“หรือว่าเธอจะมาสัมภาษณ์งาน ตำแหน่งเมียน้อยคนที่ร้อยสี่สิบสองของเจ้าของไร่ทับตะวัน หือ?” พ่อเลี้ยงหนุ่มยิ้มหยัน
คำพูดของเขาทำให้เลือดบนใบหน้าของศศิกาญจน์สูบฉีดแรงจนเห่อแดงเป็นสีลูกพีชสุกฉ่ำ
“คนบ้า!” ถ้าเธอเลือกทางเดินเพื่อหนีปัญหาแบบนั้น คงไม่ต้องมาถึงที่นี่ “ฉันมาสมัครงานที่นี่ในตำแหน่งผู้จัดการไร่ ไม่ใช่ตำแหน่งเมียน้อยเจ้าของไร่”
คนโดนดูถูกพ่นลมหายใจแรงๆ ปากผู้ชายตรงหน้าช่างย้อนแย้งกับใบหน้าหล่อเหลาอย่างไม่น่าให้อภัย จ้องหน้าเขานิ่งแล้วเอ่ยต่อ
“ช่วยกรุณาปลดล็อกประตูรถยนต์ให้ฉันด้วยค่ะ ฉันจะลง”
“มาสมัครงานตำแหน่งผู้จัดการไร่?”
พ่อเลี้ยงจอมทัพหัวเราะหึๆ ในลำคอ เขาไม่เห็นใบสมัครของเธอมาวางที่โต๊ะทำงาน คนตัวใหญ่จึงตวาดคำโต
“โกหก!”
ชายหนุ่มแค่นยิ้มที่มุมปาก ตอนแรก เขาพาเธอมาเพราะอยากทาบทามให้มาร่วมงานแสดงละครตบตาแม่เลี้ยงดอกปีบ แต่เธอยังโกหกไม่หยุด หน้าตาซื่อๆ ใสๆ แต่โกหกไฟแลบจนเขาชักจะลังเล
เธอพูดเรื่องจริง แต่ถูกเขาปรามาส ตวาดใส่หน้าว่าเป็นคนโกหก ทำให้ศศิกาญจน์ฉุนจัด
“ฉันไม่ได้โกหกค่ะ ฉันตั้งใจเดินทางมาสัมภาษณ์งานกับฝ่ายบุคคลของไร่ทับตะวันจริงๆ คุณจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่คุณ ฉันคงบังคับความคิดคุณไม่ได้”
หญิงสาวรั้งแขนบอบบางที่ถูกเขาบีบกำจนเจ็บไปหมด พยายามขืนออกจากการจับกุม
“แต่คุณไม่มีสิทธิ์มากักขังหน่วงเหนี่ยวฉันไว้ในรถยนต์แบบนี้ หรือว่าคุณเห็นฉันเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ไม่มีทางสู้ ถึงได้คิดจะรังแกกัน กรี๊ดดด!”
ศศิกาญจน์หลับตาปี๋ ตกใจสุดขีดเมื่อถูกเขากระชากอย่างแรง ดึงเข้าไปใกล้ด้วยอารมณ์และสีหน้าเอาเรื่อง
“ปากดี ถ้าคนอย่างผมคิดจะรังแกคุณ คงเลี้ยวเข้าม่านรูดไปแล้ว”
เขาไม่เคยเจอคนอะไรหลับสนิทเหมือนซ้อมตาย ไม่รู้ไปอดหลับอดนอนมาจากไหน ใบหน้าหล่อที่ก้มต่ำลงมาจนจมูกโด่งรั้นนั้นห่างจากใบหน้านวลไม่ถึงคืบ ทำให้เธอตัวแข็งทื่อ พยายามเบี่ยงใบหน้าหนีเขา หัวใจดวงน้อยเต้นระรัว
“อย่า อย่า ทำอะไรฉันนะคะ ปล่อยฉันไปเถอะค่ะ”
ทว่า ปลายนิ้วแข็งกลับกดลงที่ล็อกประตู เสียงปลดล็อกทำให้ศศิกาญจน์ลืมตาขึ้น และเป็นเวลาเดียวกับที่ชายหนุ่มคลายการกระชับแขนออก พามือหนากลับไปวางบนพวงมาลัยตามเดิม
“รีบๆ ลงไปเลย”
เขาปล่อยเธอลงจากรถ เพราะอยากรู้ว่าเธอมีแผนมาทำอะไรที่ไร่ของเขา กระนั้น สายตาคมดุยังมองตามสรีระอ้อนแอ้นโค้งเว้าไปอย่างคาดโทษ เพราะไม่เชื่อว่าเธอจะมาสัมภาษณ์งานตำแหน่งผู้จัดการไร่ที่กำลังเปิดรับสมัครอยู่จริง
ด้วยสัญชาตญาณ ศศิกาญจน์รีบร้อนลงจากรถของเขาอย่างรวดเร็ว ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองอีก แต่กระนั้นสองหูกลับได้ยินเสียงคำรามแว่วตามหลังฝากสายลมมา
“ถ้าโกหกอีกละก็ เธอโดนเล่นงานหนักแน่”
มือหนาคว้าหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดโทร.ออกไปยังเบอร์ส่วนตัวของผู้จัดการฝ่ายบุคคล ใบหน้าหล่อเหลาแบบเถื่อนๆ ขึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้รับรายงานจากฝ่ายบุคคลว่า วันนี้มีนัดสัมภาษณ์งานหญิงสาวคนหนึ่งในตำแหน่งผู้จัดการไร่จริงๆ แม้ผู้สมัครรายนี้จะอายุน้อยและเป็นผู้หญิง แต่จากประวัติการศึกษาของ ‘นางสาว ศศิกาญจน์ ปานชีวา’ นั้นจบปริญญาตรีคณะเกษตรศาสตร์ สาขาพืชไร่โดยตรง ซ้ำยังได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง มีความสามารถพูดได้ถึงสี่ภาษา และโครงงานที่หญิงสาวทำขึ้นสมัยเรียนมหาวิทยาลัยนั้นยังได้รับรางวัลชนะเลิศในการประกวดระดับประเทศ
จอมทัพตัดสายสนทนาพร้อมกับรอยยิ้มหยัน ยอมรับว่าผิดคาด เธอไม่ได้โกหกว่ามาสัมภาษณ์งานในตำแหน่งผู้จัดการไร่ ถึงแม้โปรไฟล์ของเธอจะเข้าตาฝ่ายบุคคล แต่ในฐานะเจ้าของไร่ เขาถือว่าประสบการณ์ทำงานเป็นเรื่องสำคัญ...
ครึ่งชั่วโมงถัดมา...
ภายในสำนักงานของไร่ทับตะวันที่โอ่อ่ากว้างขวาง แลดูสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ แบ่งโซนแต่ละแผนกด้วยพาร์ทิชั่นสูงราวร้อยยี่สิบเซนติเมตร ทำจากกระจกใสครึ่งบน ส่วนครึ่งล่างทำจากไม้เคลือบเมลาลามีนสีเทาอ่อนเงาวับ เพิ่มความหรูหรามีระดับสมกับเป็นไร่กาแฟที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งของประเทศ
ศศิกาญจน์ยืดอกเดินลำตัวตั้งตรงอย่างคนมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม เข้าไปยังห้องตรงมุมซ้ายด้านในสุดที่เป็นที่ตั้งของผู้จัดการฝ่ายบุคคล
“อะไรนะคะ! ฉันเดินทางมาตั้งไกล แต่ทางฝ่ายบุคคลขอยกเลิกการสัมภาษณ์งานของดิฉัน” ยังไม่ทันที่จะเอ่ยปากแนะนำตัวเองให้ผู้จัดการฝ่ายบุคคลได้รู้จักตามที่ได้เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ก็ถูกบอกยกเลิกนัด ความรู้สึกตอนนี้ไม่ต่างจากถูกเสาไฟฟ้าล้มฟาดใส่หัวอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“เพราะอะไรเหรอคะ?” ศศิกาญจน์ยืดตัวตรงจ้องมอง ‘คุณรสสุคนธ์’ ผู้จัดการฝ่ายบุคคล วัยสี่สิบห้าปีของไร่แห่งนี้
“เป็นเพราะฉันไม่มีประสบการณ์ในการทำงานหรือเปล่าคะ ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันอยากให้คุณลองพิจารณาใหม่ได้ไหมคะ ครอบครัวของดิฉันมีอาชีพทำสวนผักแบบเดิมๆ อย่างที่เคยทำกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ซึ่งยิ่งทำก็ยิ่งประสบปัญหา แต่ดิฉันนำความรู้ที่เรียนมาใช้ปรับปรุงสวนผักของเราจนได้รับรางวัลจากการประกวดเกษตรก้าวหน้า ดิฉันอยากให้คุณลองเปิดใจสัมภาษณ์ดิฉันก่อนค่ะ”
เธอเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับไร่แห่งนี้มาเป็นอย่างดี แต่กลับมาตกม้าตายเพราะถูกยกเลิกการสัมภาษณ์เนี่ยนะ ทำไมโชคชะตาถึงใจร้ายกับเธอนัก ช่างไม่ยุติธรรมเอาซะเลย
สาวใหญ่ผู้มีอำนาจสูงสุดในฝ่ายบุคคลของไร่ทับตะวันส่ายหน้า ทอดมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความรู้สึกเห็นใจ รสสุคนธ์เป็นคนหัวสมัยใหม่จึงเปิดรับคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ เจ้าของไร่นี้ก็เช่นกัน ถึงได้ตัดสินใจเรียกศศิกาญจน์เข้ามาเพื่อสัมภาษณ์ ยิ่งได้เห็นท่าทางทะมัดทะแมงขัดกับรูปร่างบอบบางและแววตามุ่งมั่นนั้น ยิ่งทำให้เปิดใจรับหญิงสาวมากขึ้น
รสสุคนธ์ถอนหายใจอย่างอึดอัด หากไม่มีคำสั่งตรงจากเจ้าของอาณาจักรแห่งนี้ ทั้งๆ ที่ปกติแล้วพ่อเลี้ยงจอมทัพให้เกียรติในบริหารและการทำงานของทุกฝ่าย ไม่เคยเข้ามาแทรกแซงการทำงานเลยสักครั้ง ป่านนี้ เธอคงดำเนินการสัมภาษณ์เจ้าหล่อนไปแล้ว
“พี่ต้องขอโทษคุณจริงๆ นะคะ ที่ไม่สามารถสัมภาษณ์งานในตำแหน่งที่คุณยื่นใบสมัครไว้ได้”
แวบหนึ่ง คนกำลังหาหนทางรอดรู้สึกท้อ ไม่คิดว่าไร่ใหญ่โตมีมาตรฐานขนาดนี้ซึ่งควรจะมีการบริหารจัดการที่ดี จะปฏิเสธการมาสัมภาษณ์ของเธอเอาดื้อๆ
“ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ” ศศิกาญจน์ยกมือไหว้และกล่าวลาอย่างคนมีมารยาท
เรือนร่างเพรียวบางสมส่วนหมุนตัวกำลังจะเดินออกจากห้องแผนกฝ่ายบุคคล แต่เพียงขยับเท้าได้ไม่ถึงสองก้าวก็มีเสียงเรียกชื่อขึ้น
“เดี๋ยวค่ะคุณศศิกาญจน์ อย่าเพิ่งไปค่ะ พี่ยังแจ้งให้คุณทราบไม่หมด” รสสุคนธ์ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้หนังสีน้ำตาล