หลายเดือนต่อมา...
ชีวิตฉันก็ไม่มีอะไรให้น่าตื่นเต้นหรือแปลกใหม่ไปกว่าเดิมเท่าไหร่ ถ้าไม่ติดว่าได้ทำงานที่ฉันไม่ถนัดและไม่เคยมีความรู้ด้านนี้ก่อน เพราะทุกๆวันชีวิตฉันก็ทำทุกอย่างเหมือนเดิม ตื่นมาทำงาน ตกเย็นกลับบ้านมากินข้าวที่บางวันก็กินคนเดียว บางวันก็มีสามีนั่งกินด้วย แต่กลับไม่ต่างจากการนั่งกินคนเดียว ส่วนวันไหนที่เขาไม่ได้กลับพอฉันถาม คำตอบที่ฉันได้กลับมา...
“ไม่ใช่หน้าที่ของเธอที่ต้องมาถาม”
ฉันเองก็ไม่รู้นะว่าฉันต้องรู้สึกยังไงกับชีวิตแต่งงานแบบนี้ มันเหมือนกับของตายที่อยู่ไปวันๆอย่างไม่รู้จุดหมาย ไม่รู้สถานะตัวเองที่นอกซะจากคำว่าภรรยาที่แต่งงานกับเขา ชีวิตที่เหมือนกับน้ำเปล่า ไม่มีสีสัน ไม่มีรสชาติอะไรเลยจนบางทีฉันก็เบื่อ และอยากจะลองเปิดใจคุยกับเขาดูสักครั้ง
ส่วนความรู้สึกของฉันที่มีต่อคุณสิงหา ฉันเองก็บอกไม่ได้นะว่าฉันรู้สึกยังไงกับเขา ถามว่ารักไหมมันก็ไม่ถึงกับรัก เพราะระหว่างเราไม่มีความสัมพันธ์หรือความผูกพันธ์อะไรต่อกัน แต่จะบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลยก็ไม่ใช่ เพราะการเป็นภรรยาเขาเกือบปีมันก็ต้องมีความโอนอ่อนไปบ้างเวลาใกล้ชิดกัน แต่ไม่รู้สิ ฉันเองก็ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกัน
ช่างเถอะ บางเรื่องคิดไปก็ปวดหัวเปล่าๆ แถมยังไม่ได้คำตอบให้ตัวเองด้วย
“แกว่าคุณคเชนทร์กับเลขาคนใหม่เป็นอะไรกันอ่ะ” แต่ระหว่างที่ฉันกำลังลุกจะออกจากห้องน้ำก็มีเสียงกระซิบดังขึ้นจากด้านนอก นั่นทำให้ฉันชะงักนิ่งเพื่อรอฟังสิ่งที่พวกเธอกำลังจะพูด
“ฉันก็ไม่รู้อ่ะ ปกติคุณคเชนทร์ก็ไม่เคยกินพนักงานในโชว์รูม แต่กับคนนี้ก็แปลกๆอยู่นะ”
“นั่นสิ ถึงกับย้ายพี่บุตรไปที่อื่นเพื่อรับเลขาใหม่ มันน่าสงสัยอ่ะ” ย้ายหรอ หมายความว่ายังไงกัน
“แต่ฉันจำได้ว่าผู้หญิงคนนั้นแต่งงานแล้วนะ แล้วสามีเธอก็รวยเหมือนกัน”
“แต่คุณคเชนทร์ก็รวยใช่ย่อยที่ไหนกันล่ะ อีกอย่างเรื่องแบบนี้มันก็ไม่หน้าเกี่ยวกับความรวยนะ เพราะบ้านผู้หญิงก็มีฐานะพอสมควร”
“นั่นสิ แต่พี่บุตรทำงานดีมาตลอด อยู่ๆมาถูกย้ายก่อนจะรับผู้หญิงคนนี้ จะไม่สงสัยก็ไม่ได้จริงๆ”
แกร็ก ฉันกดชักโครกก่อนจะเปิดประตูออกไปด้านนอก และนั่นก็ทำให้ทั้งสองคนสะดุ้งตกใจที่เห็นฉัน
“ที่พูดเมื่อกี้หมายความว่ายังไงหรอคะ” ฉันถามออกไปด้วยความอยากรู้
“หมายถึงอะไรคะ” พนักงานคนหนึ่งถามกลับ
“ที่บอกว่าย้ายคนที่ชื่อบุตร” แล้วพวกเธอสองคนก็หันมองหน้ากันหมือนกับส่งสัญญาณอะไรสักอย่าง
“ก็ปกติเลขาของคุณคเชนทร์ แต่อยู่ๆพี่บุตรก็ถูกสั่งย้ายไปทำงานที่อื่น แล้วก็รับเธอเข้ามาเป็นเลขาแทนนี่ไงล่ะ” พอพวกเธอตอบเสร็จก็เดินออกไปจากห้องน้ำ ทิ้งให้ฉันยืนอยู่กับความสงสัยกับตัวเอง
แล้วไหนคุณคเชนทร์บอกว่าตำแหน่งเลขาว่างล่ะ แต่ทำไมพนักงานสองคนนี้กลับบอกว่าเขาย้ายเลขาคนเก่าออกไป และใช่ฉันอยากรู้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เข้ามา” เสียงคุณคเชนทร์ดังขึ้นฉันเลยเปิดประตูเข้าห้องทำงานของเขา
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ฉันอยากรู้เหตุผลที่คุณย้ายเลขาคนเก่าของคุณค่ะ” ฉันพูดออกไปตรง
“ใครบอกเธอ”
“ฉันได้ยินพนักงานคุยกันค่ะ”
“ใคร”
“.....” ถ้าฉันบอกไปเขาจะทำอะไรพนักงานสองคนนั้นนะ
“ฉันมีเหตุผลของฉัน”
“คุณบอกฉันได้ไหมคะว่าเหตุผลนั้นคืออะไร” มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันหรอก แต่ฉันก็ต้องรู้ไว้ด้วยเวลาใครพูดอะไรแบบในห้องน้ำนั่นอีกฉันจะได้บอกออกไปได้ว่าเพราะอะไร
“.....”
“ฉันไม่ได้อยากเสียมารยาทนะคะ แต่มีคนเข้าใจว่าคุณกับฉัน...” ฉันเงียบไปและก็คิดว่าเขาเองก็คงเข้าใจ
“ไว้ฉันจัดการเรื่องนี้เอง เธอไม่ต้องห่วง” คุณคเชนทร์ตอบกลับออกมา
“.....” ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ฉันก็ยังรู้สึกกังวลอยู่
“เธอทำงานที่นี่ต่อให้สบายใจเถอะ หลังจากนี้จะไม่มีเรื่องพวกนี้ให้เธอได้ยินอีก”
“คุณ จะไม่ไล่พวกเธอออกใช่ไหมคะ” ฉันก็หวังว่าจะไม่รุนแรงขนาดนั้น
“แล้วเธออยากให้ฉันไล่คนพูดออกไหม” ทำไมต้องย้อนถามฉันแบบนี้ด้วยนะ
“ไม่ค่ะ” แต่ฉันก็ตอบกลับออกไปตามที่คิด เพราะฉันไม่ได้อยากให้เรื่องใหญ่ขนาดนั้น เพราะมันก็แค่เรื่องเข้าใจผิดไม่ได้ทำให้ฉันเดือดร้อนเท่าไหร่
“หึ งั้นฉันจะไม่ไล่พวกนั้นออก” ฉันมองคุณคเชนทร์อย่างไม่เข้าใจ จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่ค่อยเข้าใจสายตาของเขาเท่าไหร่ ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาชอบมองฉันด้วยสายตาแปลกๆแบบนั้น
“ค่ะ” แต่ฉันก็เลือกจะตอบรับแล้วเดินออกจากห้องคุณคเชนทร์มา