"อ้าวผู้ใหญ่ทศ มาหาพี่ชิตเหรอคะ"
'เพียงตา' ภรรยาของพิชิต แม่ของพริกหวานในวัยสี่สิบปี ถามผู้ใหญ่บ้านที่นับถือเป็นพี่ที่สนิทออกไป
"เปล่าหรอก" ทศวรรษส่ายหน้า เปิดตู้แช่เอาเบียร์เย็นๆ ออกมานั่งดื่มตรงโต๊ะมาหินอ่อนที่ตั้งอยู่เยื้องๆ หน้าร้านค้าห่างออกมาสิบเมตร มีร่มกระดังงาให้ความร่มรื่นสามารถนั่งเล่นได้ทั้งวัน
ปกติหากเขาจะนัดดื่มกันกับเพื่อนผู้ใหญ่บ้านก็มานั่งที่ร้านค้าของเพียงตา ซื้อที่นี่ กินที่นี่ น้ำแข็งฟรีแต่เครื่องดื่มจ่ายตังค์ บางคราวก็ซื้อของสดเอามาให้แม่ของพริกหวานทำเป็นกับแกล้มให้
เพียงตาเดินถือแก้วเปล่ากับถังน้ำแข็งอะลูมิเนียมพร้อมที่คีบเอามาวางให้ผู้ใหญ่ทศ นึกแปลกใจที่อีกฝ่ายมาดื่มคนเดียว ปกติแล้วต้องมีพรรคพวกผู้ใหญ่ทศถึงจะมา หรืออย่างน้อยก็สามีเธอที่เป็นฝ่ายไปชวนเพื่อนรุ่นน้องมาดื่ม
ปีนี้พี่ชิตหกสิบแล้ว สองคนนี้เขาสนิทกันตั้งแต่ผู้ใหญ่ทศย้ายมาอยู่ 'คุยใหญ่' ใหม่ๆ ก็เลยนับถือเป็นพี่น้องกันไป
"แล้วพี่ชิตไปไหนเพียง"
ถามคนที่กำลังจะเดินกลับเข้าไปในร้าน เพียงตาจึงหยุดแล้วหันมาบอก
"ลงไปดูข้าวที่ทุ่งนาค่ะ"
หลังบ้านของเราเป็นทุ่งนา แต่ที่นาไม่ใช่ของเราหรอก เช่าคนอื่นทำกินในแต่ละปี แบ่งให้เจ้าของที่เขาสามสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนเราเอามาเจ็ดสิบ ทำไม่มาก ที่นาเจ็ดไร่เอง
ทศวรรษพยักหน้า ก็ถามหาคนเป็นพี่ไปงั้น ใจจริงตั้งใจมาดูลูกสาวพี่ชิตต่างหากว่าไปแอบอยู่มุมไหนของบ้าน
เงยหน้าขึ้นไปทางห้องนอนของพริกหวานบนชั้นสองที่เป็นบ้านไม้ บานหน้าต่างเป็นกระจกใสถูกปิดด้วยผ้าม่านสีชมพูที่เขาเห็นว่ามันสะบัด
แต่ให้เอาลมที่ไหนไปพัด ในเมื่อหน้าต่างทุกบานถูกปิดสนิท
พริกหวานคงได้ยินเสียงเขามาที่บ้านจึงมาแอบดู พอเขารู้จึงรีบปิดผ้าม่านกลับหนี
ตอนนี้บ่ายสามโมงแดดยังเปรี้ยงอยู่ด้วย บ้านพริกหวานไม่มีเครื่องปรับอากาศ แล้วดูคนที่ขึ้นไปขลุกตัวอยู่บนนั้นสิไม่ร้อนหรือไง
หยิบมือถือออกมาส่งข้อความหาอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง
"ลงมาอยู่ด้านล่างเดี๋ยวเป็นลม"
ข้อความขึ้นว่าอ่านแล้วทันที ปิดเครื่องหนีเขาได้ไม่ถึงห้านาทีก็กลับมาเปิดใหม่
'เด็กเอ๋ยเด็กน้อย'
งอนเก่ง แต่หายเร็ว พริกหวานก็แบบนี้ แต่เขาไม่เคยมองว่าน่ารำคาญสักที มันน่าเอ็นดูมากกว่า
(ไม่ต้องมายุ่งค่ะ)
พริกหวานตอบกลับสั้นๆ ทำทศวรรษเลิกคิ้ว
"อาติดเครื่องปรับอากาศให้เอาไหมจะได้อยู่ทั้งวันได้"
(บอกว่าไม่ต้องมายุ่งไงคะ)
"เดี๋ยวโทรตามช่างตอนนี้เลย"
มีเพียงสติกเกอร์หน้าโกรธส่งกลับมา ทำเอาคนโตกว่าอมยิ้ม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเมื่อมีใครเดินมาทางนี้
"มาไม่เห็นบอก"
พิชิตเอ่ยกับเพื่อนรุ่นน้อง ทิ้งสะโพกลงม้าหินอ่อนนั่งหอบหายใจแฮกๆ หน้าดำหน้าแดงเพราะเดินฝ่าแดดมา
ถอดหมวกสานออกวางด้านข้างก็ปรากฏหัวล้านที่ไม่มีผมสักเส้น อายุห่างกันแค่สี่ปี แต่รูปลักษณ์ภายนอกของคนทั้งคู่ต่างกันเยอะมาก
ทศวรรษเหมือนคนอายุสามสิบปลายๆ ย่างเข้าเลขสี่ ริ้วรอยบนใบหน้ายังไม่มีให้เห็น ความกระฉับกระเฉงทางด้านร่างกายยังคงมี
แต่กับพิชิต ริ้วรอยบนใบหน้าและหน้าผากมาเต็ม เพราะวันๆ เอาแต่ลงทุ่งนา
"ไม่ได้ว่าจะนั่งนานหรอกพี่ เป็นไง ข้าวสวยไหมปีนี้"
"คิดว่าน่าจะได้ผลดีกว่าปีที่แล้วนะ แล้วทำไมมานั่งดื่มคนเดียว"
'มาดูใจลูกสาวพี่'
แต่เอ่ยแบบนั้นไม่ได้
"ผมว่าจะเลิกบุหรี่ ก็เลยอยากกินอะไรเย็นๆ"
เอ่ยแล้วชำเลืองมองขึ้นไปด้านบนห้องของพริกหวานอีกที อดเป็นห่วงคนตัวเล็กไม่ได้ ร้อนขนาดนี้หน้าต่างก็ไม่เปิดอยู่ไปได้ยังไง
"เอากับแกล้มไหม" เขาจะได้ให้เมียทำ
"ไม่ดีกว่า เดี๋ยวผมจะกลับแล้ว วันหลังพี่ค่อยนัดมาดื่มแล้วกัน"
"อืม แล้วนี่พริกหวานไปไหนเนี่ย"
เอ่ยแล้วมองหาลูกสาวตัวเอง ปกติพ่อกลับจากทุ่งนาก็จะทำน้ำหวานเย็นๆ มาให้ดื่ม ฝีมือลูกสาวนี่มันชื่นใจหายเหนื่อยดีจริงๆ
"เพียง!"
เรียกคนที่กำลังขายของให้ลูกค้า วันหยุดลูกค้าเข้าร้านทั้งวัน ทั้งเด็กเล็กคนโต
"จ๋าพี่ชิต"
"ไอ้พริกล่ะ ทำไมไม่เอาน้ำมาให้พ่อมันดื่ม พ่อกลับมาแล้วนะโว้ยไอ้พริก!"
"อยู่บนบ้านจ้ะ เดี๋ยวเพียงเรียกให้ ไอ้พริก พริกหวานเอ้ย!"
ตะโกนเรียกลูกสาว สุดท้ายพริกหวานจำต้องเดินลงมาจากบ้าน
"มีอะไรแม่"
"เอาน้ำไปให้พ่อเอ็งกินซิ กลับมาแล้วนั่น"
พริกหวานเดินไปเปิดตู้เย็นก่อนจะชงน้ำหวานสีแดงใส่แก้วแล้วไปตักน้ำแข็งใส่ด้วย เดินออกจากบ้านมายื่นให้คนเป็นพ่อ ไม่มองใครอีกคนที่จ้องมา
ทำท่าว่าจะเดินกลับ แต่คนเป็นพ่อกลับเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
"ไหว้อาทศยัง"
"หวัดดีค่ะ"
พนมมือไหว้อย่างคนไม่เต็มใจนัก แต่ทศวรรษไม่ได้โกรธ เพราะรู้ไงว่าพริกหวานงอนตัวเองอยู่
"ลงมาอยู่ด้านล่างด้วยเดี๋ยวเป็นลม"
"ถ้าพริกเป็นลมพ่อก็เอาพริกส่งโรงพยาบาลด้วยแล้วกัน"
"ไอ้ลูกคนนี้นี่! ใครไปสะกิดอารมณ์มันอีก"
ทศวรรษอมยิ้มเมื่อได้ฟังประโยคของพริกหวาน ก่อนจะเอ่ยบอกคนพี่
"งั้นผมกลับแล้วนะพี่ชิต"
หมดเบียร์ขวดหนึ่งพอดีเขาจึงลุกเดินกลับบ้าน ระหว่างนั้นกดอะไรบางอย่างในมือถือก่อนจะยัดลงในกระเป๋ากางเกงอย่างเดิม
พอถึงบ้านก็เจอหน้าเขียวยืนอยู่ตรงหน้าประตู ทศวรรษค้ำเอวด้วยความเหนื่อยหน่าย
"ไอ้เขียว พอแล้วนะวันนี้ หัวจะปวด เจอหน้าแกทีไรมาพร้อมปัญหาทุกที"
"แหม..ผู้ใหญ่ก็ คราวนี้ไม่ได้มาพร้อมปัญหาครับ แต่เอากำลังใจมาส่ง อิอิ"
เขียวมีท่าทางดี๊ด๊า
"กำลังใจอะไร"
ทศวรรษวางมือจากเอวแล้วรับกระดาษสีขาวที่พับเป็นรูปสี่เหลี่ยมมาเปิดออกดู
'ผู้ใหญ่ กานต์มีเรื่องอยากคุยด้วยค่ะ เดี๋ยวเย็นนี้กานต์ไปหาที่บ้านนะคะ'
พอทศวรรษได้อ่านข้อความในนั้นถึงกับขยำทิ้งแล้วยัดมันกลับใส่ในมือเขียว
"มึงเอากลับไปคืน แล้วบอกด้วยว่ากูไม่ต้อนรับ!"
"ทะ..ทำไมครับ"
"ทำตามที่กูบอก"
เขียวรับกลับมางงๆ ไอ้เราก็อุตส่าห์มองว่าดีหากผัวเมียเขาจะคืนดีกัน สรุปต้องเอากลับไปคืนเหรอเนี่ย แล้วค่าจ้างที่ได้รับมาล่ะ ต้องคืนด้วยป่ะ แต่พันนึงเลยนะ เฮ้อออ