “ใช่คุณลุงหรือเปล่าคะ?” เพราะไม่รู้ชื่อ เจ้าขาถึงได้ถามออกไปอย่างนั้นด้วยเธอเรียกผู้ชายที่ช่วยชีวิตเธอว่า ‘คุณลุง’ มาตลอด ขณะที่สายตาฉงนจากเจ้าของดวงตาคมจ้องมองมายังเธอจนหญิงสาวประหม่า จู่ๆ ก็ไปถามว่าใช่คุณลุงหรือเปล่า ใครๆ ก็ต้องมองด้วยสายตาอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ เจ้าขาสูดหายใจเข้าปอดลึก ก่อนจะถามออกไปใหม่ “เราเคยเจอกันหรือเปล่าคะ” ถามแบบนี้น่าจะดีกว่า เพราะอย่างน้อยก็เป็นการลองเชิงถามก่อน และก็ไม่เป็นการทำให้อีกฝ่ายงุนงงจนเกินไป หากทว่า...เธอกลับไม่ได้รับคำตอบจากคนตรงหน้าแม้แต่คำเดียว นอกจากการที่เขาทอดสายตามองเธอแล้วคีบบุหรี่ออกจากปาก บี้ลงในกระถางต้นไม้ ก่อนจะหยิบก้นกรองขึ้นมาไว้ในมือแล้วเดินไปทิ้งขยะ เจ้าขามองตาม ใจถามตัวเองว่าควรเดินตามเขาไปหรือไม่ อันที่จริงแล้ว เธอไม่ควรไปยุ่งกับผู้ชายท่าทางแปลกๆ คนนี้เลย เขาไม่พูดด้วยตอนเธอถามนั่นก็ชัดเจนแล้วด้วยซ้ำว่าเขาไม่อยากจะสนทนากับเธอ แต่...ทำไม ทำไมกันนะ ความรู้สึกบางอย่างภายในใจถึงได้บอกให้เธอก้าวเดินตามเขาไป รอกระทั่งเขาทิ้งก้นกรองบุหรี่เสร็จสิ้น เธอก็เอ่ยขึ้นมาอีก “ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาหนูบ้างเลยเหรอคะ” “...” “คือหนู...” “...” “รู้สึกเหมือนเราเคยเจอกันมาก่อน” เจ้าขาบอกคนตรงหน้าไปหมดสิ้นเป็นที่เรียบร้อย เธอนิ่ง เขาก็นิ่ง ต่างคนต่างนิ่งจนรอบข้างมีความกดดันบางอย่างคล้อยต่ำลงมาครอบงำคนทั้งคู่เอาไว้ แต่น่าแปลกที่เจ้าขากลับไม่รู้สึกอึดอัดเลย มีแต่ตื่นเต้นจนเม็ดเหงื่อจำนวนมากไหลซึมที่ฝ่ามือเท่านั้น ขณะที่ดวงตากลมโตจับจ้องยังใบหน้าคร้ามคมที่มีริ้วรอยบ่งบอกการผ่านโลกมามากของเขา “เคย...หรือเปล่าคะ” เธอทวนคำถามอีกครั้ง หวังว่าคนตรงหน้าจะตอบในคราวนี้ และเธอก็สมดังปรารถนาเมื่อริมฝีปากหนาขยับขึ้น “ไม่เคย” เป็นคำตอบที่น่าผิดหวังที่สุดเลย เจ้าขาไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมเธอถึงได้รู้สึกผิดหวังขนาดนี้ทั้งที่ในตอนแรกเธอเห็นว่าเขามีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับคนที่เคยช่วยชีวิตเธอ ก็เลยดีใจและคิดที่จะขอบคุณเขาสักครั้ง หลังจากที่ตลอดชีวิตของเธอภายหลังอุบัติเหตุนั้น เธอได้แต่ขอบคุณเขาผ่านการอธิษฐานหลังจากการสวดมนต์เท่านั้น แต่...จะว่าไปแล้ว คนตรงหน้าจะเป็นผู้ชายคนเดียวกับที่เคยช่วยชีวิตเธอได้อย่างไร ผ่านมาตั้งเกือบสิบห้าปีแล้ว ต่อให้เป็นคนเดียวกัน เขาก็ต้องมีความแก่ชราลงสิ แต่นี่...ผู้ชายตรงหน้าคนนี้กลับไม่มีความแก่ชราลงจากเดิมตรงไหนเลย เจ้าขาเกือบจะตัดใจเชื่อว่าเขาเป็นคนอื่นไปแล้วตามคำตอบของเขา หากทว่าสายตาเจ้ากรรมดันเหลือบไปเห็นรอยสักที่โผล่วับแวมมาให้เห็นนอกแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวเสียก่อน มันเป็นรอยสักที่เธอคุ้นตาเป็นอย่างมาก รอยสัก...ลายพระพุทธรูปปางรำพึงซึ่งเป็นพระปางประจำวันศุกร์ซึ่งเป็นวันเกิดของตัวเธอ นั่นจึงทำให้เจ้าขาไม่ยอมขยับไปจากที่ตรงนั้น ยืนมองจ้องหน้าชายวัยกลางคนที่สบตาเธอนิ่งอย่างไร้มารยาท “มีอะไรอยากจะถามอีก” แล้วก็เป็นเขาที่พูดขึ้นมาราวกับอ่านใจเธอได้ หญิงสาวนิ่งไปครู่ ก่อนจะเผยอริมฝีปาก “เราไม่เคยเจอกันจริงๆ เหรอคะ” ราวกับว่าเป็นการคาดคั้นให้เขายอมรับว่าเคยเจอกับเธอให้จงได้ หากแต่ผู้ชายคนนั้นกลับส่ายหน้าน้อยๆ “ฉันคิดว่าไม่นะ” “แต่คุณมีรูปร่างหน้าตาเหมือนคนที่เคยช่วยชีวิตฉันเอาไว้เลยค่ะ” เจ้าขาว่าไปตามจริง ขณะพูดก็ปรายตามองอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไปด้วย แม้จะรู้ว่าเป็นกริยาที่ไม่ดี แต่ก็อดไม่ได้ที่จะสำรวจตรวจตราอย่างนั้น ขณะที่คนถูกจ้องมองขยับตัวเล็กน้อยคล้ายว่าอึดอัดกับการถูกจับจ้อง ก่อนจะถามกลับ “เคยช่วยชีวิตคุณ...ตอนไหนล่ะ” คำถามนี้เองที่เรียกสติของหญิงสาวให้กลับคืนมา “ก็...ตอนฉันอายุสิบสาม...” “งั้นก็แสดงว่าไม่ใช่ฉันแล้วล่ะ ถ้าฉันเคยช่วยเธอจริงๆ ฉันก็คงไม่อยู่ในสภาพเดิมจนเธอจำได้หรอก ฉันอายุมากกว่าเธอตั้งเยอะ” คำตอบของเขามีเหตุผลและมีน้ำหนัก เจ้าขาเม้มริมฝีปากแน่น เธออยากจะเถียงใจจะขาดว่าเขาเหมือนคนที่ช่วยชีวิตเธอตอนนั้นจริงๆ แต่ทว่าก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา นอกเสียจากความผิดหวังบางอย่างที่เจ้าขาก็หาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมจะต้องรู้สึกผิดหวังขนาดนี้ ก่อนที่จะพยักหน้ารับกับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่เบาๆ “ค่ะ สงสัยฉันจะจำผิดคนจริงๆ ต้องขอโทษด้วยนะคะ” สิ้นเสียงก็ยกมือขึ้นไหว้แล้วผละเดินจากมา ขณะที่ในหัวก็ยังคิดวุ่นวายไม่หยุด ถึงจะไม่ใช่ แต่ก็นับว่าเหมือนมาก เหมือนจริงๆ เหมือนเสียจนเจ้าขามั่นใจโดยไม่มีเหตุผลว่าเป็นคนเดียวกันไม่เลิกรา มารู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่ได้ยินเสียงของเพื่อนในทัวร์เดียวกันร้องเรียก “เจ้าขา มัวเหม่ออะไรอยู่น่ะ ไหว้พระเสร็จแล้วก็ขึ้นรถเร็ว จะได้กลับกัน” หญิงสาวปราดสายตามองไปก็พบว่าเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยคนหนึ่งของเธอกำลังก้าวขึ้นรถทัวร์คันใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า ขณะที่คนอื่นๆ ขึ้นรถทัวร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือแต่เธอนี่ล่ะที่เดินทอดน่อง ไม่รู้อะไรกับเขาอยู่คนเดียว “เอ้า เรียกแล้วยังจะมองอีก รีบมาเร็วเข้า รีบขึ้นรถ!” เพื่อนตะโกนเรียกอีกครั้ง เจ้าขาจึงออกความเร็วไปยังรถทัวร์มากขึ้น แต่ก็ไม่วายหันมองไปทางด้านหลังยังจุดที่มี ‘คุณลุง’ คนนั้นยืนอยู่ เพื่อจะดูว่าเขายังอยู่ที่เดิมหรือไม่ เขาไม่อยู่แล้ว... เจ้าขาหันกลับมาด้วยความผิดหวัง ก่อนจะสลัดความคิดนั้นทิ้งไป เร่งฝีเท้าเพื่อให้ก้าวไปถึงรถทัวร์เร็วยิ่งขึ้น โดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่าบริเวณที่เธอเดินอยู่นั้น มีรถทัวร์ของบริษัทอื่นขับเข้ามาเทียบท่าพอดี อะไรไม่ว่า ดูแหมือนคนขับจะมองไม่เห็นเธอเสียด้วย ภาพที่เห็นอยู่นั้นทำเอาเพื่อนของเจ้าขาหวีดร้องขึ้นมาสุดเสียง “เจ้าขา! ระวัง!” วินาทีนั้น เจ้าขาเองก็หันใบหน้าไปมอง แต่ดูจะไม่ทันเสียแล้วเมื่อหน้ารถทัวร์พุ่งเข้ามาหาเธออย่างจังในระยะกระชั้นชิด ทำให้หญิงสาวไม่ทันได้คิดหลบหลีกหรืออะไรทั้งสิ้น ได้แต่หลับตาปี๋พร้อมกับหัวใจที่สั่นระรัวด้วยความหวาดกลัวเท่านั้น โครม! เสียงรถทัวร์ชนเข้ากับกำแพงบริเวณนั้นดังขึ้น พร้อมกับรถทัวร์ที่หยุดสนิท ก่อนจะมีเสียงหวีดร้องดังตามให้หลังมาจนจับไม่ถูกว่าใครพูดอะไร หูของเจ้าขายังคงได้ยินเสียงเต็มสองรูหูและชัดเจนเสียด้วย คราแรกเจ้าขาคิดว่าตัวเองนั้นคงจะโดนชนอัดกำแพงเข้าให้แล้วด้วยแผ่นหลังของเธอกระแทกเข้ากับแผ่นอะไรบางอย่างเต็มแรงเหมือนกัน เธอต้องบาดเจ็บสาหัส หรือไม่ก็ต้องตายในอีกไม่กี่นาทีให้หลังแน่นอน แต่ทว่าก็ต้องตกใจจนพรึงเพริดเมื่อฉับพลันก็ได้ยินเสียงทุ้มของใครบางคน “ลืมตาสิ” เป็นเสียงที่อยู่ตรงหน้า... เจ้าขาเบิกตาโต มองสีหน้าเคร่งเครียดของคนตรงหน้าแล้วก็อุทานลั่น “คะ...คุณลุง!” เป็นคุณลุงจริงๆ คุณลุงคนเดียวกับที่เธอคุยกับเขาก่อนหน้านี้ ขณะที่เขาตีหน้านิ่วแล้วถามเสียงเครียด “เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” บอกตามตรงว่าเจ้าขาลืมเจ็บไปแล้ว จะมีก็แต่ภาพในความ ทรงจำในอุบัติเหตุเมื่อตอนอายุสิบปีเท่านั้นที่ไหลเวียนมาให้ระลึกถึงในเสี้ยววินาที ก่อนที่จะกลายเป็นภาพทับซ้อนเมื่อเห็นใบหน้าของคุณลุงที่ขยับริมฝีปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ฉันถามว่าเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า ตอบสิ” น้ำเสียงที่ดังขึ้นมาเล็กน้อยเรียกให้เจ้าขาหลุดออกจากภวังค์ เธอส่ายหน้าดิก ขณะที่เขาใช้มือข้างหนึ่งประคองท้ายทอยเธอเอาไว้แล้วพลิกดูโดยรอบ ไม่แตก ไม่ถลอก แต่อาจจะมีการกระแทกนิดหน่อยเพราะถูกรถทัวร์ชนครูดไปจนกระแทกกำแพง เจ้าขาอาจจะเจ็บช้ำกับปวดเนื้อปวดตัวอยู่พอสมควร ต้องให้หมอตรวจอย่างละเอียดอีกที และใช่ เธอถูกรถทัวร์ชนกระแทกกับกำแพง ตอนนี้เองที่เจ้าขาได้สติกลับมา เธอเบิกตาโตมากขึ้นไปอีกเมื่อพบว่าเบื้องหน้าของเธอนั้นมีชายวัยกลางคนคร่อมเธอเอาไว้โดยเอาตัวเองเป็นกันชนระหว่างรถทัวร์กับตัวเธอ ขณะที่แขนข้างหนึ่งของเขาก็ประคองแผ่นหลังของเธอเอาไว้มั่นคล้ายกับว่ากลัวว่าร่างกายเธอจะถูกกระแทกจากสิ่งรอบข้าง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ที่สำคัญก็คือ...ทำไมเขาถูกรถทัวร์ชนแล้วไม่เป็นอะไรเลย!? หญิงสาวปราดสายตาตั้งแต่ศีรษะสีขาวดอกเลาไปถึงหน้าอกแกร่ง นอกจากฝุ่นละอองต่างๆ แล้ว เขาก็ดูไม่มีรอยฟกช้ำใดๆ สักนิด ทำให้เจ้าขาต้องสั่นเทาขึ้นมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนที่เรียวปากบางจะค่อยๆ เอ่ยน้ำเสียงแผ่วเบาออกมา โดยรอบข้างนั้นมีการถ่างงัดเพื่อช่วยเหลือเธออยู่จ้าละหวั่น แต่เสียงเหล่านั้นไม่เข้าหูเธอเลยสักนิด นอกเสียจากเสียงของเธอเอง “คะ...คุณ...ไม่เป็นอะไรเลย...” เหมือนกับตอนนั้น...ตอนที่เขาช่วยเธอ เขาก็ไม่เป็นอะไรเลย สักนิด ความมั่นใจว่าเขาคือคนเดียวกับคนที่ช่วยชีวิตเธอในตอนนั้นพรั่งพรูออกมาทั่วสรรพางค์กายอีกครั้ง พลันคำถามบางอย่างก็ปรากฏพรายในหัว “ทะ...ทำไม...” ทำไมถึงช่วยเธอ...ทำไมกัน!? เขาไม่ตอบ และไม่คิดจะให้คำตอบด้วย ได้แต่ปล่อยให้เจ้าขาคิดวกวนสับสนอยู่เพียงลำพังในเพียงเวลาไม่กี่วินาที “แล้วคุณก็...คุณ...ไม่ใช่มนุษย์...” ปลายเสียงนั้นแห้งผาก และคำพูดก็กลับกลายเป็นก้อนน้ำลายที่ยากจะกลืนลงคอเมื่อการจับจ้องดวงตาเธอเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นถูกต้อง เจ้าขาเกร็งตัวแข็ง ทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาทันที แม้ว่าจะเห็นดวงวิญญาณที่มาเป็นรูปร่างของมนุษย์ค่อนข้างบ่อย แต่ก็ไม่เคยมีดวงวิญญาณดวงไหนทำให้เธอรู้สึกหวั่นเกรงระคน...ความรู้สึกที่ยากจะบรรยายอย่างบอกไม่ถูกแบบนี้มาก่อนเลย มันเป็นความรู้สึกที่...โหยหา...คิดถึง...ห่วงใย... ใช่หรือเปล่า เจ้าขาไม่แน่ใจนัก และไม่ทันที่จะได้คิดถามคนที่อยู่ตรงหน้า เธอก็ได้ยินน้ำเสียงทุ้มดังเข้ามาในโสตประสาทเสียก่อนแล้ว “เจ้าขา...” “...” “เธอรู้ความลับของฉันแล้ว...” เธอไปรู้ความลับของเขาเรื่องอะไรกัน!?
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม