ผีน้อยในหอบรรพชน
ร่างเล็กๆ จ้องมองคนที่นั่งคุกเข่าบนเบาะผ้าหนาๆ ได้สักพัก ฝ่ายนั้นก็ยืดตัวยาวนอนไปตามพื้นห้อง ตอนนี้เขาเห็นนางแล้วก็ทั้งขำ ทั้งนึกสนุก จนต้องเลียนแบบท่านอนอีกฝ่าย ทว่าเด็กน้อยแอบอยู่ในห้องนี้ก็เกือบหนึ่งคืน เขาอ่อนเพลียสักหน่อย ปวดศีรษะด้วย ตอนแรกนึกว่าท่านพ่อจะมาตาม ทว่าจนป่านนี้ กลับถูกทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว
“ฮึ... ใจร้ายเกินไปแล้ว”
เด็กชายว่า และมองสตรีผู้นั้นอีกหน นางวาดสีหน้าจัดทีเดียว แต่สวยใช้ได้ อาจไม่งดงามเหล่านางฟ้าในภาพวาด แต่ก็ถือว่าไม่ขี้เหร่ สำหรับคนสกุลเซียว นางงามกว่าผู้ใด โดยเฉพาะท่านย่าที่ชอบดุเขา
ดวงตาเรียวดวงเล็กมองหญิงสาวอีกสักหน่อย ก่อนส่งเสียงหัวเราะคิก เพราะได้ยินเสียงกรนเบาๆ และสาวใช้ที่มาคอยปรนนิบัติอีกฝ่ายเอ่ยว่า
“คุณหนู ย่อมต้องสำรวมให้มาก หากมีใครแอบดูเราอยู่ ความผิดจะเพิ่มขึ้นได้”
ได้ยินแล้ว หยุนเมี่ยงก็โบกมือไปมา แต่ลึกๆ นางอยากเอาชนะจิวเจียกยี้ จึงยืดตัวขึ้น ตั้งใจอดทนนั่งคุกเข่าต่อไป ถึงอย่างนั้นก็เถอะ หัวใจมันอ่อนแรงยิ่งนัก เซียวหมิงเซินเหตุใดถึงมีใบหน้าคล้ายอดีตคนรักที่ด่วนจากไปด้วยอุบัติเหตุ แม้หยุนเมี่ยงเป็นคนจิตใจแข็งแกร่ง และเข้มแข็งตลอดมา ทว่าเมื่อพบใบหน้าอีกฝ่าย ดวงตาสีอ่อนที่ทอแสงถึงนางนั้น หยุนเมี่ยงก็อยากร้องไห้
ในโลกที่จากมานางเคยเป็นผู้หญิงน่าเบื่อ ระเบียบจัด บ้างาน ชอบบังคับคนรักจนเขาไม่เป็นตัวของตนเอง สุดท้ายก่อนวันแต่งงานเพียงสามวัน เขาขับรถตกแม่น้ำลึกและเสียชีวิตอย่างน่าสงสาร
หยุนเมี่ยงพยายามดึงสติตน แม้ยากลำบาก แต่นางต้องทำ มิเช่นนั้นการมาอยู่ในนิยายเรื่องนี้ คงย่ำแย่ยิ่งกว่ามีชีวิตในโลกเดิม
“มีสายลับผู้อื่นในจวนหลังนี้ นอกจากฝ่ายสกุลหยุนของข้าอีกหรือ” จู่ๆ นางก็เอ่ยถามสาวใช้อย่างนั้น เพราะได้ยินเสียงหัวเราะ ยังเห็นเงาหนึ่งเคลื่อนไหวไปมา
ฮึงซวนอยากร้องไห้ในตอนนั้น แต่แรกนางก็บอกแม่นมจงให้อยู่กับหยุนเมี่ยง และตัวนางจะเป็นฝ่ายไปแจ้งข่าวว่ากับท่านแม่ทัพเซียว ว่าหยุนเมี่ยงอยู่ในหอบรรพชน ด้วยฮึงซวนรู้ว่า ตั้งแต่รถม้าคุณหนูพลัดตกเนินเขาระหว่างเดินทางมาที่นครหลวง เมื่อฟื้นคืนสติการพูดจาก็ผิดเพี้ยน บางครั้งยังแสดงสีหน้าสีตาราวกับเป็นผู้อื่นให้ได้เห็น แต่ก็นั่นแหละ จงลี่กลัวฮึงซวนแจ้งข่าวแก่เซียวเฮ่อป๋อไม่สำเร็จ นางเลยจำเป็นต้องออกโรงด้วยตนเอง
“สาย เอ่อ สายลับของเราถูกเรียกตัวกลับบางส่วนเจ้าค่ะ คือตั้งแต่คุณหนูเข้าห้องหอผิด มีการตรวจสอบมากมาย บ่าวจึงรู้ว่าจวนหลังนี้ มีคนจับตาดูพวกเราอยู่ตลอด และคนของเราที่ถูกจับได้ ก็ชิงฆ่าตัวตายหนีความผิดไปแล้ว!”
“น่ากลัวเสียจริง ข้าไม่ควรกระโดดขึ้นเตียงลูกหมาบ้าตัณหาตัวนั้นเลย โอ้ มีกี่ชีวิตที่ต้องเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้”
หยุนเมี่ยงเพิ่งตระหนักได้ว่า นางก่อเรื่องร้ายแรงเข้าแล้ว แต่ทำอย่างไรได้ เจ้าของร่างคือนางร้ายที่มือเปื้อนเลือด ย่อมทำทุกอย่างที่สุดโต่ง เพื่อผลสำเร็จ
ฮึงซวนไม่ได้สนใจว่าใครยังอยู่รอดปลอดภัย แน่ที่นางสะดุดใจคือการใช้คำแทนเซียวเฮ่อป๋อว่าเป็นลูกหมา... ลูกหมาบ้าเสียด้วย
“สัตว์หน้าคนตัวนั้น เอ่อ...คุณหนูหมายถึงแม่ทัพเซียวหรือเจ้าคะ” เมื่อหลุดปากเอ่ยถึงอีกฝ่ายอย่างนั้น ฮึงซวนก็อยากกัดลิ้นตายเสีย
“ก็ใช่นะซี ถ้าเขาไม่ใช่ลูกหมา แล้วจะใช้ลิ้นเก่ง ทั้งขบข้า แถมกัดย้ำๆ จนยอดถันช้ำไปหมด อ่อ และยังพูดเหลวไหลว่า อยากให้ข้า ป้อนนมเขาทั้งคืนทั้งวันด้วย!”
ฮึงซวนแทบจะเป็นลม คุณหนูของนางเหตุใดถึงพูดจาได้ระคายหู แสนสัปดน สวรรค์โปรดเข้าใจด้วย ฮึงซวนยังไม่เคยมีความรัก หรือออกเรือนด้วยซ้ำ แต่ต้องมาได้ยินเรื่องชวนขนลุก
“เอ ยกมือขึ้นปิดหูทำไม แล้วนั่นยังหน้าแดงอีก” หยุนเมี่ยงทักสาวใช้
“บะ บ่าวเพียงแค่ตกใจ และยังไม่ชินคำพูดของคุณหนูเจ้าค่ะ”
“อ้อ อย่าใส่ใจเรื่องใต้สะดือที่ข้าพูดให้มากเลย และตอนนี้ข้าหิว คอแห้งด้วย ทำอย่างไรเราถึงจะได้กินอาหาร อีกอย่างกลิ่นธูปในนี้ก็ชวนให้ปวดหัว”
หยุนเมี่ยงเอ่ยจบก็ใช้มือข้างหนึ่งบีบศีรษะตนเอง ก่อนที่หางตาจะเป็นมือเล็กๆ กวักเรียกนาง ซึ่งคราวนี้นางมั่นใจว่า อีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง
“ผะ ผี... ในหอบรรพชนหรือเจ้าคะ”
ทั้งที่ดูออกว่าเป็นมือของเด็ก แต่ฮึงซวนเครียดเกินไป จึงเอ่ยอย่างตื่นตระหนก
“ผีที่ไหนเล่า มือเด็กต่างหาก ไป... ไปดูสิ เป็นสายลับหรือไม่”
พอหยุนเมี่ยงเอ่ยอย่างนั้น สาวใช้พลันตัวแข็งทื่อ ด้วยหลายสิ่งที่นางกล่าวออกไปเมื่อครู่ หากเล็ดลอดไปถึงหูของคนสกุลเซียว โดยเฉพาะแม่ทัพเซียว นางจะไม่ถูกลงโทษสถานหนักหรอกหรือ
“หากเป็นพวกที่มาสอดแนม เราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
หยุนเมี่ยงถอนหายใจแรงๆ ก่อนแกล้งขู่คนที่ซ่อนตัวอยู่
“เจ้าก็รู้ว่า คนตายย่อมกล่าวสิ่งใดไม่ได้ เยี่ยงนั้น ข้าคงต้องทำเรื่องนี้ให้เงียบที่สุด”
เมื่อหยุนเมี่ยงกล่าวจบ ใบหน้ากลมๆ จึงรีบโผล่ออกมาให้เห็น ฝ่ายนั้นน่ารักน่าชัง เป็นเด็กชายวัยคงไม่พ้นห้าขวบ
“ท่านจะทำร้าย คนหล่ออย่างเหนิงเหนิง ไม่ได้นะ!”
น้ำเสียงเจื้อยแจ้วปนความฉุนเฉียวอยู่หลายส่วน แต่เมื่อเขาปรากฏตัวให้หยุนเมี่ยงเห็นทั้งร่าง นางจึงยิ้มให้เขา
“ใครส่งเจ้ามาที่นี่ บอกข้ามาเสียดี ๆ และจะไม่ได้รับโทษ”
เต้าเหนิงทำตาโต ปากเขาเป็นรูปวงกลม ท่าทางตกใจหลอกๆ นั้น น่าหยิกแก้มจริงๆ
“ข้ามารอบิดา แต่เขาไม่รักเหนิงเหนิงแล้ว ปล่อยให้รอเก้อ”
คราวนี้ความเศร้าสร้อยผ่านออกมาจากทั้งทางน้ำเสียง และสีหน้า
“คนที่นี่ล้วนหน้าซื่อใจคด แม้แต่เด็กยังกล้าทิ้งไว้ในหอบรรพชน”
เต้าเหนิงพยักหน้าน้อยๆ ตามคำพูดหยุนเมี่ยง ก่อนถามต่อ “แล้วท่านมารอใคร หรือทำเรื่องไม่ดีให้ท่านย่าโกรธ!”
หยุนเมี่ยงมองเด็กชาย และบอกเขาว่า
“เปล่าสักหน่อย ข้าเพียงแค่มาไหว้บรรพชนสกุลเซียว และตอนนี้หิวมาก เหนิงเกอ...มีของกินหรือไม่” นางถามเด็กชายเช่นนั้นเพราะเห็นว่า แก้มเขาเปื้อนทั้งแป้ง และนิ้วมือค่อนข้างมัน และมีเศษอาหารติดอยู่
ดวงตาของเต้าเหนิงมองหยุนเมี่ยงอย่างพินิจ ก่อนถามด้วยเสียงร่าเริง
“ถ้าหากท่านให้นมข้ากินจนอิ่ม เหนิงเหนิงก็มีน่องไก่ ขนมผักกาด และชาดอกท้อให้ท่านดื่ม!”
ได้ยินเด็กชายพูดอย่างนั้น หยุนเมี่ยงก็นึกถึงลูกหมาตัวโตเซียวเฮ่อป๋อที่ทำให้นางครั่นเนื้อครั่นตัว และเนินหน้าอก ตลอดจนยอดถันช้ำไปหมด แน่นอนเขาทั้งดูด นวดเฟ้น และยังเอ่ยว่า อยากให้นางมีน้ำนมให้ดื่มเสียด้วย
“ข้าไม่ได้มีลูก ไฉนจะมีน้ำนมให้เจ้าดื่มเล่า”
เด็กชายทำหน้าฉงน เขาได้ยินหยุนเมี่ยงบอกว่า เมื่อคืนบิดาดูดนมจากเต้านางนี่นา
“แล้วบิดาข้าเล่า ไฉนถึงดูดนมท่านได้ อย่ามาหลอก
เหนิงเหนิงนะ!”