...บทนำ...
พวงชมพู สุรเดช หญิงสาววัย 22 ปีที่เพิ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของต่างประเทศ กำลังนั่งรถไปยังไร่ของบิดาด้วยความตื่นเต้น
บิดาของเธอเป็นเจ้าของไร่ธารน้ำใส ที่มีชื่อเรียกเช่นนี้เพราะบริเวณไร่มีลำธารหลายสาย แต่ไม่ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชม จะเรียกว่าไกลปืนเที่ยงก็ยังได้ มารดาของเธอเป็นบุตรสาวคนเดียวของคุณหญิงไพลินและท่านพงศ์พัทธ์ ซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกรม ตอนนี้คุณตาของเธอปลดเกษียรเรียบร้อยแล้ว
ตั้งแต่จำความได้ เธอไม่เคยล่วงรู้มาก่อนว่าบิดายังมีชีวิตอยู่ มารดาบอกว่าท่านเสียชีวิตแล้ว เธอจึงอยู่กับมารดามาโดยตลอด แม้ลึกๆ ก็อยากมีบิดาเหมือนคนอื่นเขา แต่ด้วยความที่ว่ามารดารักเธอดูแลเธอเป็นอย่างดี เธอจึงไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อยแต่อย่างใด จึงไม่ได้เรียกร้องอยากได้บิดาจนทำให้บุพการีเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่อึดอัด
หากไม่เพราะอารดา... เพื่อนสาวที่เดินทางไปเรียนประเทศเดียวกันกับเธอ เธอคงไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว บิดายังมีชีวิตอยู่
ในครานั้นอารดาเดินทางกลับประเทศไทยมาเยี่ยมครอบครัวในช่วงปิดเทอม เพื่อนรักได้นำรูปของเธอมาให้ครอบครัวดู แล้วเผอิญกวี ผู้เป็นบิดาได้เห็นรูปเธอแล้วสะดุดใจ เท้าความกันไปมา จึงได้รู้ว่าเธอเป็นลูกสาวของแม่พิมพ์ ซึ่งก็คือพิมพ์มาดา สุรเดช อดีตภรรยาของกวี บิดาของเธอ
เธอเพิ่งมารู้อีกว่า ทั้งสองแยกทางกัน โดยที่พ่อของเธอไม่เคยล่วงรู้ว่าแม่ของเธอตั้งครรภ์ เหตุนี้ท่านจึงไม่เคยระแคะระคายว่าตัวเองมีลูก หลังจากนั้นบิดาก็แต่งงานใหม่ นัยน์ว่าเป็นเพื่อนรักกับมารดา เธอไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเหตุใด แต่เพราะเป็นเรื่องของผู้ใหญ่จึงไม่ได้เซ้าซี้ให้มากความ
แม้อยากรู้ว่าเหตุใดบิดามารดาถึงเลิกรากันไป แต่เพราะเป็นเรื่องแต่หนหลังของคนสองคนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันไม่ได้ เธอเลยไม่ได้ซักไซ้ หลังจากนั้นก็แอบติดต่อกับบิดามาโดยตลอด จนกระทั่งเธอเรียนจบ ท่านจึงได้เปิดเผยว่าเธอมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่ที่ประเทศไทย เธอจึงอยากจะปฏิเสธการหมั้นหมาย และอยากเจอบิดาจริงๆ สักครั้งในชีวิต จึงขอมารดาเดินทางมาประเทศไทยเพื่อมาเยี่ยมคุณตาและคุณยาย ก่อนขออนุญาตพวกท่านเดินทางมาหาบิดา โดยอ้างว่ามาหาเพื่อนที่ต่างจังหวัด ที่เรียนด้วยกันที่ต่างประเทศ นั่นก็คืออารดานั่นเอง พวกท่านถึงได้ยอมตามใจ เพราะเห็นว่าเธอก็โตแล้ว แถมยังใช้ชีวิตในต่างแดนตั้งแต่เด็ก คงไม่มีเหตุร้ายอันใด ในเมื่อพวกท่านก็เคยพบเจออารดามาก่อน
เธอส่งจดหมายฉบับสุดท้ายมาให้บิดา ท่านตอบกลับมาว่าจะส่งคนมารับ ส่วนอารดานั้นกำลังคบหากับแฟนหนุ่มต่างชาติอยู่ ทั้งสองจึงเดินทางไปเที่ยวด้วยกัน โดยที่ไม่ได้เปิดเผยให้ใครรู้ มีเพียงเธอเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงอ้างชื่อของเพื่อนได้
บิดาเขียนมาในจดหมายว่าจะส่งคนมารับเธอที่ท่ารถ การเดินทางทุกอย่างเรียบร้อยจนน้าคนหนึ่งมาแจ้งว่าบิดาของเธอสั่งให้มารับ เขามีชื่อว่าสมนึก เธอจึงโล่งใจว่าไม่ต้องยืนคอยนาน ในสถานที่ที่ไม่รู้จักใครเลยสักคนแบบนี้
เธอยังไม่มีแฟนหรือคบหาดูใจกับใคร มีเพียงเพื่อนชายคนสนิทคนเดียวที่เขาเที่ยวไล้เที่ยวเขื่อจีบเธอมาตลอดหลายปี นึกถึงแฮรี่เธอก็ต้องอมยิ้ม คิดในใจว่าเธอกับเขาเหมาะที่จะเป็นเพื่อนกันมากกว่าแฟน เธอไม่อยากให้ความสัมพันธ์หลายปีต้องพังลงหากคบเป็นแฟนแล้วไปกันไม่ได้
เธอต้องยกเลิกการถอนหมั้นกับลูกชายเพื่อนรักของบิดาเสียตั้งแต่ตอนนี้ ซึ่งเธอก็ลืมชื่อเขาไปเสียสนิทว่าเขาชื่ออะไร เพราะบิดาเคยเอ่ยชื่อเขาอยู่ครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง และด้วยความที่อารดาก็ยุ่งกับชีวิตส่วนตัวและการคบหากับแฟนหนุ่ม
เธอจึงไม่ได้เอ่ยปรึกษาเรื่องนี้กับเพื่อน แต่ตัดสินใจด้วยตนเอง โชคดีที่เพื่อนเดินทางไปท่องเที่ยวกับคนรัก เพราะถ้าอารดายังอยู่อังกฤษ มารดาคงต้องสงสัยหากโทร.มาถามตากับยายแล้วเธอแอบอ้างว่ามาหาอารดาที่ต่างจังหวัด
“เบรกรถทำไมคะน้าสมนึก” พวงชมพูหลุดจากภวังค์ความคิด รีบเอ่ยถามคนขับรถที่มารับเธอจากท่ารถด้วยความตกใจ
“มีคนนอนสลบอยู่บนถนนครับคุณพิ้งค์” สมนึกรายงานแต่ยังไม่ลงจากรถ ทำทีคล้ายกับระแวดระวังภัย
“รีบลงไปดูสิคะน้าสมนึก อาจจะเป็นใครมาเป็นลมอยู่ก็ได้ เผื่อเขาต้องการความช่วยเหลือ” พวงชมพูรีบบอกสมนึกด้วยความเอื้อเฟื้อห่วงใยคนที่นอนสลบไสลอยู่หน้ารถ ด้วยกลัวจะเป็นอะไรมากไปกว่านี้
“ครับๆ คุณ” สมนึกรีบพยักหน้ารับ ลงไปดูตามคำสั่ง
“เขาเป็นยังไงบ้างคะน้าสมนึก” พวงชมพูเดินตามลงมาด้วย เอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล เมื่อเห็นสมนึกพยายามจะพลิกร่างของคนที่สลบอยู่หน้ารถขึ้นมา
“หยุดนะ อย่าขยับ”
คนที่นอนอยู่บนพื้นลุกขึ้นมาเอาปืนจ่อ และมีพรรคพวกอีกหลายคนที่ออกมาจากที่ซ่อนตัว สมนึกตกใจหน้าซีดยกมือขึ้นเหนือหัว
“กรี๊ด! ว้าย! ปล่อยนะ” พวงชมพูกรีดร้องอย่างตกใจเมื่อโดนพวกมันกระชากเข้าไปหา แล้วจ่อปืน ล็อกคอเอาไว้
“คุณ” สมนึกหันมาทางพวงชมพู เอ่ยเรียกอย่างห่วงใย
“น้าสมนึก” พวงชมพูก็ไม่ต่างกัน เธอเรียกคนขับรถด้วยความตระหนก
“เอาไอ้หมอนี่ไปฆ่าหมกป่าซะ อย่าทิ้งหลักฐานอะไรให้จับได้ล่ะ” หนึ่งในไอ้โม่งที่คลุมหน้าคลุมตามิดชิดสั่งเสียงเหี้ยมไร้ความปรานี
“อย่าทำน้าสมนึกนะ อย่าทำ” พวงชมพูหวีดร้องเสียงหลง น้ำเสียงสั่นรัว เหงื่อแตกพลั่กด้วยความกลัวสุดหัวใจ
“โอ๊ย!” สมนึกร้องด้วยความเจ็บเมื่อโดนทั้งเข่า ศอก และก็เท้า
“กรี๊ด!!! อย่าทำน้าสมนึกนะ อย่าทำ”
“หุบปากซะสาวน้อย ถ้าไม่อยากเจ็บตัว”
“ลากไอ้หมอนี่ไปโยนที่หน้าผา” เสียงเหี้ยมของมันทำให้พวงชมพูแทบสิ้นสติ
“อย่านะ อย่าทำ”
“คุณ” สมนึกร้องเรียกพวงชมพูด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“คนใจร้าย ปล่อยฉันนะ”
“นังนี่ปากดี มันน่านัก”
“อย่านะพี่ เจ้านายบอกว่าอย่าให้มีแม้แต่รอยแผล”
“เจ้านายพวกแกเป็นใคร” พวงชมพูได้ยินพวกมันคุยกัน เธอจึงเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ เธอไม่มีศัตรูที่ไหน เหตุใดจึงมีคนลอบดักทำร้ายระหว่างทางแบบนี้
“เป็นใครอย่ารู้เลย เฮ้ย! พวกเอ็ง ลากนังนี่ออกไปจากที่นี่ก่อน เดี๋ยวมีคนมาพบ”
“โอ๊ย!” เสียงร้องและร่างที่ฟุบไปกับพื้นดินด้วยมีดที่ปักเข้าที่คอด้วยความเร็วและความแม่นยำ พวกมันโกลาหลเมื่อโดนจู่โจม มีดสั้นที่ถูกเขวี่ยงออกมาติดๆ กันก่อนที่พวกมันจะล้มลงไปกับพื้นเสียชีวิตคาที
“กรี๊ด!!!” พวงชมพูกรีดร้องด้วยความกลัว เธอนั่งลงกอดตัวเองร่างสั่นเทา คิดว่าอาวุธร้ายพวกนั้นคงจะพุ่งมาปักเข้าที่คอ หัว หรือไม่ก็ตัวเธอเช่นกัน
“มันตายหมดแล้วเจ้านาย” เสียงหนึ่งดังอยู่ไม่ไกลจากเธอ ก่อนที่ร่างบอบบางจะลอยหวือขึ้นไปสู่อ้อมแขนของอุกฤษฏ์
“อย่าทำอะไรฉันเลย ฉันกลัวแล้ว”
พวงชมพูยกมือไหว้ หลับตาปี๋ด้วยความกลัว แม้จะอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เด็ก แต่มารดาสอนให้เรียนภาษาไทย อ่านออก เขียนได้ พูดคล่อง อีกทั้งยังสนทนากับผู้เป็นตาและยายอยู่เสมอๆ เธอจึงใช้ภาษาไทยอย่างไม่ติดขัด และรู้จักธรรมเนียมไทย อยู่ในกรอบประเพณีอันดีงาม เป็นกุลสตรีตามที่มารดาพร่ำสอน เรื่องการรักนวลสงวนตัวไม่ปล่อยเนื้อปล่อยตัว
“อย่าดิ้นสิแม่คุณ เดี๋ยวตกจากหลังม้าหรอก”
เสียงเข้มปนรำคาญดังขึ้นตรงหน้าเธอ พวงชมพูเพิ่งรู้ว่าเธอถูกอุ้มลอยขึ้นมาอยู่บนหลังม้าเสียแล้ว แถมยังเจอกับผู้ชายหน้าดุที่รกไปด้วยหนวดเครา
“กรี๊ด!!! ปล่อยนะ นายจะทำอะไรฉันน่ะ จะพาฉันไปไหน”
“อย่าดิ้นมากสิคุณ เห็นไหมว่ายิ่งดิ้นยิ่งเบียดเสียดสีกับอะไรของผมบ้าง”
“ลามก โรคจิต” พวงชมพูหยุดดิ้นทันทีเพราะเธอเองก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างของผู้ชายที่ตุงอยู่ใต้กางเกงยีนส์หนาเก่าๆ ตัวที่เขาสวมอยู่ เธอไม่ใช่เด็กไร้เดียงสา เข้าใจดีว่ามันคืออะไร