ตอนที่ 5
สี่ปีผ่านไป
และจากเหตุการณ์ครั้งนั้นปรานไหมก็ไม่ได้บินมาหากลับมาหาเขาอีกเลย ภัคพงศ์ก็ไม่ได้ท้วงติงอะไร เพราะเขายอมรับกับตัวเองว่าถ้าเขาใกล้ชิดกับเธอในเวลาที่ไม่เหมาะสมนั้นอาจทำให้เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีก
“เฮ้ย!” ภัคพงศ์ถอนหายใจอีกครั้งเมื่อได้ย้อนคิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อสี่ปีก่อน และจากวันนั้นทุกครั้งที่เขาโทรข้ามประเทศไปหาปรานไหม เธอก็ไม่ยอมคุยกับเขาอีกเลย
“สี่ปีแล้วนะปรานไหมที่น้องไม่คุยกับพี่” ภัคพงศ์ได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเองใน
สนามบินสุวรรณภูมิ
เอกวุฒิเป็นคนไปรับลูกสาวแทน ถ้าทั้งสองไม่โกรธกัน คนที่จะต้องมารับปรานไหมในวันนี้ก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก ภัคพงศ์
“ไหม...นั้นลูกกำลังจะไปไหน” เอกวุฒิเรียกลูกสาวที่มีทีท่ารีบร้อนออกจากบ้านทันทีที่เธอเพิ่งมาถึง
“สวัสดีค่ะคุณพ่อ” ปรานไหมทำความเคารพบิดา และเดินเข้าไปหา
“คือไหมมีธุระด่วนนะคะ”
“ธุระด่วน?” เอกวุฒิมองหน้าลูกสาวแบบจับพิรุธ
“ค่ะ”
“เลื่อนได้มั้ย?”
“ธุระสำคัญค่ะคุณพ่อ”
“มากกว่าพี่ภัค?”
“แหม!...คุณพ่อมันไม่เกี่ยวกันเลยนะคะ” เอกวุฒิมองหน้าลูกสาวและส่ายหน้าไปมาเมื่อเช้าตอนปรานไหมมาถึงเขาได้บอกให้ปรานไหมรู้ว่า
“ภัคพงศ์จะเดินทางมาถึงที่นี่” เขาบอกเพื่อให้เจ้าลูกสาวตัวแสบแสนงอนอยู่เพื่อได้เจอและเคลียร์กัน แต่นี่กลายเป็นว่าหาทางหลบเลี่ยงไม่เจอกันซะงั้น ทำให้เขาเหนื่อยใจจะให้บังคับก็ทำไม่ได้ เพราะตั้งแต่เล็กจนโตเขาใช้หลักเหตุและผลในการเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนลูกมาตลอด และปรานไหมไม่เคยสร้างปัญหาอะไรให้เขาเลย กลับตรงกันข้ามเธอนำพาแต่ความภาคภูมิใจมาให้ตลอด จะมีก็แต่เรื่องเดียวคือเรื่องของพี่ภัคของเจ้าลูกสาวคนนี้แหละ ที่เธอไม่ยอมให้ใครเข้ามายุ่งเกี่ยวระหว่างปัญหาของพวกเขาทั้งสอง นี่ก็สี่ปีแล้ว
เอกวุฒิมองหน้าลูกสาวแต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่ตัดสินใจให้เป็นปัญหาของภัคพงศ์เองก็แล้วกัน ปรานไหมเมื่อเห็นว่าพ่อไม่ขวางเธอแล้ว ก็วิ่งเข้าไปหอมแก้มฟอดใหญ่และกล่าวลาเพื่อที่จะออกไปข้างนอก จากนั้นเธอก็รีบโทรศัพท์ไปหาเพื่อน
“ตุ๊กตา!....แกอยู่ไหนแล้วเนี้ยะ...ทำไมช้าจัง” ปรานไหมต่อว่าใส่เพื่อนทันทีที่เธอรับสาย
“ใกล้แล้วโว้ย!...วันนี้เป็นวันพระ...แวะไปส่งคุณแม่กับคุณย่าที่วัดเสร็จก็รีบมาหาแกเลยนะ...พระเจ้าก็ไม่ได้ไหว้ขอบุญติดตัวเลย” ตุ๊กตาเพื่อนสาวที่สนิทของปรานไหม ตุ๊กตาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนอนุบาลมาด้วยกันและรู้จักครอบครัวของปรานไหมเป็นอย่างดีทุกคนรวมถึงพี่ชายอย่างภัคพงศ์ของปรานไหมด้วย
“เอ่อ ๆ ๆ เร็ว ๆ นะ...ยืนรอหน้าบ้านแล้ว”
‘เฮ้ย!!!’ และไม่ทันที่ปรานไหมจะได้วางสายเธอก็เห็นรถของที่บ้านเลี้ยวเข้ามา และแน่นอนเธอรู้ทันทีว่าเป็นรถที่คุณพ่อให้เอาไปรับคนที่เธอกำลังหลบเลี่ยงที่จะเจออยู่
ปรานไหมหันซ้ายหันขวาตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร ระหว่างกระโดดหลบเข้าข้างทางและมุดตัวกับกระถางต้นไม้หน้าบ้าน แต่คิดว่าคงไม่เป็นผลเพราะหน้าบ้าน เธอเต็มไปด้วยไม้กระถางเล็กๆ ที่วางเรียงกันอย่างสวยงาม จึงตัดสินใจวิ่งกลับเข้าบ้านขึ้นไปห้องนอนทันที
เอกวุฒิเห็นหลังลูกสาวแวบ ๆ กำลังจะถามว่าลืมอะไร ก็ได้ยินเสียงรถเข้ามาจอดที่หน้าประตูทางเข้าบ้านเสียก่อนจึงเลือกจะออกไปตามเสียงรถนั้น เพราะรู้เหตุผลในการวิ่งแบบนั้นของลูกสาวทันที เอกวุฒิเดินออกมาพร้อมกับที่ภัคพงศ์ลงมาจากรถ
“สวัสดีครับคุณพ่อ” ภัคพงศ์ยกมือไหว้และกล่าวสวัสดี พร้อมกับเข้าไปกอด ชายตรงหน้าที่รักไม่ต่างไปจากพ่อแท้ๆ เลย
“เดินทางเป็นไงบ้าง...คงเหนื่อยสินะ...”
“ขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิมาที่ภูเก็ต ชั่วโมงกว่า ๆ ยังไม่ทันเหนื่อยเลยครับคุณพ่อ”
“ไปๆ...เข้าบ้านก่อน...” เอกวุฒิเชื้อเชิญลูกชาย
“ครับพ่อ” ภัคพงศ์ตอบออกไปพร้อมกับสายตากวาดหาคนที่ต้องการจะพบหน้า
“เอ่อ...คุณแม่ยังไม่กลับจากวัดเหรอครับ?”
“เดี๋ยวคงจะกลับมาแล้วละ...เพราะเขาบ่นคิดถึงภัคพงศ์มาก เรานี่ก็แปลกบ้านช่องไม่ค่อยกลับบ้าน อยู่แต่กรุงเทพฯ” เอกวุฒิต่อว่าลูกชาย เพราะตลอดเวลาสี่ปีไม่ใช่แค่ปรานไหมที่เขาไม่ได้เจอ แต่รวมถึงพ่อแม่ของเขาด้วย เพราะเมื่อปรานไหมโกรธเธอก็พาลไม่กลับมาบ้านด้วยเช่นกัน ทำให้พ่อแม่ต้องบินไปเยี่ยมเธอที่อังกฤษ ซึ่งภัคพงศ์ก็เข้าใจดีและเห็นด้วย เพราะที่เหตุการณ์เป็นแบบนี้สาเหตุก็มาจากตัวเขาเอง ภัคพงศ์เลยไม่อยากสู้หน้าบิดามารดาและรวมถึงการที่เขาไม่ได้กลับบ้านพ่อแม่ที่ภูเก็ตเช่นกัน
“แล้วไหมละครับ?” ภัคพงศ์ถามไปอย่างนั้น แต่เมื่อกี้นี้เขาเห็นเธอตั้งแต่รถเลี้ยวเข้ามาแล้ว เธอยืนอยู่หน้าบ้าน แว๊บ!แรกเขาดีใจคิดว่าเธอออกมายืนรอรับเขา แต่แล้วจู่ ๆ เธอก็วิ่งกลับเข้าบ้านไปทันที
“สงสัยจะลืมของ เห็นบอกว่ามีธุระสำคัญต้องออกไปข้างนอก...แต่ตอนนี้วิ่งขึ้นห้องไปแล้ว” เอกวุฒิเลือกที่จะตอบและให้อีกเหตุผลอื่นไป แต่ทั้งเขาและเอกวุฒิต่างก็เข้าใจในการกระทำของปรานไหม ภัคพงศ์ขมวดคิ้วทันทีและขอตัวไปหาต้นเหตุของการมาภูเก็ตครั้งนี้
ปรานไหมหันไปมองตามเสียงลูกบิดประตูทันที และไม่ทันที่เธอจะวิ่งไปยับยั้งประตูก็ถูกผลักเข้ามา พร้อมกับคนตัวโตที่ผ่านประตูเข้ามาและปิดประตูลง เขายืนขวางประตูด้วยรอยยิ้ม และโชว์พวงกุญแจที่เกี่ยวไว้กับนิ้วและควงเล่นอย่างท้าทายหญิงสาวตรงหน้า ภัคพงศ์คาดไว้อยู่แล้วว่าปรานไหมต้องล็อกห้องจึงแวะไปหยิบกุญแจมาก่อน
ปรานไหมมองภาพนั้นอย่างไม่ชอบใจแต่ก็ไม่โวยวายอะไร ภัคพงศ์จ้องตาปรานไหมและไล่ลงมาที่จมูก ปากและรูปร่างที่สมส่วนเอวคอดสะโพกกลมงอน ขาเล็กเรียวยาวภายใต้กางเกงยีนส์สีซีดเข้ารูปนั้น สี่ปีแล้วที่เขาไม่ได้เจอและได้ยินเสียงเธอแบบตรง ๆ มีแต่ภาพถ่ายในกิจกรรมต่าง ๆ ของเธอที่เขาได้เห็นจากโซเชี่ยลที่เขาแอบส่องของเธอเป็นประจำ
ภัคพงศ์ยังยืนอยู่ที่เดิม ทั้ง ๆ ที่ใจอยากจะดึงร่างบางนั้นเข้ามากอดและทำอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย แต่เขาก็ต้องยับยั้งชั่งใจไว้เพราะตอนนี้หญิงสาวตรงหน้าดูจากท่าทางและแววตาตอนนี้แล้วเธอคงยอมเขาหรอก แต่ภัคพงศ์ก็ใช่ว่าจะยอมแพ้
“คิดถึงจัง” ปรานไหมหลี่ตามองผู้ชายตรงหน้าอย่างไม่วางใจกับคำทักทายที่พึ่งเข้าหูไปหมาด ๆ
‘จะมาไม้ไหนกันแน่’ ปรานไหมคิดในใจ เข้มแข็งไว้ปรานไหมเธอตอกย้ำเตือนสติของตัวเอง ความรู้สึกที่ได้รับเมื่อสี่ปีก่อนเธอไม่เคยลืม ‘จูบแรก’ เขาได้ทั้งจูบแรกและทั้งตัวเธอไปแล้ว หลังจากนั้นสิ่งที่เธอได้รับตอบแทนคือความห่างเหินและการหลบหน้า
ปรานไหมยอมรับว่าเสียใจเป็นอย่างมาก หลังจากคืนนั้นเมื่อสี่ปีก่อนที่เขาสอนให้เธอรู้จักสิ่งที่เรียกว่า ‘เซ็กซ์’ เขาทำกันอย่างไร
ปรานไหมยังจำความรู้สึกนั้นได้ว่ามันเป็นอย่างไร เธอทั้งตกใจและตื่นเต้นอย่างที่สุด เป็นประสบการณ์ใหม่ แต่ก็ทำให้เธอรู้สึกดี เพราะคนที่ให้ประสบการณ์นี้คือชายที่เธอทั้งรักและบูชาเป็นที่สุด คืนนั้นกว่าเธอจะหลับลงได้ก็ผ่านไปหลายชั่วโมง
ภัคพงศ์ก็ยังไม่กลับมาจนเธอเผลอหลับไป และมาตื่นในตอนเช้าไร้ซึ่งเงาและร่องรอยการกลับเข้ามานอนของภัคพงศ์
แต่นั่นปรานไหมก็ยังไม่ได้รู้สึกแย่แต่อย่างใด มันหลังจากนั้นต่างหาก หลังจากที่เขาให้ไม่รั้งเธอก่อนบินไปเรียนที่อังกฤษ และตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่น ปรานไหมมั่นใจเลยว่าภัคพงศ์หลบหน้าเธอ เขาไม่เคยไปหาเธอเลยสักครั้ง และก็ไม่เคยมาที่บ้านภูเก็ตอีกเลย เขาบ้างานและอยู่แต่คอนโดของเขา
ภัคพงศ์อ้างกับบิดามารดาเธอว่าต้องทำงานและมีวันหยุดน้อยเลยไม่ได้กลับบ้านและบินไปหาเธอ ทำไมชีวิตเขามีแต่ งาน ๆ การ กระทำแบบนั้นของภัคพงศ์ทำให้ปรานไหมรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าที่สุด