“ถ้าไม่กล้าก็อยู่เฉยๆ แล้วก็เงียบปากไว้เป็นดีที่สุด” ฮาซานบอก แต่ก่อนที่ฮารีฟจะได้ตอบโต้อะไร เสียงของพรสวรรค์ก็ดึงความสนใจของทุกคนกลับไป
“พวกคุณเป็นโจรเหรอ” คำถามโต้งๆ ของเธอ พาเอาทุกคนแทบสะอึก
“เฮ้ย! หน้าพวกเราเหมือนโจรขนาดนั้นเลยเหรอวะ บ้า! โจรที่ไหนจะหล่อขนาดนี้ ถ้าฉันเป็นโจร ก็คงเป็นโจรปล้นสวาท จะปล้นแต่พรหมจรรย์สาวๆ สวยๆ อย่างเดียวเลย” แล้วก็เป็นฮารีฟอีกที่เพ้อออกมา
“ไอ้โจรบ้ากาม” พี่ชายอย่างฮาซานถึงกับอดไม่ได้ที่จะว่าให้ ก่อนจะกลับไปสนใจบทสนทนาของสองคนนั้นต่อ
“อะไรทำให้เธอคิดว่าฉันเป็นโจรล่ะ หน้าฉันเหรอ” เขายื่นหน้าเข้าไปให้เธอมองชัดๆ ทำเอาเธอผงะถอยแทบไม่ทัน
‘โอ๊ย! รู้ว่าหล่อ หล่อกว่าเทพบุตรในฝันฉันซะอีก แต่ไม่ต้องเข้ามาใกล้มากก็ได้ ใจสั่นไปหมดแล้วเนี่ย’ เธอพยายามบังคับตัวบังคับใจไม่ให้เผลอไผลไปกับภาพลวงตาตรงหน้า
‘ยุบหนอ พองหนอ หล่อหนอ งานดีหนอ อยากได้หนอ เฮ้ย! ไม่ได้หนอ’ เธอสะบัดหน้าแรงๆ อย่างพยายามไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป ในขณะที่เขาเพียงยิ้มมุมปากอย่างเป็นต่อในความหล่อของตัวเอง
“อะเอ่อ...ก็...ก็ถ้าไม่ใช่โจร ก็คงเป็นพวกเจ้าพ่อมาเฟีย ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกศัตรูตามล่าอย่างนี้หรอกจริงไหม” เสียงเธอตะกุกตะกักแทบไม่เป็นตัวเอง
“สงสัยเธอคงดูหนังดูละครมากเกินไป ถึงได้จินตนาการได้เป็นตุเป็นตะ แต่ก็เอาเถอะ ฉันจะเป็นอะไรก็ช่าง เธอแค่จำไว้ก็พอว่าจากนี้ไปฉันจะดูแลและคุ้มครองเธอเอง” รู้หรอกว่าที่เขาพูดไปก็เพราะความรับผิดชอบที่ทำให้เธอต้องตกอยู่ในอันตราย และมันก็แค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ทำไมเธอถึงได้รู้สึกอุ่นใจนักก็ไม่รู้
“ก็ได้ ฉันจะอยู่ที่นี่ อย่างน้อยคุณก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่ฉันกับป้ามีกันอยู่แค่สองคน ถ้าฉันหายไปป้าต้องเป็นห่วงมากแน่ เฮ้ย! แล้วป้าฉันจะมีอันตรายด้วยไหมเนี่ย” เธอเสียงดังขึ้นอย่างนึกขึ้นมาได้
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ฉันจะส่งคนไปแจ้งข่าวกับป้าเธอ แล้วก็จะส่งคนไปคอยคุ้มกันป้าเธอด้วย” ถึงแม้มันจะทำให้เธอเบาใจลงได้ แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี
“ขอฉันคุยกับป้าเองไม่ได้เหรอ”
“คงไม่ได้ เพราะมันอาจเป็นช่องทางให้คนร้ายเข้าถึงตัวป้าเธอได้ง่ายขึ้น” ได้ยินแบบนี้ พรสวรรค์จึงไม่กล้าเสี่ยง
“เอาล่ะ! ช่วงนี้เธอก็พักอยู่ห้องนี้ไปก่อน รอให้เรื่องเรียบร้อยแล้วค่อยมาว่ากันอีกที อ้อ! ส่วนเรื่องแว่น เธอก็จดค่าสายตามาแล้วกัน เดี๋ยวฉันให้คนไปจัดการให้” พูดจบเขาก็เดินออกไป โดยมีสามองครักษ์หมอบคลานตามไปด้วย
“อยู่ห้องนี้เหรอ อืม...! หรูหรา แล้วก็เห็นวิวเมืองด้วย ต้องแพงมากแน่ๆ สงสัยหมอนี่คงรวยน่าดู หรือว่าทำธุรกิจผิดกฎหมาย ถึงได้มีคนตามฆ่า แต่หน้าแบบนั้นจะเป็นคนชั่วไปได้ยังไงล่ะ เสียดายของออก ทั้งหล่อ ล่ำ กล้ามก็เป็นมัดๆ งานดีขนาดนั้นไม่ควรเป็นอะไรทั้งสิ้น นอกจากเป็นของฉัน เย้ย! บ้าชะมัด คิดอะไรออกไปเนี่ย” เธอจับแก้มตัวเอง หลังเผลอคิดไปไกล แต่ไม่ทันไร ความคิดก็เปลี่ยนไปอีก
“เหอะๆ ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครได้ยิน เพราะงั้น...ฉันจะคิดยังไงก็ได้ จะลวนลามเขายังไงก็ได้ เพราะมันคือความคิดของฉัน วะฮะๆๆ” เธอชูไม้ชูมืออย่างอิสระ ก่อนจะทิ้งตัวลงบนที่นอนปล่อยให้ความคิดจมอยู่กับความล่ำในจินตนาการ
“เอ่อ...เจ้าชายทรงทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ” ฮารีฟเอ่ยถาม หลังเห็นนายเหนือหัวเอาหูแนบประตู
“เรากำลังฟัง...” ชีคหนุ่มเกือบจะเผลอตอบว่าตนกำลังแอบฟังความคิดของคนที่อยู่ในห้อง โชคดีที่นึกขึ้นมาได้ซะก่อน จึงเปลี่ยนคำตอบได้ทัน
“ก็ฟังว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังทำอะไรไงล่ะ” ตอบไปแล้วคนตอบถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้อีกเมื่อไม่ได้ยินอะไรเลย อาจจะเป็นเพราะเธอหลับไปแล้ว หรือไม่ก็เขากับเธออาจอยู่ห่างกันเกินไป
“อ๋อ...! เอ่อ...แต่เพื่ออะไรพ่ะย่ะค่ะ” ดูเหมือนฮารีฟจะยังสงสัยไม่จบไม่สิ้น จนกระทั่งชีคหนุ่มต้องหันขวับมามองตาขวาง และตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“จะเพื่ออะไรแล้วมันเกี่ยวอะไรกับแก สนใจเรื่องของแกเถอะ เรื่องที่ให้ไปจัดการเรียบร้อยรึยัง” คนถูกตำหนิถึงกับหน้าสลด แต่ก็ยังไม่วายหันไปตำหนิอีกสองหนุ่มด้วยสายตาที่พากันแอบหัวเราะชอบใจที่ตนถูกต่อว่า
“เอ่อ...เรียบร้อยแล้วกระหม่อม ตามที่สั่งทุกอย่างพ่ะย่ะค่ะ” ฮารีฟบอกพร้อมกับยื่นถุงในมือให้
“เอ่อ...!” คนขี้สงสัยตั้งใจจะถามต่อ แต่เห็นสายตาดุวับที่มองมา ทำให้ความกระหายใคร่รู้ถูกกลืนลงคอ จำต้องเดินคอตกไปหาเพื่อนและพี่ชายที่นั่งอยู่อีกมุม
“พวกแกว่าท่านชีคแปลกๆ ไปไหมวะ” เมื่อความสงสัยยังไม่ถูกคลี่คลาย คนขี้สงสัยจึงหันมาถามเพื่อนแทน แต่ยังไม่ทันได้รับคำตอบ ความสงสัยก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอีก
“แล้วไม่ใช่แค่ท่านชีคเท่านั้นนะที่แปลก ผู้หญิงในห้องนั่นก็แปลก สายตาสั้นขนาดนั้น แต่กลับยังเดินเหินได้ปกติ อย่างน้อยเวลาที่ไม่ได้ใส่แว่นก็น่าจะเดินชนโน่นชนนี่บ้างสิวะ แต่นี่อะไรแว่นก็ไม่มี แต่ยังทรงตัวดีกว่าคนสายตาปกติซะอีก แกว่ามันแปลกไหมวะ” ฮารีฟหันมาถาม แต่ยังไม่ทันได้คำตอบ คำถามใหม่ก็ถูกแทรกขึ้นมาอีก
“แล้วที่น่าแปลกยิ่งไปกว่านั้น แกรู้ไหมว่าในถุงนั่นอะไร” ฮารีฟบุ้ยปากไปยังถุงกระดาษที่ตนเพิ่งยื่นให้กับชีคหนุ่มไป แต่ทันทีที่หันหน้ากลับมา สองหนุ่มที่เคยนั่งอยู่ก็ไม่อยู่ฟังซะแล้ว
“เอ้าเฮ้ย! อะไรวะ ฉันกำลังคุยกับพวกแกอยู่นะเว้ย เฮ้ย! กลับมาฟังกันก่อนสิ” เมื่อคนฟังไม่ยอมอยู่ฟัง คนอยากเล่าจึงต้องแล่นตามไปพูดให้ฟังแทน
ในขณะที่สองหนุ่มพยายามหนีคนขี้สงสัยอย่างฮารีฟให้วุ่นวาย อีกหนึ่งหนุ่มกลับไม่มีทีท่าใดๆ นอกจากนั่งมองถุงกระดาษในมืออย่างเอาเป็นเอาตาย ด้วยยังคิดไม่ตกสักทีว่าจะเอาเข้าไปให้คนในห้องตอนนี้หรือจะรอก่อนดี เอ่อ...แล้วจะรออะไร รอทำไม
“นั่นสิ รออะไร” คนที่ยังไม่รู้คำตอบว่ารออะไร จึงได้แต่นั่งมองถุงกระดาษนั่นต่อไป
กระทั่ง...เวลาผ่านไปจนเกือบค่อนคืน ชีคหนุ่มก็ยังคิดไม่ตกว่าจะเอายังไง แน่นอนว่าถ้าชีคหนุ่มยังนั่งอยู่อย่างนั้น องครักษ์ทั้งสามเองก็คงไม่สามารถกลับเข้าห้องของตัวเองได้เช่นกัน
“แกว่าในถุงนั่นมีอะไรพิเศษนักหนาวะ ท่านชีคถึงได้นั่งมองอยู่ได้ตั้งนานสองนาน” ฮาซานหันมาถามเฟาซีที่นั่งอยู่ข้างๆ หลังนั่งสังเกตการณ์อยู่นานสองนาน แต่ยังไม่ทันที่เฟาซีจะได้ตอบหรือพูดอะไร ฮารีฟก็พูดแทรกขึ้นมา