น้ำข้าว
ฉันมองคู่รักหลากหลายคู่ที่นั่งปรึกษากันด้วยรอยยิ้มในบูทร้านพรีเวดดิ้งกลางห้างอย่างมีความสุข ก่อนจะย้อนกลับมาคิดถึงงานแต่งงานของตัวเองที่ผ่านมา
งานแต่งที่ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติและฐานะของเจ้าบ่าว และชื่อเสียงในวงการธุรกิจของพ่อเจ้าสาวอย่างฉัน งานแต่งที่ถูกเนรมิตจนเหมือนกับฉากในนิยายที่ผู้หญิงคนไหนเห็นก็ต้องอิจฉา ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องอยากยืนอยู่ในจุดนี้เหมือนกับฉันได้สิ้นสุดลง และมาถึงขั้นตอนสุดท้ายคือการส่งตัวบ่าวสาวเข้าหอ
เตียงกว้างสีขาวบริสุทธิ์ที่ถูกประดับไปด้วยกลีบกุหลาบเป็นรูปหัวใจบ่งบอกถึงความรักของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวที่พึ่งแต่งงานกัน กลิ่นหอมหวานชวนให้เคลิบเคลิ้มกับบรรยากาศจนรู้สึกโรแมนติกเป็นอย่างมากจนแทบจะทำให้คนที่สัมผัสยิ้มแก้มปริออกมาได้
เพียงแต่...มันกลับไม่ใช่ทั้งหมดของเรื่องจริง เพียงแต่มันกลับไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดไว้ในตอนแรก
“นี่คือสิ่งที่เธอต้องทำความเข้าใจในการอยู่กับฉัน” หลังจากทุกคนออกจากห้องไปหมด ร่างสูงเอ่ยขึ้นพร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ฉัน
ฉันรับกระดาษแผ่นนั้นมาก่อนจะกวาดสายตาอ่านตัวหนังสือบนกระดาษนั่นทีละบันทันก่อนจะเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ
ไม่มีสิทธิ์ยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขา
ทำทุกอย่างที่เขาสั่ง
ขออนุญาตเขาทุกอย่างที่จะทำ
ออกไปข้างนอกเราคือสามีภรรยากัน แต่ถ้าอยู่ในบ้านเราเป็นเพียงคนอาศัยร่วมกัน
และ...ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรจากเขา
“นี่มันหมายความว่ายังไงคะ” ฉันถามออกไปหลังจากอ่านข้อตกลงที่เขาให้ฉันอ่าน
“เธอคงไม่ลืมว่าการแต่งงานที่เกิดขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของครอบครัวเธอ” น้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนใบหน้าเอ่ยขึ้น
“แต่ฉันเชื่อว่าคุณเองก็ต้องมีผลประโยชน์เหมือนกัน” ไม่อย่างนั้นเขาจะแต่งงานกับฉันที่ไม่ได้รักทำไม
“กฎข้อแรก” เขาพูดขึ้นสั้นๆ และนั่นทำให้ฉันทวนมันด้วยกันยกกระดาษมาดู
และ...ห้ามยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขา
“มันไม่มากเกินไปหรอคะที่ฉันยุ่งเรื่องของคุณไม่ได้ แต่ฉันกลับต้องขออนุญาตคุณเวลาจะทำอะไร” ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด
“อย่าถามหาความยุติธรรมกับสิ่งที่เลือกเอง”
“.....” ฉันถึงกับเงียบไปเมื่อได้ยินคำพูดนั้นออกมา เลือกเองอย่างนั้นหรอ...
“การปล่อยบริษัทพ่อแม่ทอดตลอดง่ายกว่า” อืม คำพูดสั้นๆหนึ่งประโยคที่บอกทั้งสิ่งที่เกิดขึ้น และเป็นคำขู่ได้ในตัวทำให้ฉันถึงกับรู้สึกขำและสมเพชตัวเอง
ฉันไม่รู้หรอกว่าผลประโยชน์ของเขาในการแต่งงานครั้งนี้คืออะไร แต่ฉันเชื่อว่าต้องมี เพราะนักธุรกิจอันดับต้นของประเทศอย่างเขาจะทำอะไรสักอย่างต้องมีเหตุผลอยู่แล้ว ผนวกกับสถานการณ์ที่บ้านฉันติดเงินของเขาพอดีเลยทำให้เขาเลือกฉัน ซึ่งฉันก็ไม่ได้เห็นด้วยเท่าไหร่กับการแต่งงานครั้งนี้ แต่เพื่อรักษาบริษัทของพ่อไว้ฉันก็เลยตกลง
“คุณจะไปไหนคะ” ฉันถามสามีหมาดๆของฉันออกไป เมื่อเขากำลังจะเดินออกจากห้องทั้งที่ผู้ใหญ่ก็บอกแล้วว่าห้ามออกจากห้องจนกว่าจะเช้า
“.....” เขาหันกลับมามองฉันอีกครั้ง และก็ทำให้ฉันเข้าใจว่าฉันไม่มีสิทธิ์ยุ่งเรื่องของเขา แต่...
“โบราณเขาถือ ไม่ให้ออกไปไหนนะคะ”
“ฉันไม่ถือ” เขาตอบเสร็จก็เดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองหน้าฉันอีกเลย
“.....” ฉันทำได้เพียงยืมมองแผ่นหลังกว้างที่เดินออกจากห้องไปอย่างทำอะไรไม่ได้ก่อนประตูห้องจะปิดลง นั่นทำให้ฉันทรุดตัวนั่งลงบนเตียงอย่างสับสนกับความรู้สึกตัวเอง
ฉันรู้ว่าระหว่างฉันกับเขามันไม่ได้เริ่มต้นด้วยความรัก เพราะทุกคนย่อมมีผลประโยชน์ต่อกัน แต่ในเมื่อทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ไปแล้ว ในเมื่อเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นสามีฉัน และฉันก็เป็นภรรยาของเขา ฉันเองก็อยากทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
อีกอย่าง งานแต่งที่เกิดขึ้นวันนี้ก็เป็นเขาที่เสนอขึ้นก่อน แต่ทำไมเขากลับมีท่าทีเฉยชา มีท่าทีเหมือนกับรังเกียจฉันแบบนี้ ฉันไม่คิดเลยว่าชีวิตตัวเองจะเจอกับเรื่องตลกแบบนี้ ไม่คิดเลยว่าการแต่งงานที่ไม่ได้เริ่มต้นด้วยความรัก จะไม่สามารถเรียนรู้และมีความรักได้ สุดท้ายมันกลับเป็นเพียงการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์เพียงอย่างเดียว
“หน้าที่ของฉันก็คือ เป็นของประดับให้คุณแค่นั้นสินะคะ”
ทุกคนก็อยากเป็นคนที่ถูกรัก และถูกเลือกกันทั้งนั้น และเธอก็เป็นคนที่ถูกเลือก แต่ไม่ใช่เลือกให้เป็นคนรัก เพราะเธอถูกเลือกให้เป็นแค่...
ฉันสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองออกไปก่อนจะเลือกเดินต่อเพื่อไปซื้อของ แต่อาจจะด้วยความเหม่อของฉันทำให้ฉันไม่ทันระวัง
ปึก!
“อ๊ะ ขอโทษค่ะ” ฉันรีบเอ่ยขอโทษคนตรงหน้าที่ฉันเผลอไปชนเขาเข้าอย่างเร็วก่อนจะรีบเงยมองเขาเพื่อดูความเรียบร้อย
“ไม่เป็นไรครับ แล้วคุณน้ำข้าวเป็นอะไรไหม” ร่างสูงตรงหน้าตอบพร้อมถามกลับ แต่...
“คุณรู้จักฉันด้วยหรอคะ” ฉันอดถามเขาออกไปไม่ได้ เพราะว่าฉันไม่เคยรู้จักเขานั่นเอง
“ผม คเชนทร์ ครับ พอดีผมรู้จักสามีคุณครับ ก็เลยรู้จักคุณ” แบบนี้เองสินะ
“อ๋อค่ะ...”
“ยังไงฉันต้องขอโทษคุณคเชนทร์อีกครั้งนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ...”
“อ้อ ถ้าไม่รังเกียจ นี่นามบัตรผมครับ” เขาพูดพร้อมกับหยิบนามบัตรในกระเป๋ายื่นมาให้ฉัน
“ขอบคุณค่ะ” ฉันรับมาตามมารยาทก่อนจะเก็บในกระเป๋าสะพายของตัวเอง
“ถ้ามีอะไรที่ผมพอจะช่วยคุณได้ ติดต่อผมได้นะครับ”
“ขอบคุณค่ะ ยังไงฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“หวังว่าเราจะได้เจอกันอีกนะครับ” ฉันชะงักกับรอยยิ้มและสายตาของเขาไปนิดหน่อย ก่อนจะกลับมาเป็นปกติและยิ้มให้เขาบางๆก่อนจะเดินออกมาทันที