เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากคุณหนูอันฉีจึงเดินออกจากเรือนไปอย่างเชื่อฟัง เพื่อไปหาองครักษ์เฉินชุนตามคำสั่งของผู้เป็นเจ้านาย อันฉีเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่พ่อแม่ถูกโจรป่าฆ่าตายฮูหยินของท่านแม่ทัพได้ให้ความเมตตาพาอันฉีในวัยหกขวบมาดูแลที่จวนแม่ทัพภายในเมืองเสียนหยางจนกระทั่งถึงตอนนี้ผ่านมาได้สิบปีแล้ว
ตลอดเวลาที่ผ่านมาอันฉีได้รับการถ่ายทอดวรยุทธจากฮูหยินของท่านแม่ทัพ จนกลายเป็นผู้เยี่ยมยุทธคนหนึ่งในกองทัพที่ฝีมือการต่อสู้สูสีกับคุณชายรองกู้หวังจิ้ง เมื่อครึ่งปีก่อนอันฉีได้รับคำสั่งจากฮูหยินให้นางคอยดูแลคุณหนูซึ่งเป็นบุตรสาวคนเล็กของตระกูลกู้ อันฉีจึงตั้งใจทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีไม่ว่าคุณหนูจะสั่งให้ทำอะไรอันฉีก็ยินดีทำตามอย่างเต็มใจแม้บางครั้งจะมีความสงสัยอยู่บ้าง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่พี่รอง”
กู้ฮุ่ยหมิงเดินเข้ามาภายในเรือนหลักก่อนจะกล่าวทักทายบิดามารดาและพี่ชายทั้งสองของตนด้วยน้ำเสียงของเด็กน้อยวัยสิบขวบ ถึงแม้วิญญาณของกู้ฮุ่ยหนิงจะมีอายุหลายร้อยปีแต่ร่างนี้ก็เป็นเพียงเด็กน้อยอายุแค่สิบขวบทำน้ำเสียงของนางฟังดูน่ารักสำหรับผู้ให้กำเนิดเสมอ
“หนิงเอ๋อ ลูกมาแล้วมานั่งข้าง ๆ พ่อมา”
“น้องสาวมานั่งข้างพี่รอง”
“หนิงเอ๋อมานั่งข้างพี่ใหญ่ดีกว่า”
ผู้ชายทั้งสามคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารรีบแย่งชิงความสนใจของเด็กสาวที่เพิ่งเดินเข้ามาภายในเรือนทันทีอย่างไม่มีใครยอมแพ้ให้ใคร แม่ทัพกู้ตงหยางเรียกบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นที่เจือปนด้วยความรัก บุตรสาวของเขาเป็นเด็กสาวที่รู้ความยิ่งนักทำให้ผู้เป็นบิดาเช่นตนรู้สึกปวดใจเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าอยู่ที่จวนตระกูลกู้ในเมืองหลวงเด็กน้อยคนนี้ได้พบเจอเรื่องลำบากใจอะไรมาบ้าง ถึงทำให้เด็กน้อยอายุสิบขวบกลายเป็นผู้ใหญ่เหมือนกับผ่านเหตุการณ์ในชีวิตมามากมายเช่นนี้ บุตรชายของเขาในวัยสิบขวบยังเล่นซนไม่รู้ความอยู่เลยผิดกับบุตรสาวในวัยสิบขวบนางกลับไม่มีความดื้อรั้นเหมือนเช่นเด็กในวัยนี้ที่สมควรจะมี
ถึงแม้แม่ทัพกู้ตงหยางจะเห็นว่าบุตรสาวมีความฉลาดเกินกว่าเด็กหลายคนในวัยนี้แต่เขาก็อยากให้บุตรสาวใช้ชีวิตในวัยเด็กด้วยความสุขมากกว่าที่จะต้องมารับผิดชอบเรื่องการค้าเหมือนที่บุตรสาวกำลังทำในเวลานี้ ฮูหยินแม่ทัพกู้ได้แต่ส่ายหน้าให้กับสามีของตนและบุตรชายทั้งสองที่เรียกร้องความสนใจจากบุตรสาวเหมือนพวกเขาเป็นเด็ก ๆ เสียเอง
“หนิงเอ๋อมานั่งข้างแม่”
“เจ้าค่ะท่านแม่”
กู้ฮุ่ยหนิงมองมารดายิ้ม ๆ ก่อนจะเดินไปทรุดตัวนั่งที่เก้าอี้ถัดจากมารดา พร้อมกับยิ้มล้อเรียนให้พี่ชายทั้งสองที่มองมารดาด้วยแววตาตัดพ้อ
“เอาละ ๆ กินข้าวกันเถอะ”
แม่ทัพกู้ตงหยางกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุขที่ครอบครัวได้ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันสักที
ภายในจวนของแม่ทัพกู้ตงหยางเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขเป็นครอบครัวทหารมารยาทบนโต๊ะกินข้าวเช่นกฎระเบียบเวลากินห้ามพูดเวลานอนห้ามคุยจึงไม่ได้เคร่งครัดมากนัก ทุกคนเรียนรู้กฎระเบียบแต่ไม่ได้ถือกฎระเบียบอย่างจริงจังดังนั้นค่ำคืนนี้บนโต๊ะอาหารจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงพูดคุยกันเป็นบางครั้ง
“ท่านพ่อพรุ่งนี้ลูกขออนุญาตขึ้นไปบนภูเขานะเจ้าค่ะ”
กู้ฮุ่ยหนิงขยับตะเกียบคีบเนื้อในจานให้บิดาอย่างเอาใจพร้อมกับขออนุญาตบิดาเพื่อขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร นางมีเวลาเก็บสมุนไพรแค่สามเดือนเพราะอีกไม่นานจะถึงฤดูฝนแล้วในปีนี้ฝนจะตกมากกว่าทุกปีที่ผ่านและตกติดต่อกันเป็นเวลานาน
ถึงแม้จะไม่เกิดน้ำท่วมในเมืองเสียนหยางแต่ชาวบ้านกลับได้รับผลกระทบจากไข้จับสั่น ซึ่งโรคนี้สาเหตุเกิดจากยุงและมีการแพร่ระบาดของโรคอย่างรวดเร็วในช่วงหน้าฝน เพราะพื้นที่ของเมืองเสียนหยางส่วนมากเป็นป่ารกและภูเขาล้อมรอบมีแหล่งน้ำน้อยใหญ่จำนวนมากทำให้ง่ายต่อการเกิดโรคไข้จับสั่น
“น้องสาวเจ้าจะขึ้นไปบนภูเขาทำไมบนภูเขานั้นมีแต่สัตว์ร้ายทั้งนั้น”
“นั้นสิหนิงเอ๋อ หากเจ้าอยากไปเที่ยวเล่นก็ไปเดินตลาดในเมืองก็พอแล้วอย่าขึ้นไปเที่ยวเล่นบนภูเขาเลยมันอันตราย”
กู้หวังจิ้งและกู้หวังหมิ่นเมื่อได้ยินว่าน้องสาวต้องการจะขึ้นไปบนภูเขาก็รีบห้ามปรามทันทีด้วยความห่วงใย
“พี่ใหญ่ พี่รอง ข้าไม่ได้เข้าไปลึกสักหน่อยแค่ขึ้นไปแถวรอบนอกของภูเขาเท่านั้น”
“เช่นนั้นก็ไม่ได้”
ฮูหยินกู้ห้ามปรามไม่เห็นด้วยที่บุตรสาวจะออกจากเรือนไปเที่ยวเล่นบนภูเขาเช่นนี้
“ท่านแม่ข้าแค่ไปแป๊บเดียวเท่านั้นเองไม่นานก็กลับ ท่านพ่อให้ลูกไปนะเจ้าค่ะ”
“เอ๊ะ!! เด็กคนนี้แม่บอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้”
“ท่านแม่ ให้ลูกไปนะเจ้าค่ะไปแค่ครึ่งวันมีพี่อันฉีและพี่เฉินซุนไปด้วยไม่มีอันตรายหรอกเจ้าค่ะ”
“น้องสาว ทำไมเจ้าถึงอยากจะขึ้นไปบนภูเขา?”
คุณชายใหญ่กู้หวังหมิ่นถามน้องสาวด้วยความสงสัย น้องสาวของเขามาอาศัยอยู่ที่จวนเป็นเวลาครึ่งปีแล้วแม้ว่าไม่ได้เติบโตมาด้วยกันแต่ก็เป็นสายเลือดเดียวกันย่อมมีความผูกพันอยู่ไม่น้อย ตลอดหกเจ็ดเดือนที่ผ่านมากู้หวังหมิ่นสังเกตเห็นความฉลาดของน้องสาวตนเองอยู่หลายครั้งทำให้เขามั่นใจว่าน้องสาวจะไม่ทำเรื่องที่ไม่มีเหตุผลอย่างแน่นอน
“พี่ใหญ่ข้าจะขึ้นไปเก็บสมุนไพรเจ้าค่ะ เมื่อสองสามวันก่อนข้าได้รับตำราสมุนไพรมาจากอาจารย์ข้าจึงอยากจะขึ้นไปบนภูเขาเพื่อเก็บสมุนมาศึกษาดู”
แม่ทัพกู้ตงหยางพยักหน้ารับรู้เมื่อฟังเหตุผลของบุตรสาว
เมื่อเดือนก่อนกู้ฮุ่ยหนิงขอตามไปที่ค่ายทหารนอกเมืองเพื่อดูความยิ่งใหญ่ของกองทัพทหารภายใต้คำสั่งของบิดาบังเอิญได้พบกับท่านหมอซูที่เป็นหมอประจำอยู่ค่ายทหาร จึงได้ขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์แต่ท่านหมอซูกลับปฏิเสธไม่ยอมรับกู้ฮุ่ยหมิงเป็นลูกศิษย์โดยไม่ให้ความสนใจเลยว่านางคือบุตรสาวของท่านแม่ทัพกู้ตงหยาง
กู้ฮุ่ยหมิงต้องใช้ความพยายามอยู่นานถึงครึ่งเดือนกว่าที่ท่านหมอซูจะยอมใจอ่อนและสุดท้ายจึงยอมรับนางเป็นลูกศิษย์และยอมสอนวิชาแพทย์ให้
ความจริงแล้วกู้ฮุ่ยหมิงมีความรู้เรื่องวิชาแพทย์แผนจีนอยู่แล้ว แต่ต้องการฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านหมอซูเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อไม่ให้ทุกคนสงสัยถึงความรู้ด้านวิชาแพทย์ของตน
ชาติก่อนท่านหมอซูคนนี้เป็นผู้ที่ใช้ความพยายามจนสามารถปรุงยาถอนพิษให้กับบิดาของนางได้ และยังติดตามตระกูลกู้กลับเมืองหลวงแม้แต่ยามที่ตระกูลกู้ตกต่ำต้องโทษประหารชีวิต ท่านหมอซูคนนี้เป็นเพียงคนเดียวที่คุกเข่าคำนับให้กับบิดามารดาของนางที่ลานประหารกู้ฮุ่ยหนิงจึงคิดว่าหมอซูท่านนี้ควรค่าแก่การให้ความเคารพ
เมื่อชาติภพที่วิญญาณของกู้ฮุ่ยหมิงไปเกิดเป็นเด็กกำพร้าได้ถูกองค์กรนำตัวไปฝึกเป็นมือสังหาร เพราะอาการบาดเจ็บจากการฝึกอย่างหนักทำให้นางได้มีโอกาสฝากตัวเป็นศิษย์ของอาจารย์สอนแพทย์แผนจีนโบราณที่มีฝีมือเก่งกาจท่านหนึ่ง ท่านอาจารย์สงสารและเมตตานางมากเพราะเห็นว่ากู้ฮุ่ยหนิงเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก จึงได้ถ่ายทอดวิชาแพทย์จีนให้กับนางจนหมดสิ้นเพื่อให้เอาตัวรอดได้ในยามที่ได้รับบาดเจ็บ
“หนิงเอ๋อเจ้าเป็นเพียงเด็กผู้หญิงจะไปเรียนวิชาแพทย์ให้ลำบากทำไมกัน”
ฮูหยินใหญ่มองค้อนบุตรสาวตนเองด้วยความไม่ชอบใจบุตรสาวของนางควรจะเป็นหญิงสาวที่เรียบร้อยเรียนในสิ่งที่กุลสตรีควรเรียนรู้เมื่อแต่งงานออกเรือนไปจะได้ไม่อับอายแม่สามีเหมือนเช่นตนในเวลานั้น
ฮูหยินของท่านแม่ทัพเป็นบุตรสาวของบ้านรองตระกูลหยาง นามเดิมคือหยางเจียวซือ เพราะเกิดในตระกูลขุนศึกนางที่เป็นบุตรสาวจึงไม่ได้เรียนรู้งานบ้านงานเรือนแต่กลับได้เรียนวิชากระบี่วิชาต่อสู้แทน
เมื่อสิบแปดปีก่อนหยางเจียวซือได้แต่งงานเข้ามาเป็นภรรยาเอกของกู้ตงหยาง เพราะอีกฝ่ายมีความดีความชอบได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพหลังจากชนะศึกจากชายแดนกลับมา ตระกูลกู้จึงได้ส่งแม่สื่่อไปสู่ขอนางที่เป็นบุตรสาวบ้านรองให้มาแต่งงานกับกู้ตงหยาง
เมื่อแต่งงานเข้าประตูจวนของตระกูลกู้มาหยางเจียวซือได้รับความอับอายเป็นอย่างมากเพราะไม่เคยได้เรียนรู้เรื่องของงานบ้านงานเรือนเลย จึงถูกแม่สามีดูถูกเป็นอย่างยิ่งโชคดีที่กู้ตงหยางรักใคร่และเข้าใจจึงไม่ได้ถือสาในเรื่องพวกนั้น
หยางเจียวซือและกู้ตงหยางสองสามีภรรยารักใคร่ปรองดองกันอย่างมีความสุข จนกระทั่งมีบุตรชายด้วยกันสองคนคือกู้หวังหมิ่นและกู้หวังจิ้ง แต่เมื่อนางคลอดบุตรคนที่สามได้เพียงสามเดือนฮ่องเต้ได้มีราชโองการสั่งให้กู้ตงหยางผู้เป็นสามีเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นแม่ทัพ และออกเดินทางมาประจำการรักษาเมืองเสียนหยางที่ชายแดนทางใต้ทันที หยางเจียวซือในเวลานั้นต้องการติดตามสามีมาที่เมืองชายแดนพร้อมกับบุตรของนาง
แต่แม่สามีกลับไม่ยอมให้พาบุตรสาวคนเล็กมาด้วยเหตุผลที่แม่สามียกมาพูดก็คือหนทางยากลำบากเกินกว่าเด็กตัวเล็ก ๆ จะทนไหว แม่สามีต้องการให้หยางเจียวซือฝากบุตรสาวไว้ที่จวนตระกูลกู้เมื่อกู้ฮุ่ยหนิงเติบโตพอที่จะเดินทางไกลได้ค่อยส่งคนมารับ
ผ่านไปสามปีหยางเจียวซือเขียนจดหมายไปขอให้คนที่จวนตระกูลกู้ในเมืองหลวงส่งกู้ฮุ่ยหนิงมาที่เมืองเสียนหยาง แต่ก็ได้รับคำตอบว่าบุตรสาวนางอายุยังน้อยไม่เหมาะจะเดินทางไกล ถัดมาอีกสองปีเมื่อบุตรสาวอายุได้ห้าขวบหยางเจียวซือจึงเขียนจดหมายไปที่จวนตระกูลกู้ในเมืองหลวงอีกครั้งคำตอบที่ได้รับก็ยังเป็นเช่นเดิม
หยางเจียวซืออดทนรอจนกระทั่งบุตรสาวอายุได้สิบขวบในปีนี้จึงคิดจะเขียนจดหมายถึงจวนตระกูลกู้ในเมืองหลวงอีกครั้งเพื่อขอรับตัวบุตรสาวให้มาอยู่ด้วยกัน แต่ไม่คิดว่ายังไม่ทันได้เขียนจดหมายส่งไปตนเองกลับได้รับจดหมายจากพ่อบ้านที่ดูแลจวนตระกูลกู้ที่อยู่ภายในเมืองหลวงเขียนมาบอกว่าตระกูลกู้ที่เมืองหลวงได้ส่งบุตรสาวคนเล็กของนางเดินทางมาที่เมืองเสียนหยางแล้ว ผ่านไปนานถึงหนึ่งเดือนกว่าหยางเจียวซือจะได้พบหน้าบุตรสาวคนเล็กของตนเองที่รอคอยมานานถึงสิบปีอีกครั้ง