เลยทำให้รินรวีต้องเปิดไฟและสำรวจดูเนื้อตัวและเครื่องแต่งกายของหล่อนที่เลือกสวมใส่อย่างมิดชิดกับชุดนอนบางๆสีขาวแต่ตอนนี้หล่อนสวมทับด้วยเสื้อคลุม
เมื่อเปิดประตูออกมาแล้ว ด้วยสีหน้าที่ยุ่งๆไม่พอใจสักนิด
“เธอเข้าไปคุยกับคุณแม่หรือยังไง เรื่องที่ท่านร้องขอ”
“เรื่องอะไรคะ รินรวียังไม่รู้เรื่อง”
“อย่ามาทำไขสือเลยน่า ในเมื่อคุณแม่พูดถึงเรื่อง อยากจะ เอ้อ อุ้มหลาน”
เขาเอ่ยบอกกับรินรวีตรงๆ รินรวีแทบจะสำลักคำพูดออกมา
หล่อนหรือเป็นคนพูด เขาเข้าใจผิดเสียแล้ว
“นี่ คุณปรัณย์คะ กลับไปถามคุณแม่ใหม่เสียเถอะว่า เรื่องนี้ใครเป็นคนพูด”
“งั้นหมายความว่าเธอไม่ได้พูด”
“ฉันไม่ได้พูดแน่” หล่อนยังยืนกรานกระต่ายขาเดียว
“กับผู้ชายอย่างคุณ หมดธุระแล้วใช่ไหมคะ ฉันจะได้เข้าไปนอน”
รินรวีถามเขาอีกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่หล่อนจะหมุนตัวกลับเข้าห้องของตัวเอง
“เดี๋ยวก่อน”
เสียงเรียกของปรัณย์อีกครั้ง ทำให้หล่อนชักสีหน้าอย่างหงุดหงิด
“เดี๋ยว ฉันยังไม่กินข้าว ช่วยจัดอาหารให้ฉันทานหน่อย หน้าที่เมีย”
เขาสั่งบงการเอากับรินรวี
“คนใช้ สิคะ โน่นข้างนอก ให้ตามมาบริการ”
“เป็นหน้าที่ของเธอ เพราะเธอเป็นเมีย”
เขาบอกและออกคำสั่งโดยตรง
รินรวีต้องลุกขึ้นอีกครั้งอย่างหน้าหงิก ทำตามที่เขาต้องการ
“ฉันขอให้เอามาตั้งที่ห้องนี้ ฉันจะกินที่นี่”
นั่นเขาออกคำสั่งตามมาอีก
“ในห้องนอนนี่นะหรือคะ”
รินรวีตกใจ กับความพิลึกประหลาดของเขา แต่หล่อนก็ต้องทำตาม
นี่หล่อนจะต้องพบเจออะไร ในสายตาของนายปรัณย์ เจ้าเล่ห์ไม่ใช่หรือ เขาไม่แยแสหล่อน ค่อนข้างหมางเมิน
แต่ก็ไม่อาจทำให้รินรวีไว้ใจได้ เมื่อหล่อนเห็นเขานั่งทานอาหารจนเสร็จแล้ว อดค่อนใส่เขาไม่ได้
“นี่คุณ ทานอาหารไม่เป็นเวล่ำเวลา เดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะหรอก”
“ผมไม่สนใจ ก็มันหิวนี่” ฟังคำพูดโต้เถียงของเขา รินรวีอยากจะสงบปากสงบคำมากกว่า
“งั้นเดี๋ยว ฉันขอตัวไปนอนก่อนนะคะ”
“เดี๋ยว”
เมื่อมีเสียงเรียกห้าม รินรวีนึกฉุน
“นี่ เดี๋ยวอะไรอีก มันหมดธุระแล้ว แล้วดิฉันไม่ใช่ทาสของคุณยี่สิบสี่ชั่วโมงนะคะ”
หล่อนโต้เสียงแข็งกร้าวอย่างไม่พอใจ
“แล้วเป็นเมีย มันต่างอะไรไปจากทาสล่ะ” เขาพูดอย่างนั้น
ทำเอารินรวีตัวสั่นและเทิ้มไปไม่น้อย เพราะหล่อนไม่ใช่ทาสของเขาอย่างที่บอก
“นี่ แม่คุณ ฉันไม่ได้พิศวาสเธอหรอกนะ ขอให้รับรู้ไว้ด้วย” เขาได้ทีพูดต่อ
“รับทราบค่ะ และขอบคุณ จะเป็นพระคุณอย่างสูง ถ้าคุณทำตามความคิดของคุณได้ อย่าแหกกฎแหกคอกก็แล้วกันนะคะ เพราะดิฉันไม่รับประกันความร้ายกาจที่ออกมาจากใจเหมือนกัน”
“แล้วเธอจะทำอะไร”
“แหม ขืนบอกคุณก็รู้ไปหมดสิคะ ฉันเตรียมตัวไว้แล้วล่ะ จะกั้นปราการเป็นด่านหนาๆแข็งๆ ไม่ให้คุณเข้ามาถึงตัวฉัน”
“นี่เลิกหลงตัวเองได้แล้ว ฉันไม่สนใจเธอด้วยซ้ำ คนที่ฉันสนใจคือแก้วกานต์ เขาน่าจะเป็นคนที่เหมาะสมกับฉันมากที่สุด”
รินรวีก็รับรู้และจะไม่คิดอะไรมาก กับคำพูดแค่นๆจากปากของเขา เพราะหล่อนจะมองไปที่ตัวปรัณย์เหมือนสายลมฝุ่นละออง ที่ทั้งไร้ค่าและไม่มีความหมาย
“ถ้าเถียงกันพอแล้ว ฉันง่วงค่ะ และง่วงอย่างมาก”
เอ่ยคำนี้เป็นคำสุดท้าย แล้วหล่อนก็เดินหนีผลุบเข้าไปที่ห้องส่วนตัว พร้อมกดปิดล๊อกอย่างแน่นหนา
ฉันเป็นคนงี่เง่าอย่างนี้แหละค่ะ โลกนี้ไม่มีอะไรเพอร์เฟกต์หรอก คุณจะรับได้หรือไม่ได้ ไม่สำคัญ ฉันเป็นคนแบบนี้แหละ เจ็บเข้ากระดองใจทีเดียว
ไม่แปลกหรอกนะ ที่หล่อนจะเห็นว่าปรัณย์ ไม่อยู่บ้าน จะไม่คาดเดาเลยว่าเขาออกไปไหน การสนิทสนมและการติดพันของเขาที่มีต่อแก้วกานต์ เขาสามารถทำทุกอย่างได้เพื่อให้หล่อนเจ็บปวด แต่ว่าพอถึงดอกาสของหล่อนบ้าง ห้าวันรวดที่รินรวีได้ขอตัวเพื่อไปท่องเที่ยวพักผ่อนเมื่อคนรู้จักละแวกแถวบ้าน ชักชวนไปทำบุญและท่องเที่ยวค้างคืนที่จังหวัดสระบุรีซึ่งไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก
รินรวีตัดสินใจออกจากบ้าน เพราะไม่อยากอยู่ใกล้ปรัณย์ หล่อนถือว่าเป็นการเดินทางถึงห้าวัน ทั้งๆที่สระบุรีก็ไม่ไกลจากกทม สามารถไปเช้าเย็นกลับได้ แต่รินรวีเลือกแบบนี้ คุณทัศนาวรรณก็พูดไม่ออก เพราะมันยิ่งแย่ใหญ่ การที่ลูกสาวทำตัวแบบนี้แต่ว่า รินรวีพอจะรู้ทุกอย่างแล้ว ก่อนที่จะตัดสินใจแต่งงาน คุณทัศนาวรรณอยากจะรู้ว่า ความทรหดอดทนของลูกสาวจะมีเพียงไหน
เธอชอบอะไรที่แสนสบายอย่างนี้เหมือนอยู่ตัวคนเดียว แม้คุณทัศนาวรรณรับทราบ
ดังนั้นจึงโทร.หาบุตรสาวในช่วงค่ำ ที่รินรวีไปถึงที่พักแล้วเป็นโรงแรมในเขาใหญ่
“หนูเป็นยังไงบ้าง”
การถามของคุณทัศนาวรรณยังปริวิตกในใจลึกๆ เพราะไม่อาจคาดเดาว่าจะมีอะไรตามมา
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่ หนูสบายดี”
“การตัดสินใจอย่างนี้ถือว่าดีรื้อ ถือว่าลูกแต่งงานแล้วนะ ไม่ใช่เด็กๆแล้ว”
คุณทัศนาวรรณห่วงจึงเอ่ยกับบุตรสาวด้วยคำนี้ เตือนลูกสาว เพื่อให้คิดตริตรอง
บ้านตรงกันข้ามเงียบอีกครั้ง คุณทัศนาวรรณพยายามเมียงมอง ว่าจะมีรถแล่นออกแล่นเข้าหรือเปล่า โดยเฉพาะลูกเขย ในเมื่อลูกสาวของนางไม่อยู่ เขาอาจจะไปเที่ยวออกไปสนุกสนานข้างนอก
ฝ่ายปรัณย์ เขาไม่ค่อยแยแสหรอก
รินรวีโทร.มาบอกมารดาเพื่ออยากให้ท่านลดความคิดถึงห่วงใยต่อหล่อน และท่านจะสบายใจมากขึ้น
“รวีมาอยู่ที่นี่ค่ะแม่ ทำกิจกรรมกับทุกคน นั่งปฎิบัติธรรม ทำกิจกรรมกุศล ตักบาตร ชมความงามของสวนดอกไม้ อีกสามวันจะกลับค่ะ”
แม้จะสบายใจอยู่มากกับคำพูดของบุตรสาว แต่ที่รินรวีตัดสินใจแบบนี้ ทางลูกเขยของนางเขาจะทำอย่างไร
“นี่ พ่อปรัณย์เขารู้บ้างหรือเปล่า”
“คงจะรู้ล่ะคะ หนูก็บอกเหมือนกัน”
“รวี” นางเรียกลูกสาวเหมือนเตือนสติ
“คะ”
“แม่เคยบอกเสมอไม่ใช่หรือว่าการแต่งงานไม่ใช่เล่นขายของ ที่หนูทำลงไปทั้งหมดเพื่อวงศ์ตระกูลแม่รู้ แต่ความรู้สึกล่ะลูก หัวใจและความรักมีแบ่งปันให้เขาบ้างไหม”
มารดาถามออกมาตรงๆแบบนั้น รินรวีตอบตรงๆออกมาไม่ได้หรอก เพราะมีบางสิ่งบางอย่างปิดซ่อนในใจหล่อน อยากจะถามมารดาตรงๆเหมือนกันว่า เป็นห่วงผู้ชายคนนั้นมากหรือไง ถึงเข้าข้างเขาแบบนั้น
“ไม่หรอกค่ะแม่ ชิวๆ เขาไปของเขาหนูก็ไปของหนู เราคุยกันแล้ว”
คุณทัศนาวรรณหนักใจกับคำพูดของลูกสาวที่พูดแบบเหมือนไม่มีอะไรติดค้างใจ
“แม่นะเห็นพ่อปรัณย์ขับรถออกไปนอกบ้าน มีผู้หญิงหน้าแฉล้มคนนั้นไปด้วย”
ไม่เห็นจะต้องคิดอะไรมาก รินรวีพอจะรับรู้แล้ว