“สวัสดีค่ะ โบนิตาพูดค่ะ”
(“ยายส้ม นี่ฉันเอง”) เสียงแปร๋น ๆ ของเพื่อนคนหนึ่งดังขึ้นมา โบนิตานั่งคิดอยู่แป๊บหนึ่ง ก่อนจะตะโกนขึ้นมาด้วยความดีใจ
“ว้าย...ยายเอม นั่นแกใช่ไหม แกจริง ๆ หรือ”
(“อ้าว... ก็ใช่น่ะสิจ๊ะเพื่อนรัก รู้ไหมว่ามันยากแค่ไหนกว่าจะได้เบอร์ออฟฟิศของแกมาน่ะ ทำไมเลิกเล่นโซเชียลไปเฉย ๆ เลย ไม่อัปเดตเรื่องราวต่าง ๆ ให้เพื่อนรู้บ้าง รู้ไหมฉันคิดถึงแกใจแทบขาด”)
โบนิตายิ้มแห้ง ๆ เรื่องราวของเธอมันผ่านอะไรมาเยอะแยะ มากจนบางครั้งไม่อยากจะไปนึกถึงมัน
(“แม่แกเป็นยังไงบ้าง”) เอมมาลินถาม
“เสียแล้ว” คำตอบของเพื่อนช่างแสนเศร้าจนคนปลายสายรู้สึกผิด
(“ขอโทษนะส้ม ฉันเอ่อ... ฉันไม่รู้เลย ฉันไม่น่าจะถามแกเลยว่ะ”)
“บ้าน่าเอม... คิดอะไรเยอะแยะ เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์เรา ว่าแต่แกเหอะอยู่ที่มุมไหนของโลก รู้ไหมฉันคิดถึงแกมาก”
(“ฉันก็คิดถึงแกเหมือนกัน ตอนนี้ฉันอยู่กรุงเทพฯ”) น้ำเสียงทั้งดีใจและตื่นเต้น
“ว้าว... ว้าว งั้นฉันกับแกเราก็ต้องได้เจอกันน่ะสิ ใช่ไหมยายเอม”
(“แหงอะดิ แน่นอนอยู่แล้วจ้า และตอนนี้ฉันอยู่ที่หน้าออฟฟิศแกแล้ว ยายส้ม...”)
เอมมาลินยืนโบกไม้โบกมือให้กับเพื่อน หน้าตาแช่มชื่นดีใจที่สุดในสามโลก
“หา! แกพูดเล่นหรือพูดจริงนี่”
เพื่อนสาวทำหน้าเหลอหลา โบนิตาดีใจใหญ่ รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ มองออกไปด้านนอกทะลุกระจกที่ห้อมล้อมทำเป็นห้องทำงานของเธอ เห็นเอมมาลินแต่งตัวสวยยืนโบกมือหย็อย ๆ อยู่ที่หน้าห้อง
โบนิตาน้ำตาแทบไหล เธอรีบวางหูโทรศัพท์ลงตรงดิ่งไปที่ประตูห้องทำงานทันที ประตูบานนั้นถูกผลักออกไป เพื่อนสาวสองคนโผเข้ากอดกันกลมรัดแน่นเต็มอ้อมแขน
“แก” ทั้งสองคนน้ำตาไหล กอดกันด้วยความรักและคิดถึง
“ดีใจที่สุดเลยแก ที่ได้เจอแกอีก” โบนิตารีบพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ น้ำตาคลอเต็มหน่วย
“บ้า ร้องไห้ทำไม” เอมมาลินก็เสียงสั่น ผละตัวออกจากเพื่อนใบหน้าของเธอก็เปื้อนน้ำตาอยู่เหมือนกัน ทั้งสองคนต่างหัวเราะ
“ยังไงแกมาเที่ยวนี้ แกต้องอยู่กับฉันนาน ๆ นะ เข้ามาก่อนสิ ส้มใกล้จะเลิกงานแล้ว” โบนิตาชวนเพื่อน จับมือเอมมาลินเอาไว้แน่น
“พ่อแม่แกล่ะมาเที่ยวด้วยกันไหม”
“ฮึ... ฉันมาคนเดียว พ่อกับแม่สบายดีจ้ะ โดยเฉพาะแม่อะนะ แม่สบายมาก แม่น่ะอ้วนจะเท่าป๊าแล้ว” น้ำเสียงปนหัวเราะ
“จริงหรือ”
“จริงสิ เฮ้อ... ส้มแกคงจะลำบากมากสินะ อยู่ตัวคนเดียว” เอมมาลินมองหน้าของเพื่อนด้วยความสงสาร
“เฮ้อ... ลำบากตัวไม่เท่าไหร่หรอก แต่หัวใจนี่สิลำบาก นั่งก่อนสิ... เดี๋ยวฉันหาน้ำให้แกกิน” สีหน้าเริ่มเซ็ง แต่ก็หันมายิ้มให้กับเพื่อนรัก
“ไม่ต้องหรอกน่า แกก็มานั่งลงตรงนี้เลย ส้มเล่าให้ฉันฟังสิ เรื่องราวของแกเป็นยังไงบ้างตอนที่ฉันไม่ได้อยู่กับแก”
“จะฟังจริง ๆ หรือเอม เรื่องมันยาวนะ” โบนิตาช้อนสายตาถาม
เอมมาลินหัวเราะ
“แกก็ยังขี้เล่นเหมือนเดิมนะ คิดถึงวันเก่า ๆ เนอะ” แววตาของเอมมาลินเป็นประกาย
“จะให้เปลี่ยนได้ยังไงนิสัยของคน เคยเป็นยังไงก็ต้องเป็นยังงั้นแหละ เขาเรียกว่าสันดาน”
“พูดมากไป ไหนแกเล่ามาซิ เรื่องของแกเป็นยังไง ฉันอยากรู้” เพื่อนทำท่าตั้งตาฟัง
“หลังจากที่แม่ของฉันป่วยเป็นมะเร็งตาย ไอ้พ่อเลี้ยงฉันมันก็ต้องออกจากบ้านของเราไป ยายไม่ได้ออกปากไล่มันนะ แต่มันคงคิดได้เองมั้ง วัน ๆ ไม่ทำงานทำการ ก่อนจะหายหัวไป มันยังมีหน้าขโมยเอาทองที่ยายสะสมเอาไว้ไปด้วยอีกสี่บาท ยายก็ตรอมใจน่ะสิ ตอนนั้นฉันรู้สึกสงสารยายมาก ได้แต่ปลอบใจยาย ฉันก็บอกแกนะว่าจะหาเงินไปซื้อใหม่ให้ ยายก็ไม่รอกันเลย อยู่ไม่ถึงสองปี ก็มาตายตามแม่ไปอีกคน”
“เสียใจด้วยนะส้ม” เอมมาลินเห็นใจเพื่อนสาวจริง ๆ
“ตอนนี้บ้านหลังนั้นฉันก็ขายแล้วนะ ได้เงินไม่กี่ตังค์หรอก ฉันก็เลยรวบรวมเงินเอามาซื้อคอนโดฯ อยู่นี่แหละ ตัวคนเดียวอะแก เอาอะไรมากแกว่าไหม” โบนิตาสบตากับเพื่อน รู้ซึ้งเรื่องการใช้ชีวิตที่ลำบากตัวคนเดียวมาพอสมควร
“มิน่า เพื่อน ๆ ไม่มีใครติดต่อแกได้สักคน”
“ก็มันเบื่อนี่นา ที่จะต้องมานั่งตอบคำถามของใคร ๆ พอดีฉันได้งานทำที่นี่ เลยย้ายออกมาจากตรงนั้นไม่ได้บอกใครเลยสักคน”
“แล้วแกก็เลิกเล่นโซเชียลไปด้วย”
“ก็มันไร้สาระนี่เอม มีแต่คนคุยกันเรื่องอะไรไม่รู้ เหมือนคนป่วย”
“ย่ะ แม่คุณ ที่จริง ๆ เราเอาไว้ทำประโยชน์อย่างอื่นก็ได้อีกมากมาย”
“ฉันก็มีอยู่ ทำเอาไว้คุยแต่เรื่องงาน ว่าแต่แกเหอะ กลับมาเที่ยวนี้มาทำอะไร กี่ปีแล้วนะที่เราสองคนไม่ได้เจอกัน”
“จะให้นับจริง ๆ หรือ ก็ตั้งแต่จบ ม. หก ตอนนี้พวกเราอายุยี่สิบแปดปี ก็สิบปีแล้วมั้ง”
“โอ้โห แต่ทำไมแกไม่แก่วะยายเอม แกเป็นแวมไพร์หรือไง” เอมมาลินหัวเราะ
“ฉันกำลังจะแต่งงาน” หน้าตาที่สดใสสุด ๆ ฉายออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ฉาบเต็มใบหน้า
“จริงดิ กับใคร”
“พี่เขาชื่อไกด์ การันต์ เกียรติรัตนโยธิน”
“โอ้โห แฟนแกรวยอะ เจ้าของห้างฯ โคโคบัสเชียวนะตระกูลนี้”
“ฉันก็เพิ่งรู้เมื่อไม่นานนี่เองว่าพี่เขาเป็นลูกหลานของใคร ก็ตอนที่พี่ไกด์เขาไปเรียนที่นั่น เขาติดดินมากนะแก ทำงานพิเศษไปด้วย ฉันก็นึกว่าเขาก็เป็นคนธรรมดา ไม่คิดว่าจะรวยขนาดนี้” เอมมาลินหัวเราะในความเปิ่นเป๋อของตัวเอง
“ก็สมกันแล้วละ พ่อของแกก็มีเงิน มันต่อยอดกันได้ ดีใจด้วยนะเอม พี่เขาคงรักแกมากจนขอแกแต่งงาน”
“ไหนส้มบอกว่าไม่รู้จักใคร ไม่ยุ่งกับใคร ทำไมถึงรู้จักพี่ไกด์ได้”
“โธ่เอ๊ยยายเอม มีสาว ๆ ในเมืองไทยคนไหนที่ไม่รู้จักเขาบ้างล่ะแก ถ้าไม่รู้จักก็เชยเต็มทนแล้ว หล่อครบเครื่องแบบนั้น”
เอมมาลินยิ้มแก้มปริที่ได้ยินส้มชมว่าที่สามีเปาะ
“ว่าแต่แกจะมาอยู่ที่นี่นานไหม”
“เที่ยวนี้หรือ”
“อือ...” ส้มทำหน้ารอคอย
“สามเดือนหรือไม่ก็ตลอดไป”
คนที่ได้ยินแทบกระโดดตัวลอย จับมือของเอมมาลินเขย่า ๆ
“ว้าย! ดีใจว่ะแก ต่อไปฉันก็ไม่เหงาแล้วสินะ ฉันจะมีเพื่อนแล้ว ดีใจที่สุด ขอบคุณนะคะฟ้าที่ประทานยายเอมเพื่อนรักของหนูให้กับหนูอีกครั้ง”