ทันทีที่กลับมาถึงห้องพักชีคหนุ่มผู้นั่งหน้าบูดบึ้งมาตลอดทาง จู่ๆ ก็หยุดเดินแบบไม่บอกไม่กล่าว ทำเอาคนที่เดินตามหลังมาติดๆ อย่างพรสวรรค์ชนตึงเข้ากับแผ่นหลังเขาเต็มๆ
“โอ๊ะ!” เธอร้องเบาๆ พร้อมกับลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ ในขณะที่เขาเพียงหันมาทำหน้าถมึงทึงราวกับว่าเธอทำผิดใหญ่หลวง
“รู้ตัวไหมว่าทำอะไรลงไป” เขาตะคอกถามเสียงดังจนเธอผวาหน้าตื่น
“ชนหลังแค่นี้ ทำไมต้องโมโหขนาดนี้เนี่ย หลังบุทองเอาไว้รึไง” เธอบ่นอุบ โดยไม่รู้เลยว่าที่เขาพูดไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลยสักนิด
“ฉันถามว่ารู้ไหมว่าทำอะไรลงไป” คนที่กำลังโมโหเสียงดังขึ้นอีก ดูเหมือนความโมโห ความกลัว และ...ความเป็นห่วงจากเหตุการณ์เสี่ยงตายก่อนหน้าจะถูกพรั่งพรูออกมาเป็นความเกรี้ยวกราด
“รู้ แต่แค่ชนหลัง จำเป็นต้องโมโหขนาดนี้ไหมเล่า ทีหลังถ้าไม่อยากให้ชนก็ติดไฟท้ายเอาไว้สิ คุณเล่นหยุดกะทันหันแบบนั้น ใครจะไปเบรกทันเล่า” เมื่อถูกอีกฝ่ายเกรี้ยวกราดใส่โดยไร้เหตุผล เธอเองก็ทนไม่ได้จนต้องเกรี้ยวกราดกลับไปบ้างเช่นกัน
“เอ่อ...นั่นคนนะครับไม่ใช่รถสิบล้อ ติดไฟท้ายไม่ได้ แล้ว...เจ้านายผมเขาก็ไม่ได้หมายถึงเรื่องชนอะไรนั่นด้วย” ฮารีฟผู้ทนดูเหตุการณ์คนละเรื่องเดียวกันแบบนี้อีกต่อไปไม่ได้ จึงเดินเข้ามาอธิบาย แต่พอหันไปเห็นสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อของเจ้านาย คนหวังดีถึงกับยิ้มเจื่อน
“อุ้ย! ไม่ควรยุ่งสินะ” ฮารีฟค่อยๆ ถอยหลังกลับไปที่เดิม และจังหวะนั้นเองที่ทำให้พรสวรรค์ต้องผงะ
“เฮือก!” อ้าปากตาค้างขนาดนี้ เขาเองก็เดาได้ไม่ยากว่าเธอกำลังเห็นอะไร
“ยัยเบื๊อก อยากตายรึไงห๊ะ” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของเขาทำเธอต้องสะบัดหน้าแรงๆ เพื่อขับไล่ภาพอุจาดตาก่อนหน้าทิ้งไป พลันหันไปเห็นแว่นที่วางลืมเอาไว้พอดี จึงรีบหยิบมาสวม
ก่อนหน้าที่เกิดเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานบวกกับความชุลมุนที่ความเป็นความตายเท่ากัน ภาพเปลือยเปล่าของเหล่าชายฉกรรจ์จึงไม่มีผลใดๆ แต่บัดนี้เรื่องวุ่นวายเหล่านั้นหมดไป ภาพแบบนั้นจึงดึงดูดความสนใจของเธอได้อีกครั้ง
“มะเมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ” เธอหันมาถามด้วยดวงตาใสซื่อเกินกว่าที่ใครจะโกรธลง แต่จะให้ไม่โกรธเลยคงเป็นไปไม่ได้ แค่คิดว่าไม่ใช่แค่ฮารีฟที่เธอเห็นอะไรต่อมิอะไร แต่ยังมีใครต่อใครอีกหลายคนที่ถูกเธอมองไปถึงไหนต่อไหน มันก็เลยอดหงุดหงิดไม่ได้ แล้วไหนจะเรื่องที่เธอเอาตัวเองไปเสี่ยงจนเกือบเสียท่านั่นอีก ทำเอาเขากลัวจนแทบหยุดหายใจ
“เธอนี่มัน…ฮึ่ย!” สุดท้ายเขาก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากเดินเข้าห้องไปด้วยความโมโห
“อะไรของเขาเนี่ย เลือดจะไปลมจะมารึไง อารมณ์ถึงได้ขึ้นๆ ลงๆ” พรสวรรค์ทำได้เพียงเบ้หน้าใส่ประตูห้องที่ถูกปิดลง
“เอ่อ…ผมว่าคุณรีบๆ ตามเข้าไปดีกว่า ก่อนที่ระเบิดจะลงอีกลูก” ฮาซานเตือนด้วยสีหน้าแหยๆ
“เรื่องอะไร เข้าไปตอนนี้เท่ากับเข้าไปตายน่ะสิ ขนาดมีพวกนายอยู่ด้วยเขายังเหวี่ยงวีนได้ขนาดนั้น ฉันเข้าไปตอนนี้มีแต่จะทำให้เขายิ่งหงุดหงิด เอาเป็นว่ารอให้เขาเย็นลงก่อนแล้วค่อยมาว่ากันอีกทีแล้วกัน” เมื่อเห็นว่าสามหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วย พรสวรรค์จึงเดินไปนั่งใช้ความคิดบนโซฟา
“เอ่อ…ถ้าอย่างนั้นพวกผมขอตัวไปพักก่อนนะครับ ถ้ามีอะไรหรือต้องการอะไรเพิ่มก็เรียกได้” เมื่อเห็นว่าพรสวรรค์เองก็ไม่ได้ขาดเหลืออะไร เฟาซีกับพวกจึงตั้งใจจะกลับไปพักบ้างเหมือนกัน
“เดี๋ยว” คนที่กำลังจะเดินเข้าห้องพักชะงักเท้าแทบจะพร้อมกัน ก่อนจะค่อยๆ หันกลับมายังต้นเสียงช้าๆ แต่สีหน้าและแววตาไม่น่าไว้ใจของเธอทำให้พวกเขาอยากจะหันกลับไปทางเดิม
“ฉันรู้สึกเหมือนงานจะเข้ายังไงไม่รู้ว่ะ” ฮารีฟหันไปกระซิบกับสองหนุ่มข้างๆ
“อืม! ดูเหมือนจะเข้าแค่แกคนเดียวด้วย” ฮาซานพยักพเยิดให้น้องชายดูสีหน้าของพรสวรรค์ที่จับจ้องมาที่ฮารีฟอย่างหมายมั่น
“ดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกับเราสองคน งั้น…พวกผมขอตัวเลยนะครับ” ทั้งฮาซานและเฟาซีฉวยโอกาสเผ่นแน่บเข้าห้อง ทิ้งให้ฮารีฟผจญกับความน่ากลัวเพียงบลำพัง
“อะเอ่อ…เรื่องนี้คงไม่เกี่ยวกับผมด้วยเหมือนกันใช่ไหมครับ” ฮารีฟทำใจดีสู้เสือ พยายามมองโลกในแง่ดี
“เกี่ยวเต็มๆ เชียวแหละ” เธอบอกนัยน์ตาเป็นประกาย แต่ทำไมคนมองถึงได้รู้สึกเหมือนความหายนะกำลังจะมาเยือนก็ไม่รู้
“รอยสักตรงหน้าอกนายสวยดีนะ” ฮารีฟได้ฟังถึงกับตาโต
“คุณรู้ได้ไง”
“อ๋อ! กุมารทองของฉันเขาบอกมาน่ะ” ตอนนี้ไม่ใช่แค่ตาโต แต่เขารู้สึกเหมือนมันกำลังจะถลนออกมาด้วย จากที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มาถึงตอนนี้เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์เลยล่ะ ก็รอยสักนี้มีเพียงไม่กี่คนที่เคยเห็น แต่เธอกลับเป็นหนึ่งในนั้นทั้งๆ ที่เพิ่งเจอกันไม่นาน แล้วเขาก็แน่ใจว่าตัวเองยังไม่เคยเปลื้องผ้าให้เธอดู แต่ความบันเทิงยังไม่หมดแค่นั้น เมื่อเธอยังสาธยายต่อ
“แล้วเขาก็ยังบอกอีกว่า…รอยสักรูปนกฮูกตาโตของนายน่ารักดี เขาชอบ”
“ไม่ชอบได้ไหม ไม่น่าสักเลยกู” ฮารีฟงึมงำกับตัวเองพลางค่อยๆ เลื่อนมือขึ้นมาอำพรางรอยสักเอาไว้
“แล้วเขาก็ยังบอกอีกว่า…” พรสวรรค์ค้างเอาไว้เพื่อดูท่าทีคนขี้กลัว
“โอย! ขยันบอกกูจัง อะเอ่อ…ครับว่าไงครับ” คนกลัวผีขึ้นสมองบ่นกับตัวเอง ก่อนจะถามเสียงตะกุกตะกักกลับไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจที่จะฟังนัก
“เขาบอกว่า…คืนนี้เขาอยากนอนห้องนาย”
“เชี่…!” คนกลัวผีขึ้นสมองถึงกับสบถออกมาอย่างลืมตัว ก่อนจะรีบหาทางรอดให้ตัวเอง
“ฝากคุณบอกน้องกุกุทีได้ไหมครับว่า…ห้องผมรก เตียงผมก็เล็ก แล้วผมก็นอนดิ้นด้วย ผมกลัวทำน้องเขาเจ็บ เดี๋ยวจะขุ่นเคืองกันซะเปล่าๆ” ฮารีฟเปลี่ยนคำเรียก ด้วยหวังว่ามันจะทำให้ทุกอย่างดูน่ารักและซอฟท์ลง
“งั้นนายก็บอกเขาเองเลยแล้วกัน น้องเขายืนอยู่ข้างๆ นายนั่นแหละ” พรสวรรค์พยักพเยิดไปทางที่ทำให้คนกลัวผีถึงกับกระโดดตัวลอย
“จ๊าก! ไม่เอาไม่เล่นแบบนี้สิครับ ผมกลัว” ฮารีฟบอกอย่างไม่อาย
“จุ๊ๆๆ ไม่เอาไม่แกล้งเขาแบบนั้นสิลูก เดี๋ยวพี่เขาก็หัวใจวายหรอก” พรสวรรค์ทำทีแสร้งคุยเป็นตุเป็นตะ
“จ๊าก! แกล้งอะไร แกล้งตรงไหน โธ่! คุณมะลิอย่าล้อผมเล่นแบบนี้สิครับ ผมกลัวจนฉี่จะราดอยู่แล้วเนี่ย” ฮารีฟหันรีหันขวางด้วยความระแวง
“เอาเป็นว่าถ้าน้องกุกุอยากได้ห้องผม ผมยกให้เลยครับ ขอแค่อย่ามายุ่งกับผมก็พอ” พรสวรรค์ถึงกับลอบยิ้ม เมื่อทุกอย่างดูเหมือนจะเข้าทาง เธอได้ห้องของอีกฝ่ายมาครองอย่างง่ายดาย
“น้องกุกุของฉันเขาเป็นพวกขี้เล่นซะด้วยสิ ถ้าขืนปล่อยให้อยู่คนเดียว คงได้ออกมาแกล้งนายอีกแน่” เจ้าของห้องได้ฟังถึงกับผวาตาโต
“เมตตาผมเถอะ อย่าให้เขาแกล้งผมเลย ผมเป็นพวกขวัญอ่อน” ฮารีฟโอดครวญพร้อมกับมองไปรอบๆ ห้องอย่างหวาดระแวง
“เฮ้อ! งั้นคงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจาก…ฉันคงต้องอยู่คุมน้องเขาด้วยตัวเอง เอาเป็นว่าคืนนี้ฉันจะอยู่กับน้องกุกุ ส่วนนายก็ไปนอนกับพี่ชายนายก็แล้วกัน” ฮารีฟพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะวิ่งตรงไปยังห้องของพี่ชายอย่างว่าง่าย
“หึๆ ถ้ารู้ว่าจะง่ายขนาดนี้ ฉันคงทำไปตั้งแต่คืนแรกแล้ว ลัลลัลลา… มีความสุขจริงโว้ย” ขณะที่เธอเดินฮัมเพลงอย่างสบายใจ สายตาก็เหลือบไปเห็นถุงเสื้อผ้าที่วาวกองไว้
“ฟ้าเป็นใจชัดๆ” มันเป็นถุงเสื้อผ้าที่เขาพาเธอไปช้อปมาเมื่อตอนกลางวัน โชคดีที่มันยังไม่ถูกขนเข้าไปในห้องของเขา ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องนอนทั้งชุดเดิมที่ทั้งเปรอะทั้งเหม็นแน่ๆ