Episode 08
“เดี๋ยวขอพักแป๊บนึงนะ ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน” ผมหันไปพูดกับพี่น้องทั้งสามที่อยู่ในซูม ก่อนที่จะขอตัวเดินออกมา
ตอนนี้ก็สัมภาษณ์ไปได้ทั้งหมดสี่คนแล้วครับ เหลืออีกแค่สองคนเท่านั้น ภายหลังจากที่สัมภาษณ์เสร็จครบทั้งหกคนแล้ว ผมกับพี่น้องทั้งสามก็จะมาช่วยกันพินิจพิจารณาว่าเลขาคนใหม่ของผมนั้นจะเป็นใคร แล้วพอเลือกได้ ผมก็จะติดต่อเธอคนนั้นกลับไปในอีกสามวัน
“สัมภาษณ์งานในวันนี้ผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ ยายไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” เดินมาจนเกือบจะถึง ผมก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่หน้าห้องน้ำ ซึ่งมันเป็นเสียงที่สุดแสนจะคุ้นหู เพราะผมได้ยินมันทุกวัน สมัยที่ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย
และใช่…
เจ้าของเสียงคนนั้นก็คือเธอนั่นเอง
“เลิฟ?” ผมเรียกชื่อเธอเบาๆ ก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อที่จะแอบฟัง เธอยืนหันหลังในฝั่งที่ผมยืนอยู่ ดังนั้นเธอจึงไม่เห็นว่าตัวผมกำลังเดินมา
“ยังไม่รู้ผลเลยค่ะ วันนี้ก็แค่มาสัมภาษณ์เฉยๆ ถ้าเขาสนใจในตัวเรา เดี๋ยวเขาก็จะติดต่อกลับมาเองค่ะ ก็คงจะไม่เกิน…สามวันล่ะมั้งคะ”
“…”
“หนูก็หวังว่าเขาจะเลือกหนูเหมือนกันค่ะยาย ถ้าหนูได้ทำงานนี้นะ บ้านเราสบายไปทั้งเดือนแน่ๆ เขาให้เงินเดือนสูงมากเลยนะคะ ตั้งสองแสนเลย”
ผมรู้แค่ว่าเธอพูดอะไร แต่ผมไม่รู้ว่าปลายสายที่เธอกำลังคุยด้วยเขาพูดคำว่าอะไรตอบกลับมา ผมรู้แค่ว่าเธอคุยกับคุณยายของเธอ เพราะเธอเป็นคนพูดออกมาเองก็เท่านั้นครับ
“ยายไม่ต้องกังวลนะคะ ถ้าหนูได้ทำงานนี้ แล้วถ้าหนูได้เงินเดือนเมื่อไหร่ หนูจะรีบไปไถ่ทองออกมาให้ยายทันทีเลย หนูรักยายนะคะ ยายอย่าลืมกินข้าวกินยาด้วยนะ”
“เฮ้อ…” หลังจากที่วางสายจากคุณยายไปแล้ว เธอก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และหันหลังเตรียมตัวที่จะเดินมาทางที่ผมยืนอยู่ ผมรีบถอยหลังกลับไปประมาณนึง และแสร้งทำเป็นว่าเพิ่งเดินมาถึง “อ…อ้าว! สวัสดีค่ะ”
ดูเหมือนว่าเธอจะเศร้ามากเลยนะครับ
แม้ว่าหยดน้ำตาจะไม่ได้ไหลออกมา แต่แววตาของเธอก็เต็มไปด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า
ชิ!
ไม่ชอบเวลาที่มีคนมาร้องไห้ต่อหน้าแบบนี้เลย
“สวัสดี” ผมตอบกลับคำทักทายของเธอไปนิ่งๆ และถามเธอต่อว่า “เธอยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ?”
“อ๋อ ก็กำลังจะกลับเนี่ยแหละค่ะ”
“ตอนแรกไม่ค่อยได้สังเกตเท่าไหร่ แต่พอมาตอนนี้…แก้มเธอก็ยังแดงอยู่เหมือนเดิมเลยนะ” คนเรา…ต้องปัดแก้มแดงขนาดนั้นเลยเหรอนั่น? ผมไม่มีความรู้ในส่วนนี้เลย ใครก็ได้ช่วยแนะนำให้ผมทีนะครับ “วันหลังปัดให้อ่อนลงกว่านี้อีกนะ จะดูน่ารักขึ้นเยอะเลย”
“เอ่อ…” เธอชะงักไปเล็กน้อย และยกมือขึ้นมาแตะที่แก้มของตัวเองเบาๆ “ข…ขอบคุณนะคะ”
“หนึ่ง ถึงเราจะเป็นพี่รหัสและน้องรหัสกันมาก่อน แต่เมื่ออยู่ในบริษัท เธอจะต้องเรียกฉันว่าคุณ ท่านประธาน บอส หรือเจ้านายเท่านั้น ห้ามเรียกฉันว่าพี่เด็ดขาด”
“หมายความว่ายังไงเหรอคะ?”
“สอง…เวลาทำงานกับฉัน งานก็คืองาน เล่นก็คือเล่น พอถึงเวลาพักกลางวัน เธอจะนั่งเล่นเกมฉันก็ไม่ว่า แต่เมื่อถึงเวลาทำงาน ก็ต้องทำงานอย่างตั้งใจ ไม่ใช่นั่งเล่น”
“แต่หนูยังไม่ได้งานเลยนะคะ”
“ข้อที่สาม ฉันรู้ว่าบนโลกใบนี้ไม่มีใครเก่งไปเสียทุกอย่าง เพราะตัวฉันเองก็ไม่ได้มีความสามารถรอบด้านอะไรขนาดนั้นเหมือนกัน แต่ฉันชอบคนที่ตั้งใจ ถ้าเธอไม่เก่ง แต่ตั้งใจและพร้อมที่จะเรียนรู้ ฉันก็ยินดีที่จะสอน”
“อะไรของพี่คะเนี่ย! พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?”
“และข้อสุดท้าย…เริ่มงานวันพรุ่งนี้วันแรก เวลาเก้าโมงเช้า ห้ามสาย ห้ามขาด ห้ามลา ถ้าไม่จำเป็น”
“ม…หมายความว่าหนูได้งานแล้วใช่ไหมคะ!?” พอได้ยินแบบนั้นเธอก็ยิ้มออก และแววตาของเธอก็ดูหายเศร้าขึ้นมาทันที “พี่รับหนูเข้าทำงานแล้วใช่ไหม!?” เธอเขย่าแขนของผมรัวๆ ด้วยความตื่นเต้น เมื่อผมเอาแต่ยืนเงียบ ไม่พูดไม่จาตอบกลับอะไรเธอสักที “ใช่ไหมคะพี่!”
“อืม” ผมพึมพำในลำคอตอบกลับเธอไปเบาๆ พร้อมกับเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “บอกว่าอย่าเรียกพี่ไง”
“ค…ค่ะ! ขอบคุณนะคะพี่! เอ๊ย! ขอบคุณนะคะท่านประธาน เย้!” พอได้คำตอบที่มั่นใจ เธอก็กระโดดโลดเต้นไปมาอย่างมีความสุข คนละขั้วอารมณ์กับเมื่อกี้แบบสุดๆ เลยล่ะครับ “ขอบคุณนะคะ ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ”
“ไม่เป็นไร” ผมว่าพลางไหวไหล่เบาๆ “แล้วคราวหลังอย่าปัดแก้มแดงแบบนี้มาอีกนะ เดี๋ยวคนอื่นเขาจะหัวเราะเยาะเธอเอาได้”
“ได้ค่ะ หนูจะไม่ปัดแก้มแดงแล้ว แต่หนูจะใช้สีฟ้าแทน”
“เลิฟ!” ผมเรียกชื่อเธอเสียงแข็ง พร้อมกับหรี่ตามองเธอแบบดุๆ
“555 หนูล้อเล่นน่ะค่ะ จากนี้ไปหนูจะปัดแต่พอดีๆ ค่ะ”
“เออแล้ว…จะให้เงินเดือนหนูเท่าไหร่เหรอคะ?”
“ก็คงจะให้ตามที่เธอข…” แต่พูดยังไม่ทันจบประโยค เลิฟเธอก็ชิงพูดตัดบทผมขึ้นมาซะก่อน
“ให้ตามที่หนูขอ ก็…สี่หมื่นสี่พันล้านใช่ไหมคะ!”
“พอไหม?”
“ทำไมเหรอคะ? หรือว่า…จะให้มากกว่านั้นอีก!? อ๊ะ! ถ้าอย่างนั้นหนูขอสักห้าหมื่นล้านต่อเดือนก็ได้ค่ะ”
“ฉันหมายถึง…ฉันจะมีเงินจ่ายพอไหม”
“แฮร่! 555”
ตลกมากมั้ง
“อ้อ! ท่านประธานก็ตกลงรับหนูเข้าทำงานแล้ว แล้วเรื่องลูกของเราล่ะคะ? สรุปยังไงเอ่ย?”
“เรื่องมันก็ผ่านมานานหลายปีแล้วนะ เธอยังไม่ล้มเลิกความคิดนั้นอีกหรือยังไง? เป้าหมายแน่วแน่จังเลยนะ”
“แล้วความคิดนั้นมันไม่ดีตรงไหน? หนูไม่ได้อยากท้องเพื่อที่จะจับท่านประธานสักหน่อย”
“แล้วทำไมถึงไม่รอไปมีกับแฟนตัวเองล่ะ? จะมาตามตื๊อฉันเพื่อ ตื๊อจนมดลูกแห้งฉันก็ไม่มีวันตอบตกลงหรอก”
“หนูยังไม่มีแฟนค่ะ ซึ่งอันที่จริงก็อยากมีนะ แต่ผู้ชายดีๆ เดี๋ยวนี้หายาก ส่วนใหญ่ที่เจอมาในชีวิตประจำวันก็มักจะชอบทำร้ายร่างกายและตบตีกันเป็นประจำ หนูก็เลยคิดว่าถ้าหนูจะต้องอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต มันก็อาจจะดีกว่าการที่มีแฟน มีสามี แต่โดนทำร้ายร่างกายอยู่เป็นประจำ แต่อีกใจนึงหนูก็รักเด็ก หนูอยากมีลูกเป็นของตัวเอง ลูกที่หนูอุ้มท้องและคลอดเขาออกมา โดยที่ไม่ใช่ลูกบุญธรรม ถ้าหนูมีลูกเป็นของตัวเองขึ้นมาจริงๆ หนูก็จะรักและดูแลเขาให้เป็นอย่างดี หนูจะใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ จะซัพพอร์ตเขาในทุกๆ เรื่องเท่าที่จะทำได้ โดยที่ไม่ใช่การตามใจจนทำให้เขากลายเป็นเด็กนิสัยเสีย ก็…ประมาณนี้”
“ที่เธอพูดมามันก็เป็นความจริงนะ แต่ผู้ชายดีๆ ก็ยังมีอยู่นะ ยังไม่ได้สูญพันธุ์ไปจากโลกนี้สักหน่อย ฉันว่าพอถึงเวลาเดี๋ยวเธอก็จะเจอผู้ชายดีๆ คนนั้นเอง ซึ่งตอนนี้ที่ยังไม่เจอก็เพราะว่ามันยังไม่ถึงเวลา ดังนั้น…รอจนกว่ามันจะถึงเวลาก่อน แล้วค่อยมาคิดเรื่องเด็กหลอดแก้วนะ”
“อันที่จริงหนูเจอแล้ว”
“เออ ก็ไปมีลูกกับเขาสิ”
“ก็ท่านประธานไงคะ”
“…” ไปไม่เป็นเลย
“555”
“เพราะหนูเจอผู้ชายที่ดีคนนั้นแล้ว หนูก็เลยเลือกท่านประธานยังไงล่ะคะ ท่านประธานเป็นผู้ชายที่ดี ที่เหมาะมากที่จะมาเป็นพ่อของลูกของใครสักคน ซึ่งนั่นก็คือหนู 555 เพราะกับคนบางคน ก็ไม่เหมาะที่จะเป็นพ่อใครด้วยซ้ำ หนูอยากให้ท่านประธานเข้าใจและตอบตกลงที่จะบริจาคน้ำเชื้อให้หนูนะคะ แต่ถ้าไม่อยากบริจาค เราจะแต่งงานเป็นสามีภรรยากันจริงๆ ก็ได้นะ วิธีธรรมชาติไปเลย อันนี้หนูก็ไม่ติดเหมือนกัน ถ้าเป็นท่านประธานน่ะ 555”
“เฮ้อ…”
ไม่ว่าจะผ่านไปนานสักกี่ปี ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม อุตส่าห์หาคนสู้งาน แต่ตัวเองดันต้องมาสู้แทน ชีวิตหนอชีวิต~