"เราจะไปกับฮองเฮา ไม่ได้ไปอารามหลวงนานแล้วเช่นกัน วันนี้โอกาสดียิ่งที่จะได้ไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นั่น"
"หืม"
หลิวฉูฉู่โบกมืออีกข้างที่ยังว่างรีบปฏิเสธ
"อย่าเลยเพคะ เห็นว่างานฝ่าบาทโคตรจะยุ่งฝ่าบาทก็อยู่ทำงานต่อเถอะ หม่อมฉันไม่รบกวนแล้ว ทูลลาเพคะ"
หลิวฉูฉู่ยอบกาย พยายามวิ่งหนีเหมือนกวางน้อยที่ตื่นเตลิด หากเธอไปอารามหลวงพร้อมเขา แล้วผู้ชายคนนี้ดันมาเห็นเธอซึ่งเป็นวิญญาณชักดิ้นชักงอ จะไม่หาหมอผีมาไล่ปราบหรอกเหรอ ไม่มีทาง เธอจะไม่ไปพร้อมเขาเด็ดขาด
"หรือฮองเฮากล้าขัดคำของเรา"
ดวงตากลมโตงามซึ้งมองเขาอย่างไม่ชอบใจ ยิ่งทำให้โจวจื่อเหลียงสับสน ใบหน้านี้คือหลิวฉูฉู่แต่เหตุใดเขาถึงสัมผัสได้ถึงความแตกต่างมากมายเพียงนี้
มือข้างหนึ่งของโจวจื่อเหลียงที่ถือผ้าเช็ดหน้าของนางอยู่ ไม่รู้เมื่อใดกันที่เขายัดผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นไว้ในอกเสื้ออย่างไม่ตั้งใจ
"ฝ่าบาททำงานเถิดเพคะ หม่อมฉันไปคนเดียวได้"
"หรือว่าฮองเฮามีสิ่งใดที่ปกปิดเราไว้ ไม่ต้องการให้เรารู้"
คำถามนั่นแสดงชัดเจนว่าเขาเกิดความรู้สึกคลางแคลง หลิวฉูฉู่เม้มริมฝีปากนิ่งอึ้งอยู่ชั่วครู่กระทั่งนางเอ่ยว่า
"ไม่กล้าเพคะ หม่อมฉันไม่มีสิ่งใดปิดบัง เพียงแค่ไม่อยากรบกวน"
"ไม่รบกวน"
"คนมากเพียงนี้ หม่อมฉันต้องการความสงบ"
"เราจะให้เพียงตงกงกงติดตาม คนอื่นไล่ไปให้หมด"
หลิวฉูฉู่ตัดใจแล้วเมื่อห้ามฝ่าบาทที่ดื้อรั้นคนนี้ไม่ได้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด หากเธอเกิดร้อนวิญญาณออกจากร่าง หรือเพียงแต่ชักดิ้นชักงอก็คงได้แต่อ้างกับเขาว่าป่วยหนัก หลังจากนั้นก็อยู่ใครอยู่มันก็แล้วกัน
"ก็ได้เพคะ ไปก็ไป"
นัยน์ตาของโจวจื่อเหลียงเปล่งประกาย
"เช่นนั้นก็ดี เราเองไม่อยากให้ฮองเฮาคลาดสายตา"
จู่ ๆ คนผู้นี้ก็ก้มลงมาเอ่ยคำนี้ ดวงตาคู่นั้นจับจ้องใบหน้างามจนหลิวฉูฉู่บังเกิดอาการคันยิก ๆ บริเวณหัวใจ
เธอหลบสายตาของเขาเล็กน้อยทั้งยังรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมสมุนไพรจาง ๆ ที่โชยออกมาจากร่างสูง
หัวใจของหลิวฉูฉู่เต้นแรงขึ้นเมื่อเนตรคมนั้นสบเข้ากับตาคู่งามไม่หลบหลีก
คราวนี้ทำให้เธอรู้สึกหน้าร้อนวูบวาบจนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นไข้
คนอะไรดวงตาคมยังกะมีดโกน
เธอคล้ายจะเห็นรอยยิ้มในดวงตาของเขาเล็กน้อย ในยามที่เขาจ้องหน้าอยู่นี้
หลิวฉูฉู่ยอมรับก็ได้ว่าผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจของจริง
"ไปกันเถิด ฮองเฮารีบไม่ใช่หรือ"
โจวจื่อเหลียงเดินนำหน้าเธอไปอย่างช้า ๆ มือใหญ่ยังจับข้อมือของเธอไม่ปล่อยยังเอ่ยต่อว่า
"อารามหลวงอยู่ไม่ไกล ฮองเฮาจะเดินเป็นเพื่อนเราได้หรือไม่"
แน่นอนว่าเมื่อฝ่าบาทต้องการเดิน หลิวฉูฉู่ก็ไม่อาจนั่งเกี้ยวได้ เธอจึงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า
"เพคะ"
ฝ่าบาทกับฮองเฮาเดินเคียงข้างกันเช่นนี้ล้วนสร้างความแตกตื่นให้กับข้าราชสำนัก
ผู้ใดจะไม่รู้บ้างว่าฝ่าบาทไม่ทรงโปรดฮองเฮาเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่ที่ฮองเฮาขึ้นครองตำแหน่งนี้นับขวบปีได้ สิ่งที่ทุกคนล้วนคุ้นเคยคือการที่ฝ่าบาทพยายามหลีกเลี่ยงฮองเฮาให้ได้มากที่สุด
ทว่าภายหลังจากที่ฮองเฮาตกน้ำฟื้นคืนสติขึ้นมา กลับทำให้ฝ่าบาททรงห่วงใยฮองเฮาแล้วเช่นนั้นหรือ
อันที่จริงแล้วการกระทำของโจวจื่อเหลียงในครั้งนี้ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นเพราะความสงสัยใคร่รู้และความรู้สึกประหลาดในใจ เขาส่งให้คนติดตามฮองเฮาอย่างใกล้ชิด ทุกสิ่งรวมทั้งการกระทำของนางที่คนมารายงานนั้นนับวันยิ่งทำให้เขาประหลาดใจ
ความสนใจในตัวของหลิวฉูฉู่นับวันเพิ่มมากขึ้นทั้งยังเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ โดยที่โจวจื่อเหลียงเองก็ไม่รู้ตัวเอง
ยามนี้เมื่อได้พบนางโดยบังเอิญจึงทำให้เขาคิดที่จะค้นหาว่าสตรีนางนี้ที่จริงแล้วมีแผนการอันใดซุกซ่อนอยู่ข้างใน หรือว่านางจะเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ ทว่า เหตุใดนางจึงเปลี่ยนไปเล่า
คนที่หนุนหลังเขามีมากมายนักที่ต้องการให้เขาปลดฮองเฮาผู้นี้ โจวจื่อเหลียงแต่เดิมคิดหาวิธีโดยไม่ทำให้ไทเฮาลำบากพระทัยและไม่กระทบต่อความรู้สึกของฝ่ายสนับสนุนฮองเฮาจนเกิดความวุ่นวายนั้นตลอดมายังหาวิธีไม่ได้
ทว่าตอนนี้เขากลับไม่รู้สึกรังเกียจที่จะเข้าใกล้หลิวฉูฉู่เช่นเคย
อุทยานหลวงกว้างใหญ่ไพศาลทั้งยังมีน้ำตกจำลองที่งดงามเพียงแต่ว่าธารน้ำล้วนกลายเป็นน้ำแข็ง วันนี้อากาศก็ค่อนข้างดีจึงทำอารมณ์ของหลิวฉูฉู่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
ถนนเส้นเล็กที่เดินถูกบ่าวไพร่กวาดหิมะจนสะอาดกลิ่นดอกเหมยหอมกรุ่นกระจายไปทั่วยังออกดอกชูช่อจนทำให้หลิวฉูฉู่รู้สึกอารมณ์ดียิ่งขึ้น
"ฝ่าบาท น้ำตกนี่สร้างขึ้นมาเองหรือเพคะ"
"อืม"
"อย่างไรเพคะ"
ดวงตาของหลิวฉูฉู่เป็นประกาย ถึงแม้ว่าจะไม่ยินดีให้เขามาด้วย ทว่าเวลานี้รอบบริเวณมีแต่สิ่งสวยงามน่าสนใจจึงทำให้เธออดถามออกไปไม่ได้
โจวจื่อเหลียงที่คอยสังเกตฮองเฮาของตน จึงตอบคำถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ก็ให้คนสร้างขึ้นมา อาศัยน้ำจากคลองที่สั่งขุดเป็นทางน้ำเข้ามาหาพระราชวังจึงทำให้มีน้ำตลอดปี"
หลิวฉูฉู่ลืมตัว ด้วยความเพลิดเพลินจึงเอ่ยประโยคที่โจวจื่อเหลียงฟังไม่เข้าใจออกมา
"อ้อ เช่นนี้เอง คนโบราณนี่สุดยอดเลยนะเพคะ อะไรก็สร้างขึ้นได้มิน่าล่ะกำแพงเมืองจีนเลยสามารถสร้างขึ้นมาได้ น้ำตกนี่เลยจิ๊บ ๆ ไปเลย"
ในยุคนี้ยังไม่ได้มีการรวบรวมแผ่นดินจิ๋นซีฮ่องเต้ยังไม่เกิดด้วยซ้ำ แน่นอนว่าโจวจื่อเหลียงย่อมไม่รู้จักกำแพงเมืองจีน และสิ่งที่หลิวฉูฉู่พูดถึงเขาก็ย่อมไม่เข้าใจ
"ฮองเฮาหมายถึงสิ่งใด"
หลิวฉูฉู่ยิ้มกว้าง
"ก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อยเพคะ อย่าถือสาหม่อมฉันเลย"
โจวจื่อเหลียงย่อมคิดว่าสิ่งที่หลิวฉูฉู่พูดมา ย่อมต้องมีเบื้องหลัง ทว่ากลับไม่ได้คาดคั้นนาง
เดิมไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว แต่วันนี้เขาสนทนากับนางมากยิ่งนัก นับว่ามากกว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาเสียอีก ยิ่งสนทนาก็ยิ่งรับรู้ว่าหลิวฉูฉู่ผู้นี้ให้ความรู้สึกแปลกใหม่เป็นอย่างยิ่ง
นางเหมือนคนไม่รู้สิ่งใดเลย ทว่าในอีกแง่มุมหนึ่งก็เหมือนนางรู้ดียิ่งกว่าผู้ใด
กิริยาใกล้ชิดทั้งฝ่าบาทที่จับข้อมือฮองเฮาไม่ปล่อยล้วนอยู่ในสายตาของตงกงกง
ฝ่าบาทวันนี้ดูจะอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย ยิ่งไม่น่าเชื่อว่าผู้ที่ทำให้พระองค์อารมณ์ดีจะคือฮองเฮาที่แต่เดิมเพียงฝ่าบาทเห็นหน้าก็แทบจะวิ่งหนีไปเสียให้ไกล
หลิวฉูฉู่ยังถามต่อ
"แล้วต้นเหมยพวกนี้ปลูกมานานแล้วหรือเพคะ ดูสิตรงนี้เหมือนเป็นอุทยานดอกเหมย สวยมากจริง ๆ"
โจวจื่อเหลียงคล้ายจะหยุดชะงักไป ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงกดต่ำลงเล็กน้อย
"เป็นของอดีตฮองเฮาที่จากไปแล้วเพราะนางชอบดอกเหมย เราจึงสั่งให้คนไปขุดมาปลูกที่นี่นับพันต้น"
"โอ้ มิน่าล่ะ โตทันใช้งานดีจริง ที่แท้ก็ทำเพื่ออดีตฮองเฮา ฝ่าบาทคงมีความรักลึกซึ้งกับอดีตฮองเฮามากเลยใช่หรือไม่เพคะ"
โจวจื่อเหลียงนิ่งเงียบ ไม่ตอบคำถามนี้
แต่แล้วหลิวฉูฉู่พลันนึกขึ้นได้ เธอรู้มาว่าโจวจื่อเหลียงมีเพียงอดีตฮองเฮาคนเดียวในหัวใจ ไปพูดแทงใจดำถึงคนรักที่ตายไปแล้วของเขาแบบนี้ เขาจะโกรธและคิดเป็นความผิดของเธอหรือเปล่านะ
ไม่ได้การแล้ว เธอต้องรีบขอโทษ
"ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันล่วงเกินแล้วที่บังอาจกล่าวถึงเรื่องนี้"
โจวจื่อเหลียงกลับเอ่ยว่า
"ไม่เป็นไร เรื่องมันก็ผ่านมาแล้วคนปลูกจากไปคนได้ใช้ประโยชน์คือคืนที่ยังอยู่"
หลิวฉูฉู่สังเกตสีหน้าและน้ำเสียงของเขา
น้ำเสียงนั้นราบเรียบเกินไปสีหน้าก็ไม่เปลี่ยนแปลงยังคงฉาบเอาไว้ด้วยน้ำแข็งเช่นเคย
เหมือนโจวจื่อเหลียงเอ่ยถึงฮองเฮาในฐานะเพื่อนคนหนึ่งที่ลาจากไปไกล ไม่ใช่เป็นผู้หญิงในดวงใจที่ทำให้เศร้าโศกมิรู้ลืม
หลิวฉูฉู่ชักสงสัย หรือว่าความจริงเขากับอดีตฮองเฮาอาจไม่ได้รักกันลึกซึ้งเหมือนอย่างที่คนอื่นเข้าใจกันนะ
หลิวฉูฉู่เรียนรู้ลักษณะคนมามาก แต่เธอยอมรับว่าเธอมองโจวจื่อเหลียงไม่ออกจริง ๆ เขาคนนี้ที่เธอรู้มาคือเป็นฮ่องเต้ที่ทรงธรรมและฉลาดเป็นกรดไม่อาจทำให้เขาเผลอจับได้
ถึงเขาจะไม่ชอบเจ้าของร่างเดิมแต่ก็ไม่เคยก้าวก่ายวุ่นวายและกดขี่มาก่อน หากหลิวฉูฉู่คนเดิมไม่คิดการใหญ่กระทั่งอยากให้บุตรของตนเป็นรัชทายาทแล้ววางยาองค์ชายน้อย คงมีชีวิตต่อไปจนแก่เฒ่าอย่างดีเป็นแน่
หากเป็นเช่นนี้ละครเรื่องนี้ก็คงไม่ใช่ละครดราม่าอย่างที่เคยเกิดขึ้น และเธอก็คงไม่ต้องมาอยู่ที่นี่ในตอนนี้
เดินมาราวสิบห้านาทีหลิวฉูฉู่ก็หยุดอยู่ด้านหน้าอารามหลวงของพระราชวงศ์ ที่นี่ไม่มีพระภิกษุอยู่อาศัยอยู่เลยแม้แต่รูปเดียว
อารามหลวงแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานของรูปปั้นพระโพธิสัตว์ต่าง ๆ มีทั้งรูปปั้นที่ดูดุดันและฮึกเหิมทั้งมียันต์แผ่นใหญ่วาดเอาไว้ห้อยลงมาจนเต็มบริเวณประตูทางเข้า
โจวจื่อเหลียงเดินนำหน้าหลิวฉูฉู่เข้าไปในอารามหลวง ทว่าหลิวฉูฉู่กลับหยุดเท้าไม่คิดที่จะเดินต่อ
โจวจื่อเหลียงหันมามองแล้วเอ่ยว่า
"ไยฮองเฮาจึงไม่เข้ามาเล่า"
หลิวฉูฉู่ฉีกยิ้มก่อนจะเอ่ยว่า
"หม่อมฉันขอพักเหนื่อยสักครู่เพคะ"
แน่นอนว่านั่นคือข้อแก้ตัวของเธอ ตอนนี้เธอกำลังสำรวจตัวเองว่าเธอรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ หรือรู้สึกคล้ายมีแสงแห่งธรรมส่องจนเธอร้อนวูบวาบหรือไม่
โจวจื่อเหลียงขมวดคิ้ว ยังเดินออกมารอข้างกายนาง
"นั่งก่อนดีหรือไม่"
หลิวฉูฉู่พ่นลมหายใจยาว
"ฝ่าบาทเข้าไปก่อนเพคะ หม่อมฉันเตรียมตัวสักครู่"
กล่าวจบ มือเรียวก็ผลักโจวจื่อเหลียงให้เดินนำ โจวจื่อเหลียงกำลังรอดูว่าฮองเฮาจะเล่นลูกไม้อันใดอีก จึงยอมเดินเข้าไปก่อนแล้วคอยสังเกตนางเงียบ ๆ
หลิวฉูฉู่เรียกอาเหมียนที่เดินตามมาห่าง ๆ ให้มายืนใกล้ ๆ แล้วเอ่ยเสียงเบา
"อาเหมียนถ้าข้าทำท่าประหลาดรีบมาพยุงข้าเข้าใจหรือไม่"