หลิวฉูฉู่เอ่ยเสียงหวาน เธอก้มหน้ายังไม่ยอมมองเขาคิดว่าจะสงวนวาจาให้น้อยรีบพูดรีบจากกันเสียยังมีเรื่องที่เธอต้องทำรออยู่
"หม่อมฉันถวายพระพรฮองเฮาเพคะ"
เฉียนกุ้ยเฟยเองยังยอบกายให้นาง ทว่าหลิวฉูฉู่ย่อมไม่รู้ว่านางคือใครจึงเพียงมองผ่าน ๆ ไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อยว่าผู้หญิงหน้าวอกแต่งตัวเต็มยศนี่คือใคร
ในยามนี้เฉียนกุ้ยเฟยที่ถูกเมินเฉยเหมือนไร้ตัวตนได้แต่ยืนนิ่ง ไม่กล้ากระทั่งนั่งลงข้างฝ่าบาทเช่นเคย ในเมื่อฮองเฮาไม่นั่ง นางมีหรือจะกล้า
โจวจื่อเหลียงเห็นท่าทางของเฉียนกุ้ยเฟย และยังมีฮองเฮาผู้ดูเร่งรีบจนแทบอยากจะวิ่งหนีคนนี้แล้วพลันยกมุมปาก
เรื่องสตรีเขาเองก็คร้านจะสนใจนางจะทักทายเฉียนกุ้ยเฟยหรือไม่ก็ไม่สำคัญ เขาเพียงอยากรู้ว่าฮองเฮาที่เร่งรีบผู้นี้จะไปที่ใด
มีเพียงเฉียนกุ้ยเฟยที่รู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างยิ่งที่ยามนี้ตนเองคล้ายเป็นคนนอกคนหนึ่งไปแล้ว
"ฮองเฮาจะไปที่ใดหรือ ดูเร่งรีบยิ่งนัก"
"หม่อมฉันจะไปไหว้พระเพคะ"
โจวจื่อเหลียงกลับยิ่งสนใจ
"ไหว้พระหรือ ฮองเฮานี่หรือคิดจะไปสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้น"
"เพคะ เหตุใดจะไปไม่ได้เล่า หม่อมฉันเป็นคนดีเช่นนี้ สวรรค์รักใคร่ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้"
คนดีหลิวฉูฉู่ยืนยันหนักแน่นว่าตนเองดีมากเพียงใด
"อืม เราเองก็เพิ่งรู้ว่าฮองเฮาดีปานนี้ แล้วเรื่องกลิ่นธูปที่เคยแพ้เล่า หายแล้วหรือ"
ดวงตาคู่คมคล้ายจะมีสีเข้มขึ้นในยามที่จ้องมองเธอ หลิวฉูฉู่เห็นเขาจ้องเช่นนี้ใจก็คิดแต่เรื่องน่ากลัว
อะไรนักหนาวะ ฉันมาที่นี่ยังไม่ได้แตะต้องใครเลยสักคน อย่ามาใช้สายตาแบบนี้มองฉันนะ
วีรกรรมของหลิวฉูฉู่คนเดิมเธอรู้ดีแก่ใจ อย่างน้อยก็ได้สอบถามอาเหมียนแล้วไม่ได้ผิดเพี้ยนจากเรื่องที่รู้มาเลยแม้แต่น้อย
หลิวฉูฉู่ได้แต่ก่นด่าสวรรค์ด้วยความรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม เล่นละครมามาก เพียงบทที่รับคือตัวเอกไม่ว่าบทนั้นจะเป็นนางร้ายหรือนางเอกหลิวฉูฉู่ไม่เคยเกี่ยงเลยสักหน นั่นเพราะเธอขายฝีมือการแสดง หลังจากปิดกล้องทุกอย่างก็จบ
แต่ตอนนี้กลับย้อนเวลามาอยู่ในร่างนี้จริง ๆ แล้ว ถึงได้รู้สึกว่าบทนางร้ายความจริงมันไม่เหมาะกับเธอเลย
ซวยซ้ำซวยซ้อน ย้อนเวลามาทั้งทีทำไมฉันไม่เป็นนางเอกวะ ทำไมต้องมาอยู่ในร่างของนางร้ายที่คนอื่นเกลียดชังแบบนี้!
"ว่าอย่างไรเล่า คิดอย่างไรจึงจะไปไหว้พระ ฮองเฮาเกลียดกลิ่นธูปเพียงนั้นหากไม่ใช่ความจำเป็นแทบไม่เคยไปสักการะที่วิหารหลวงเลยสักหน วันนี้เกิดสติฟั่นเฟือนไปแล้วหรืออย่างไร"
"เพคะ ไปไหว้พระใคร ๆ ก็ไปกันไม่ใช่หรือ ยามนี้หม่อมฉันหายแล้วเพคะ คนดีเช่นนี้ยามนี้ยิ่งสูดดมยิ่งรู้ว่ากลิ่นธูปของความดีนี่หอมยิ่งนัก หม่อมฉันจึงคิดอยากไปไหว้พระ"
คล้ายจะมีเสียงหัวเราะน้อย ๆ หลุดออกมาจากปากของฝ่าบาทผู้นี้
หลิวฉูฉู่ถลึงตามองเขา คิดในใจว่าฮ่องเต้คนนี้ทำไมไร้มารยาท เธอไปไหว้พระเขายังหัวเราะเยาะ
ความจริงโจวจื่อเหลียงเพียงรู้สึกขบขันท่าทางของฮองเฮาที่จริงจังกับการไหว้พระในครั้งนี้ยิ่งนัก ยิ่งเห็นดวงตาคู่งามคล้ายจะใสซื่อและอ่อนโยนลง ไม่ได้จองหองและกดข่มผู้คนเช่นเคย
หากเป็นก่อนหน้านี้เมื่อเห็นเฉียนกุ้ยเฟยอยู่เคียงข้างเขาเช่นนี้หลิวฉูฉู่คงได้หาเรื่องราวตำหนิให้เฉียนกุ้ยเฟยเจ็บใจเป็นแน่
แต่ครานี้หลิวฉูฉู่กลับหุบปากนิ่งยังทำเหมือนไม่เห็นเฉียนกุ้ยเฟยอยู่ในสายตาทั้งยังไม่รังควานคนด้วยวาจา
"ฝ่าบาทในเมื่อไม่มีอะไรแล้วหม่อมฉันทูลลาเพคะ"
โจวจื่อเหลียงกลับเอ่ยว่า
"เดี๋ยวก่อน เรายังไม่เชื่อว่าฮองเฮาจะไปไหว้พระจริง ๆ"
"ฝ่าบาทแล้วจะทำยังไงถึงจะเชื่อเพคะ"
โจวจื่อเหลียงกลับทำหน้าตาย
"ฮองเฮานั่งลงสักครู่ก่อนเถิด"
หลิวฉูฉู่หน้าตูม ไม่เข้าใจว่าโจวจื่อเหลียงจะรั้งนางเอาไว้ด้วยเหตุใด ทว่าก็ไม่อาจขับรับสั่งได้ จึงได้แต่นั่งลงด้วยความไม่พอใจ
เฉียนกุ้ยเฟยเองในตอนนี้เห็นท่าทางประหลาดของหลิวฉูฉู่ด้วยตาของตัวเองแล้วข่าวที่คนของนางส่งออกมาเห็นท่าจะจริง
หลิวฉูฉู่อาจจมน้ำจนสติวิปลาสไปจริงหรือ ถึงขั้นที่จะไปไหว้พระ ทำในสิ่งที่ฮองเฮาผู้นี้ไม่ชอบมาก่อน หรือคิดเล่นบทคนดีเอาใจฝ่าบาทกันแน่
เฉียนกุ้ยเฟยคิดเอาคืนที่ฮองเฮาไม่เห็นนางอยู่ในสายตา จึงวางแผนในใจทำให้ฮองเฮาไม่พอใจ
เฉียนกุ้ยเฟยขยับกายเข้ามาใกล้โจวจื่อเหลียงจนแทบจะยืนชิดร่างของเขาพร้อมทั้งเอ่ยเสียงหวานหยดย้อยออกมา
"ฝ่าบาทเพคะ ฮองเฮาใจกุศลยิ่งนัก หม่อมฉันได้ยินมาแล้วว่าตั้งแต่ฮองเฮาฟื้นขึ้นมาก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ความจริงแล้วฮองเฮาอาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็เป็นได้นะเพคะ"
เฉียนกุ้ยเฟยรู้ดีว่าโจวจื่อเหลียงไม่เคยโปรดปรานหลิวฉูฉู่ นางผู้นี้รับตำแหน่งฮองเฮามานับปี ทว่าฝ่าบาทกลับไม่เคยเหยียบย่างเข้าไปยังตำหนักฮองเฮาเลยสักหน
ที่ผ่านมาหลิวฉูฉู่อาศัยบารมีไทเฮาหนุนหลังและกดดันฝ่าบาทมาเสมอ วันนี้ยิ่งเห็นท่าทางผิดปกติของหลิวฉูฉู่เฉียนกุ้ยเฟยจึงคิดอยากลองดีสักหน
โจวจื่อเหลียงกลับเอ่ยขึ้นว่า
"มิใช่เรื่องของเจ้า หุบปากไปเสีย"
ใบหน้าของเฉียนกุ้ยเฟยเปลี่ยนสีทันใด ทว่านางยังพยายามแก้ต่างให้ตนเอง
"ฝ่าบาท หม่อมฉันเพียงแต่ห่วงฮองเฮาและคิดว่าฮองเฮาเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ เพคะ"
หลิวฉูฉู่เลิกคิ้วมองละครที่กำลังแสดงตรงหน้า ทั้งคิดสงสัยผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน กล้ากระทั่งวิจารณ์เธอซึ่งมีตำแหน่งสูงส่ง แต่ดูท่าทางของโจวจื่อเหลียงแล้วก็ไม่เห็นว่าเขาจะถือหางนางผู้นี้เช่นกัน
หลิวฉูฉู่รู้ว่าโจวจื่อเหลียงแต่เดิมมีนิสัยเย็นชา ไม่เคยแสดงความรักใคร่ต่อสนมกำนัลนางใดเป็นพิเศษ เนื่องจากใจของเขานั้นรักหมั่นอยู่กับฮองเฮาที่ได้ตายจากไปแล้วเท่านั้น
นับว่าในเรื่องความรักเป็นฮ่องเต้ที่ไม่เลวนัก แต่เรื่องอื่นนี่ใช้ไม่ได้เอาเสียเลย
คราวนี้หลิวฉูฉู่เห็นเฉียนกุ้ยเฟยอยู่ในสายตาแล้ว ความจริงเธอก็คิดว่าผู้หญิงใบหน้าสวยแต่ทาแป้งหนาไปมาก
คนคนนี้น่าจะมีตำแหน่งสนมอะไรสักอย่างเพราะการแต่งตัวเต็มยศประดับทองมาล้นหัว แตกต่างจากนางกำนัลทั่วไปอย่างสิ้นเชิง
ในเมื่อไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้คือใคร และคนก็คิดว่าเธอตกน้ำจนความจำบางส่วนหายไป หลิวฉูฉู่จึงเอ่ยถามตรง ๆ
"เอ่อ ประทานโทษนะเพคะฝ่าบาท ว่าแต่ว่าผู้หญิงหน้าวอกคนนี้คือใครเพคะ"
โจวจื่อเหลียงกำลังยกชาจิบ เขาเลิกคิ้วแล้ววางถ้วยชาลงอย่างสง่างามหันมาถามหลิวฉูฉู่ด้วยความสงสัย
"หน้าวอกหรือ เฉียนกุ้ยเฟยนี่หรือ ฮองเฮาหมายถึงนางใช่หรือไม่ แล้วหน้าวอกหมายถึงสิ่งใด"
หลิวฉูฉู่พยักหน้า ทั้งยังชี้นิ้วเรียวไปที่เฉียนกุ้ยเฟย
"เพคะ ผู้หญิงคนนี้ที่ทาแป้งจนหน้าขาว แถวบ้านหม่อมฉันเรียกหน้าวอกเพคะ"
คำอธิบายนี้ทำให้โจวจื่อเหลียงถึงกับมองหน้าเฉียนกุ้ยเฟยอย่างพิจารณา ก่อนที่จะยิ้มออกมาเล็กน้อย
ในขณะที่เฉียนกุ้ยเฟยแทบจะเต้นแร้งเต้นกาด้วยความเจ็บใจที่จู่ ๆ ก็ถูกฮองเฮาผู้นี้เล่นงาน
ท่าทางไร้การเสแสร้งนี้ โจวจื่อเหลียงกลับคิดว่า ฮองเฮาของตนจำเฉียนกุ้ยเฟยไม่ได้จริงๆ
หลิวฉูฉู่มองที่ผู้หญิงหน้าขาวเกินตัวคนนั้นด้วยสายตาดูแคลน ดาราเบอร์หนึ่งอย่างเธอถึงจะแสดงออกต่อหน้าคนอื่นว่าเป็นคนง่าย ๆ แต่ในใจย่อมมีความหยิ่งผยองเป็นที่ตั้งย่อมไม่ยอมลงให้เฉียนกุ้ยเฟยง่าย ๆ เด็ดขาด
เฉียนกุ้ยเฟยกัดปากเสียใจ ร้องขอความเป็นธรรมทันใด
"ฝ่าบาทเพคะ จู่ๆหม่อมฉันถูกฮองเฮาใส่ร้าย ฝ่าบาทต้องให้ความเป็นธรรมกับหม่อมฉันนะเพคะ"
หลิวฉูฉู่ยังแย้มยิ้ม มือเรียวดึงจานส้มที่เฉียนกุ้ยเฟยปอกเอาไว้ให้ฝ่าบาทมากินอย่างสบายใจ
ยามนี้เป็นหน้าหนาว ส้มเป็นของหายาก นอกจากฝ่าบาทพระราชทานคนอื่นถึงมีสิทธิ์ได้กิน หลิวฉูฉู่กลับไม่สนใจยัดส้มใส่ปากแล้วเคี้ยวอย่างอร่อย
เฉียนกุ้ยเฟยมองแทบตาเหลือก นางตั้งใจทำถวายฝ่าบาททว่าฮองเฮากลับกินไปหลายคำโดยไม่สนใจมารยาทเลยแม้แต่น้อย
หลิวฉูฉู่เคี้ยวส้มจนหมดก่อนจะเอ่ยว่า
"ฝ่าบาท ใครใส่ร้ายนางกัน ถามใครเขาก็รู้ว่าหน้านางวอกจริง สงสัยกระจกที่ตำหนักมีปัญหานางถึงได้โบ๊ะมาหนาแบบนี้ เห็นแล้วหนักหน้าแทนจริงๆ ถามใครก็ต้องพูดแบบนี้ ตงกงกงท่านเห็นด้วยหรือไม่"
ตงกงกงตกใจแทบสิ้นสติ ได้แต่คิดในใจว่า
ฮองเฮาโปรดไว้ชีวิตด้วย เหตุใดต้องดึงเขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ด้วย
โจวจื่อเหลียงหันไปมองตงกงกง คนผู้นั้นคุกเข่าลงอย่างไรก็ไม่ยอมพูด เขาจึงยื่นมือเข้าไปช่วยคนสนิทของตน
"ช่างเถิด เรื่องหยุมหยิมอย่าทำให้เราปวดหัว อีกอย่างฮองเฮากล่าวมาก็ไม่ผิด"
"ฝ่าบาทเพคะ"
นี่เป็นครั้งแรกที่ฝ่าบาทเข้าข้างฮองเฮาต่อหน้าคนอื่น เฉียนกุ้ยเฟยน้ำตาคลอท่าทางน่าสงสารยิ่งนัก นางถึงกับหวาดผวาในใจ
วันนี้เฉียนกุ้ยเฟยแต่งหน้านานเป็นพิเศษ เพราะรู้ว่าฝ่าบาทอยู่ที่นี่ ถามผู้ใดก็บอกว่านางงามยิ่งนัก แต่เมื่อครู่สายพระเนตรของฝ่าบาทแสดงออกว่าเห็นด้วยกับฮองเฮา หรือว่าการแต่งหน้านี้มีปัญหาจริง ๆ
"ฝ่าบาทหม่อมฉันเพียงแค่หวังดี เหตุใดสุดท้ายหม่อมฉันกลายเป็นคนผิดเพคะ"
เฉียนกุ้ยเฟยกัดฟันเอ่ย น้ำตาคลอเบ้าใกล้จะไหลลงมาแล้ว
หลิวฉูฉู่เห็นการแสดงนี้แล้วนับว่ามีฝีมืออยู่มาก แต่รางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมฝ่ายหญิงมีได้แค่คนเดียว คือหลิวฉูฉู่คนนี้เท่านั้น
ฝ่าบาทแต่เดิมก็นับว่าไม่ชอบหน้าเจ้าของร่างเดิม ถึงเมื่อครู่เขาจะช่วยเธอแต่เธอต้องรีบจัดการเฉียนกุ้ยเฟยคนนี้ให้ไวก่อนที่เธอจะเสียเปรียบ
หลิวฉูฉู่ทำท่าทางอ่อนแอ ใบหน้างามก้มลงเล็กน้อยเพียงเสี้ยววินาทีก็เงยหน้าขึ้น ในตอนนี้น้ำตาก็ไหลออกมาราวกับสายน้ำ
หากคนมองไกล ๆ ไม่รู้เรื่องราวก็ย่อมคิดว่าฮองเฮาผู้อ่อนแอถูกฝ่าบาทและสนมรังแกให้แล้ว
เสียงสะอึกสะอื้นดังราวกับมีใครตาย ทั้งลีลาการแสดงเฉียบขาด จนเบอร์รองอย่างเฉียนกุ้ยเฟยที่กำลังบีบน้ำตาตกตะลึง
"ฮือ ฮือ ฝ่าบาทเพคะ เฉียนกุ้ยเฟยเป็นใครไยจึงสอดปากมายุ่งเรื่องของหม่อมฉัน กล้ากระทั่งวิจารณ์หม่อมฉันต่อหน้าพระพักตร์เช่นนี้ ฝ่าบาทเพคะทรงปล่อยให้สนมนางหนึ่งกล้าเช่นนี้ได้อย่างไร ฐานะฮองเฮานี้จับฉลากได้มาหรืออย่างไรเพคะ หม่อมฉันถูกรังแกแล้ว ฮือ ฮือ ฮือ"
ท่าทางเสียอกเสียใจของหลิวฉูฉู่ใหญ่หลวงทำเอา เฉียนกุ้ยเฟยถึงกับใบ้กิน นางนิ่งค้างอยู่ตรงนั้นทำสิ่งใดไม่ถูกเมื่อทำท่าเอ่ยปากจะพูด ฮองเฮายิ่งร้องไห้โฮเสียงดัง
อาเหมียน ตงกงกง และคนที่อยู่รอบบริเวณนี้เห็นการแสดงอันร้ายกาจ พลันรู้สึกสงสารหลิวฉูฉู่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พลอยทำให้น้ำตาร่วงเผาะลงมาเมื่อเห็นท่าทางเจ็บปวดเสียใจนั้น
โจวจื่อเหลียงเองก็ทำสิ่งใดไม่ถูก แค่ก้มหน้าเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมา หลิวฉูฉู่ก็พาน้ำตามาราวกับทำนบพังทักษะการแสดงอันยอดเยี่ยมนี้เขาเองก็ยอมแพ้
โจวจื่อเหลียงถอนหายใจยาว ที่ผ่านมาเขาเองไม่เคยก้าวก่ายเรื่องตำหนักใน แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นต่อหน้าเช่นนี้เขาเองก็ต้องยื่นมือเข้าไปสอดแล้ว
อย่างไรเฉียนกุ้ยเฟยก็มีตำแหน่งต่ำกว่าหลิวฉูฉู่การกระทำเช่นนี้ย่อมเป็นการไม่สมควร
"เฉียนกุ้ยเฟย ขอโทษฮองเฮาเสียแล้วเจ้ากลับตำหนักไปเถิด"
เฉียนกุ้ยเฟยยังไม่ยินยอม หากนางกลับไปมิเท่ากับนางแพ้ให้กับหลิวฉูฉู่หรอกหรือ
"ฝ่าบาทเพคะ ให้หม่อมฉันปรนนิบัติเถิดเพคะ"
โจวจื่อเหลียงยังคงรักษาระดับสีหน้าแห่งความเฉยชาเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ดวงตาคมจับจ้องที่ใบหน้าขาวของเฉียนกุ้ยเฟยพลางเอ่ยว่า
"คุกเข่าแล้วกล่าวขออภัยต่อฮองเฮา จากนั้นกลับไปเถิด อย่าให้เราต้องสั่งโบยเจ้าเพราะลบหลู่เบื้องสูงเลย"
แม้ในใจไม่ยอมรับความผิดนี้ เฉียนกุ้ยเฟยก็ไม่กล้าขัดรับสั่งนางคุกเข่าทันใด ทั้งโขกศีรษะลงบนพื้น พร้อมกับหันมาเอ่ยขออภัยหลิวฉูฉู่
"หม่อมฉันขอพระราชทานอภัยโทษที่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงถึงกล้าล่วงเกินฮองเฮา ขอฮองเฮาโปรดประทานอภัยเพคะ"
โจวจื่อเหลียงอยากให้เรื่องยุติ อีกทั้งรู้สึกแปลกประหลาดใจตนเองไม่น้อย เขารู้ทั้งรู้ว่าหลิวฉูฉู่เสแสร้งเหตุใดยังใจอ่อนสงสารนางอีก
หลิวฉูฉู่เริ่มรำคาญผัวเมียสองคนนี้จู่ ๆ ก็มาขัดขวางไม่ให้เธอไปไหว้พระ แล้วยังต้องมาดูละครไร้สาระอะไรอีก
เธอขมวดคิ้วคิดว่าหากเฉียนกุ้ยเฟยไม่ยอมไป ตนเองก็ไม่สามารถปลีกตัวหนีไปอารามหลวงได้เป็นแน่
ดังนั้นหลิวฉูฉู่ต้องจัดลงมือขับไล่ผู้หญิงหน้าขาวคนนี้แล้ว เธอจึงก้มลงประชิดท่าทางคล้ายจะดึงตัวของเฉียนกุ้ยเฟยขึ้นมาอย่างอ่อนโยน
หลิวฉูฉู่เปล่งเสียงเย็นกระซิบชิดริมหู ทว่าเฉียนกุ้ยเฟยยังได้ยินชัดเจน
"เฉียนกุ้ยเฟย ข้าไม่เอาความในครานี้แต่หากเจ้ายังไม่ไป วันนี้ข้าจะให้คนตบปากเจ้าจนฉีกถึงรูหูแน่ ๆ อย่าดื้อรั้นจนทำให้องค์แม่ลง รีบไสหัวไปซะ!"