“นานเพียงใด”
ชายชุดดำชะงักไปครู่ คอหดเมื่อคิดไปว่าตนรายงานเรื่องใดผิดไปอย่างนั้นหรือ มีเรื่องใดนานหรือไวกัน เมื่อหาคำตอบไม่ได้จึงขยับถอยร่นไปด้านหลังพร้อมค้อมตัวลงถามเสียงเบา แม้จะถูกฝึกมาแกร่งกล้า ต่อสู้ได้ทุกรูปแบบ สู้ได้ทุกข้าศึก แต่สิ่งเดียว ผู้เดียวที่เหล่าชายชุดดำกลัวก็คือร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพจางซงหยวนนี่เอง
“ท่านแม่ทัพว่าอย่างไรนะขอรับ”
“เจียวต้าหลิงพูดคุยกับนางนานเพียงใด”
จบคำถามจี้ชี้เฉพาะเจาะบุคคลและเรื่องราวก็ทำเอาชายชุดดำงงงันไปครู่แล้วตอบเสียงตะกุกตะกักไม่มั่นใจ
“อะ เอ่อ ราว ราวครึ่งชั่วยามได้ขอรับ”
ทันทีที่ได้ยินคำตอบว่านานถึงครึ่งชั่วยามที่ได้คุยกันตามลำพังทั้งยังชมพระอาทิตย์ตกดินไปด้วยนั้น บรรยากาศภายในกระโจมหลังใหญ่ของแม่ทัพผู้นำศึกพลันเงียบลง เมฆหมอกแห่งความอึดอัดแผ่คลุมไปทั้งกระโจมเลยทีเดียว รองแม่ทัพและทหารคนสนิทที่ยืนในนั้นต่างพากันเหลือบตามองหน้ากันโดยไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
“เรียกว่าต้าหลิงด้วยอย่างนั้นหรือ”
ไม่คล้ายคำถามเลยสักนิด น้ำเสียงฟังแล้วอาฆาตอยู่ในที ชายชุดดำได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เหลือบสายตาไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นในกระโจมก็หาได้มีใครช่วยเหลือตนสักคนเดียว
แล้วก็เหมือนกับสวรรค์จะเห็นใจ เสียงทุ้มทรงอำนาจเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“ออกไปได้”
ชายชุดดำหมุนตัวจะออกไปด้วยเนื้อตัวสั่นเทาหวาดกลัวน้ำเสียงและสายตาของแม่ทัพจางซงหยวนอยู่ไม่น้อยแต่แล้วกลับถูกรั้งไว้ด้วยคำพูดอีกประโยค
“เดี๋ยว!”
“ขอรับ”
“กลับไปทูลฮ่องเต้เรื่องปราบโจรภูเขาหนานฟู่ว่าเรียบร้อยดี”
ผู้ติดตามผู้นั้นได้รับคำสั่งแล้วจึงได้เร้นกายจากไป จางซงหยวนหยิบอาวุธประจำกายแล้วออกจากกระโจมหลังใหญ่ตรงไปยังลานผูกม้าทันที
รองแม่ทัพและนายทหารคนสนิทเห็นก็รีบตามหลังไป ถามไล่หลังไปพร้อมด้วย “ท่านแม่ทัพจะไปไหนหรือขอรับ นี่ก็มืดแล้ว รอให้เช้าค่อยเคลื่อนกำลังพลกลับ...”
“โจรภูเขาก็ถูกปราบจนหมดแล้ว ชาวบ้านอยู่กันอย่างปลอดภัยแล้ว ต้องอยู่รอสิ่งใด”
“อย่างนั้นให้พวกเราเก็บข้าวของ...”
“ไม่ต้อง ข้าจะล่วงหน้าไปก่อน พวกเจ้าอยู่กินดื่มพักผ่อนแล้วก็กลับเข้าเมืองหลวงตามมาภายหลัง”
“ขอรับ”
ทั้งสามยกมือรับคำท่านแม่ทัพของตนแล้วค่อยหันมามองหน้ากันอีกครั้ง
“เหตุใดจึงต้องรีบจากไปยามนี้ ไม่รอให้เช้าก่อนแล้วค่อยไป”
“มิใช่ว่ารีบกลับ เพราะองค์หญิงสาวเรียกว่าพี่ต้าหลิง อีกทั้งเจียวต้าหลิงก็ยังใช้เวลากับองค์หญิงสามนานเกินไปหรอกหรือพี่จิ้นสิง”
“เงียบปากของเจ้าเถอะน่า อยากโดนโบยอีกหรือ”
ทั้งสามมองตามฝุ่นจากฝีเท้าม้าตัวโปรดของท่านแม่ทัพจนหายลับตาไปแล้วค่อยเดินกลับไปกินดื่มกับเพื่อนทหารในค่าย ก่อนจะเคลื่อนทัพกลับเข้าเมืองตามคำสั่งของท่านแม่ทัพในวันรุ่งขึ้น
หลี่เยี่ยนถิงแวะไปยังวัดหย่งเหอเพื่อสวดขอพรให้ลุงอี้ซวนในวันคล้ายวันเกิดของท่าน ก่อนกลับนางไม่ลืมขอแผ่นป้ายมงคลให้อายุยืนจากเจ้าอาวาสนำมาให้ท่านลุงด้วย
เมื่อได้ของตามต้องการแล้วร่างเล็กๆ ที่ใช้ผ้าคลุมปิดบังใบหน้าก็ค่อยๆ เดินลงมายังบ้านที่ห้อมล้อมด้วยไม้ใหญ่ที่รายล้อมด้วยผืนนาหลายแปลงตรงตีนของภูเขาด้านล่างของวัดหย่งเหอ
วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของลุงอี้ซวน ก่อนมาหนึ่งวัน หลี่เยี่ยนถิงเข้าไปพบพี่อวี้หลันอีกครั้ง ตั้งใจชวนให้มาด้วยกันแต่กลับได้ความเงียบเป็นคำตอบ
คิดแล้วก็ได้แต่ถอนใจ อดคิดไปถึงเมื่อครั้งยังวัยเยาว์ไม่ได้
เมื่อตอนแรกที่ได้พบลุงอี้ซวนและพี่อวี้หลันนั้นอายุของนางเพิ่งเริ่มรู้ความ นางจำได้ว่ามีชายร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะมายืนที่หน้าตำหนักของนาง แม่ทัพผู้นั้นมาพร้อมกับพี่สาวที่อายุมากกว่านางหลายปี ได้เจอหน้ากันแล้วร่างสูงใหญ่ร่างนั้นก็เอ่ยแนะนำตัวเอง
“กระหม่อมเติ้งอี้ซวนและนี่บุตรสาวของกระหม่อมเติ้งอวี้หลันพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เยี่ยนถิงถึงกับทำหน้าไม่ถูก ไม่เคยมีใครให้ความเคารพนางในฐานะองค์หญิงขององค์ฮ่องเต้มาก่อน ต่อให้พูดด้วย ก็ไม่ได้มีท่าทีนอบน้อมให้ความเคารพอย่างท่านลุงผู้นี้ เมื่อรับรู้ได้ถึงความเป็นมิตรนางก็ค่อยเผยรอยยิ้มออกมาจาง ๆ
“ให้เยี่ยนถิงเรียกท่านลุงได้หรือไม่”
ร่างสูงใหญ่นั้นมองนางด้วยสายตาเอ็นดูคือแล้วจึงส่งรอยยิ้มจริงใจกลับมาให้นาง ก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็ว
“ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านลุง” เสียงเล็กและใสแต่แฝงแววว้าเหว่และหวาดกลัวเปล่งออกจากริมฝีปากขาวซีดก่อนที่ใบหน้าขององค์หญิงเยี่ยนถิงจะมองไปยังร่างของพี่สาวข้างกายของท่านลุงอี้ซวน
“แล้วพี่สาวท่านนี้ให้เยี่ยนถิงเรียกเช่นไร”
เด็กสาวข้างกายท่านลุงมองหน้าท่านลุงแล้วก็หันมายิ้มให้นาง ตอบชื่อของตนเองส่งกลับมาว่า “หม่อมฉันชื่ออวี้หลันเพคะ”
“ให้เยี่ยนถิงเรียกท่านว่าพี่อวี้หลันได้หรือไม่”
แววตาของคนถูกขอเป็นประกายซุกซนไม่น้อยก่อนที่ตนจะพยักหน้ารับอย่างไว แล้วพูดตอบมา “ย่อมต้องได้สิน้องสาม”
ท่านลุงดูตกใจไม่น้อยที่บุตรสาวของตนเรียกนางอย่างสนิทสนมเช่นนั้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้ากันแม้ท่านจะเอ็ดแล้ว แต่เสียงของตนก็ถูกกลบด้วยเสียงพูดคุยกันอย่างสนิทสนมและสนุกสนานของเด็กสาวทั้งสองคน
ท่านลุงมาหานางอีกหลายครั้งหลังจากพบกันครั้งแรก ท่านจะมาพร้อมอาหารปิ่นโตหนึ่งเถาที่มีกับข้าวอัดแน่นในนั้น อีกทั้งขนมและผลไม้อีกถุงใหญ่ พวกเขาคอยดูแลนางอยู่ที่ตำหนักตั้งแต่เช้า พี่สาวอยู่เป็นเล่นเป็นเพื่อนนาง ได้พานพบกันเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง ทั้งสองก็หายหน้าไป ไม่ได้พานพบกันอีก
หลี่เยี่ยนถิงไม่ใช่เด็กช่างพูด นางมีเพียงสาวใช้ใบ้อยู่กับนาง ก็ไม่รู้ว่าจะถามเอาจากใครได้ว่าท่านลุงอี้ซวนและพี่อวี้หลันหายไปไหน
แม้จะมีเรื่องเล่าข่าวลือมากมายเกี่ยวกับลุงที่ว่าท่านถูกสืบสาวคดีความเก่าว่าลอบคบชู้กับนางสนมในวังจึงถูกเนรเทศให้ออกไปอยู่ที่นอกเมือง เมื่อหักล้างกับความดีความชอบแล้วนั้นท่านก็ยังสามารถรักษาชีวิตของตนเองอยู่ จริงเท็จแค่ไหนใครจะได้เรื่องนั้น
หลังจากพระชนมายุเจ็ดพรรษา หลี่เยี่ยนถิงไม่ได้พบกับท่านลุงอีกครั้ง
ครั้งนั้นนางออกจากตำหนัก โดยมีพี่ห้าพานางไป นางก็ได้พบกับบ่าวรับใช้ของลุงอี้ซวน จึงได้รู้ข่าวว่าท่านอาศัยอยู่ที่บ้านหลังเล็กตรงนอกเมือง
ตอนนั้นอายุของนางราวสิบสามปีนางมีคนมาลวนลามและได้คนช่วยซึ่งก็คือพี่อวี้หลัน ก่อนจะมารู้ทีหลังจากผู้ติดตามของหญิงคนนั้น ว่านางชื่อ เติ้งอวี้หลัน อีกทั้งนางยังเป็นบุตรสาวคนเดียวของอดีตแม่ทัพใหญ่เติ้งอี้ซวนอีกด้วย ตอนนั้นเองสติของนางค่อยๆ รวบรวมข้อมูลที่มีอยู่ในหัวพบว่าที่แท้พี่สาวที่ลุงอี้ซวนเคยพาไปหายังตำหนักก็คือพี่อวี้หลันนี่เอง