“ท่านพ่อ มีคนมาที่เรือนเราขอรับ”
“ข้าเห็นแล้วอาเซิ่ง ท่านลุงเร็วกว่านี้ได้หรือไม่ข้าห่วงคนในบ้านข้า!”
"เร็วได้เท่านี้ล่ะ พื้นที่แถวนี้มีแต่หลุมแต่บ่อ หากเป็นฤดูฝนเป็นตายข้าก็คงไม่มาส่งพวกท่านให้ล้อเกวียนจมหล่มดินเล่นเป็นแน่
เย่เซิ่งเจียร้อนใจแต่ก็ว่าอะไรไม่ได้ วันที่พวกเขาเดินทางมาถึงหลุมบ่อเหล่านี้ก็สร้างความเจ็บปวดในช่องท้องให้ตนไม่น้อยเช่นกัน
“ข้าจะวิ่งกลับไปก่อนแล้วกันท่านพ่อ” กล่าวจบชายหนุ่มก็กระโดดลงจากเกวียน วิ่งไม่คิดชีวิตโดยไม่หันหลังกลับมามองด้านหลัง
“ท่านลุง ข้าก็ไม่รอแล้ว!! รบกวนด้วย” เย่เฟิงกระโดดตามบุตรชาย แต่เมื่อเท้าแตะพื้นชายสูงวัยก็ต้องเบ้หน้า
ยามนี้จึงเพิ่งได้รู้ตัวว่าตนเองอยู่ในวัยใกล้ชรา ยิ่งไม่ได้ออกแรงยืดเส้นยืดสายอยู่ในกองทัพก็คล้ายว่าร่างกายก็อ่อนแอตามลงไป เขาถึงกับต้องจับบั้นเอวออกแรงก้าวเท้ายาวๆ ตามหลังบุตรชายแต่ไม่กล้าวิ่งต่อไปอีก
คนแรกที่เย่เซิ่งเจียเห็นก็คือคนบังคับม้า พอเห็นเขาบุรุษผู้นั้นก็ชักสีหน้าใส่
“มาเสียที ท่านรีบเอาคนลงจากรถม้าข้าเร็วๆ เลย เสร็จธุระแล้วข้าจะได้รีบกลับ!”
คนบังคับม้าหงุดหงิดแทบแย่ สกุลเย่ไม่มีที่พักให้ทั้งยังไม่ต้อนรับกู้ลี่ถิง ยังดีที่สาวใช้ของนางยังรู้จักซื้อซาลาเปาเก็บไว้เป็นเสบียงหลายลูก ไม่เช่นนั้นตนคงต้องหิวจนท้องกิ่ว จะหนีกลับก็ทำไม่ได้เพราะพระชายากำชับมาว่าต้องส่งนางให้ถึงมือเย่เซิ่งเจีย!!
ส่วนนายบ่าวสามคนบนรถม้านั่นจะเป็นเช่นไรต่อไป ไม่ใช่ธุระกงการอันใดของตน!!
ชายหนุ่มชะงักหอบหายใจอยู่กับที่ไม่ขยับ คำพูดที่ไร้มารยาทของคนบังคับม้าทำให้เขาเกือบจะบันดาลโทสะ แต่เมื่อนึกถึงสภาพความเป็นจริงของตนที่ไม่ใช่คุณชายสกุลขุนนางอีกแล้วก็พอจะข่มกลั้นเอาไว้ได้บ้าง
หันมองไปที่รถม้าอีกครั้งชายหนุ่มก็ต้องเบิกตากว้างหัวใจเต้นกระหน่ำรุนแรงยิ่งกว่าเก่า
สตรีสองคนที่ก้าวลงมาจากรถม้าลงมานั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นดินนั่นมันสาวใช้ของกู้ลี่ถิงชัดๆ!! เมื่อวานเขาไม่ได้จำคนผิด!!
“พระชายารับสั่งให้ข้าพาน้องสาวของนางมาส่งให้ถึงมือท่าน ยามนี้ก็ถือว่าข้าทำธุระเสร็จแล้ว พานางลงจากรถม้าไปเสียทีข้าจะได้รีบกลับไปรายงาน”
คำพูดตอกย้ำว่าเป็นกู้ลี่ถิงจริง ๆ แว่วผ่านหูของเย่เซิ่งเจียไปอย่างไม่อยากเชื่อ เขารีบก้าวเท้าผ่านร่างม่านอวี้และม่านลู่เปิดผ้าม่านรถม้าออก
เป็นกู้ลี่ถิงจริงๆ!! นางยังคงหลับใหลเหมือนตอนที่เขาต้องแบกร่างนางขึ้นหลังออกมาจากเกี้ยวเจ้าสาวไม่มีผิด เพียงแต่ยามนี้หญิงสาวมีใบหน้าแดงก่ำ เส้นผมสีดำเปียกชุ่มบางส่วนหลุดออกจากมวยผมพาดผ่านใบหน้าและลำคอ ไม่ได้มีผ้าคลุมสีแดงปกปิดเอาไว้เหมือนครั้งนั้น
เย่เซิ่งเจียปิดม้าม่านลงแล้วถอยหลังกลับมาตั้งสติอีกครั้ง หันไปมองทางประตูยามนี้ท่านแม่ทั้งสามกับพี่น้องสตรีก็ออกมายืนรอดูเหตุการณ์ เหมือนกับตอนที่พวกนางยืนแอบดูเจ้าสาวอยู่หน้าจวนอย่างไรอย่างนั้น
สองสาวใช้นิ่งเงียบไม่เปิดปาก ก้มหน้าก้มตาลุ้นระทึกว่าท่านเขยจะทำอย่างไรต่อไป หย่งเหลียนก็เงียบ เย่เซิ่งเจียยิ่งแล้วใหญ่ เขายังตกใจไม่หายและไม่รู้ว่าควรรับมืออย่างไรด้วยซ้ำ
“ยืนนิ่งกันอยู่เช่นนี้หมายความว่าอะไร!! หากท่านไม่ทำข้าทำเอง!!” คนบังคับม้ารออยู่หลายอึดใจก็ไม่มีใครขยับ เขาตัดสินใจเดินตรงกลับมาที่รถม้า
“อย่ามาแตะต้องตัวนาง!” คำพูดเอ่ยออกไปแล้วเย่เซิ่งเจียก็ต้องขบกรามแน่น
ไม่ให้คนบังคับม้ามาอุ้มนางลง แล้วจะให้ผู้ใดอุ้ม?
ชายหนุ่มรีบมองหาความช่วยเหลือ ก็เห็นเพียงท่านผู้เฒ่าเฉายืนยิ้มแหยมือถือไม้เท้าพยุงกายอยู่ท่ามกลางพี่น้องสตรีและมารดา หันกลับไปมองเบื้องหลังบิดาก็เดินกุมเอวตัวเอียงโขยกเขยกตามหลังมาห่างๆ
เขาตัดสินใจมุดผ้าม่านเข้าไปในรถม้าอีกครั้ง ดึงร่างเล็กที่เบาหวิวกว่าเดิมมาอุ้มไว้ในท่าเจ้าสาว เนื้อตัวของหญิงสาวแผ่ไออุ่นร้อนออกมานอกเสื้อผ้าจนชายหนุ่มรู้สึกได้
เขาเห็นสาวใช้ของกู้ลี่ถิงที่อำเภอหวงซานตั้งแต่เมื่อวาน ยามนี้ทุกคนยังคงนอนอยู่ในรถม้า หมายความว่ากู้ลี่ถิงนอนป่วยอยู่ในรถม้านอกเรือนมาตลอดทั้งคืน!!
เย่เซิ่งเจียไม่มีเวลาคิดสิ่งใด เขารีบอุ้มร่างไร้สติก้าวผ่านประตูชั้นนอกกลับเข้าไปในเรือน
ม่านลู่และม่านอวี้ดีใจจนน้ำตาไหล สองคนรีบเก็บข้าวของในรถม้าออกมาจนหมดและแน่นอนว่ายังไม่ลืมหิ้วหม้อและถ้วยยาที่ได้รับจากเย่หานซิ่นเมื่อคืนออกมาด้วย
เย่เฟิงโบกมือไหวๆ สวนทางกับรถม้าที่เคลื่อนตัวออกไปแล้ว แต่เขากลับพบว่ายามนี้ที่หน้าประตูไม่เหลือผู้ใดสักคน! ภรรยาทั้งสามลืมไปแล้วหรือว่าตนเพิ่งหายป่วยกลับมา? เหตุใดจึงชักแถวเดินตามบุตรชายกลับเข้าเรือนไปกันจนหมดเล่า!!
……….
“พี่สามๆ เมื่อคืนข้ากับพี่สี่และพี่ใหญ่ ต้มยาไปให้นางดื่มแล้วเจ้าค่ะ ท่านไม่ต้องตกใจไปนางมียามาด้วย!!” เย่จิ่งถงรีบวิ่งมาดักหน้าพี่ชายพร้อมกับชี้มือไปยังหม้อยาที่อยู่ในมือสาวใช้ม่านลู่
นางเห็นว่าพี่ชายอุ้มพี่สาวเข้ามาในเรือนแล้ว มั่นใจเหลือเกินว่าหลังจากนี้พวกนางจะมีพี่สะใภ้เข้ามาอยู่ด้วยอีกคน จึงคิดจะแสดงตัวเอาหน้าและไม่อยากให้พี่ชายกังวลมากเกินไปนัก
เย่เซิ่งเจียหยุดชะงักกะทันหัน พาเอาสาวๆ ด้านหลังหยุดเดินตามกันแทบไม่ทัน
ชายหนุ่มก้มลงมองใบหน้าและริมฝีปากแดงก่ำของหญิงสาวในอ้อมแขนครั้งหนึ่ง เงยหน้ามองไปที่เรือนอีกครั้งหนึ่ง กัดฟันตัดสินใจหมุนตัวเปลี่ยนทิศทางทันที
“เจ้าจะพานางไปที่ใดเซิ่งเจีย!” หย่งซื่อร้องเสียงหลงเมื่อเห็นว่าทิศทางที่บุตรชายมุ่งหน้าไปถึงกับเป็นเรือนเก็บฟืน!!
“น้องห้า!! เจ้าบอกพี่ชายทำไมว่าพี่สาวได้ดื่มยาแล้ว เช่นนี้พี่สามก็จะไม่ดูแลนางแล้วน่ะสิ!” เย่ชิงเหยียนหน้าซีดเผือด ตำหนิน้องสาววัย 11 ปี ย่ำเท้าไปมาอยู่กับที่ขอบตารื้นแดงก่ำเป็นกังวล
“พี่สี่..ข..ข้าไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ นะ พี่สามจะทิ้งนางไว้ในห้องเก็บฟืนจริง ๆ หรือเจ้าคะ พี่เซิ่งเจียใจร้าย!!”
ร่างสูงไม่สนใจพี่น้องที่ยืนร้อนใจแทนอยู่เบื้องหลัง ใช้เท้าถีบประตูที่แง้มอยู่เล็กน้อยเบาๆ ก้าวเข้าไปในห้องเก็บฟืนที่ถูกทำความสะอาดไว้อย่างลวกๆ
ภายในห้องมีเตียงไม้เก่าที่ขาชำรุดถูกวางทิ้งไว้เพื่อรอเวลาแปรสภาพเป็นฟืน กำแพงดินสามด้านไร้หน้าต่าง แต่ด้านหน้ามีระแนงไม้เปิดโล่งรับลม เหมาะสมกับช่วงฤดูร้อนที่อบอ้าวเกินทน ซ้ำหลังคาก็ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์แข็งแรง
เย่เซิ่งเจียใจโหวงหวิวเล็กน้อย ภาพห้องหอสีแดงประดับประดาด้วยข้าวของเครื่องใช้มงคลที่จัดเตรียมไว้รอรับตัวเจ้าสาวผุดขึ้นมาในความทรงจำ จากที่สมควรอุ้มนางเข้าห้องหอเมื่อสามเดือนก่อน เวลาเปลี่ยน ห้องก็เปลี่ยน ยามนี้กลับเป็นว่าตนต้องส่งนางมาอยู่ในห้องเก็บฟืน!!
ปากที่ยิ้มกว้างขวางของสองสาวใช้ม่านลู่และม่านอวี้หุบกลับแทบไม่ทัน แต่พวกนางก็ยังคืนสติได้อย่างรวดเร็ว วิ่งโค้งตัวต่ำผ่านร่างของเย่เซิ่งเจีย ใช้ผ้าที่หอบหิ้วลงมาจากรถม้าจัดการปูลงบนเตียงเก่าคร่ำคร่าได้อย่างรู้ความทันเวลา
ชายหนุ่มยืดลำตัวตั้งตรง สูดหายใจลึกเข้าปอดแล้วก็เดินดุ่มกลับขึ้นเรือนพักไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง
“แล้วเช่นนี้เขาตัดสินว่าอย่างไรเล่า?” ภรรยาทั้งสามของเย่เฟิงหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“เจ้าสองคนถามข้าแล้วข้าจะถามผู้ใดได้เล่า หรือพวกเราไปถามท่านพี่กันดี!!” หย่งซื่อบีบฝ่ามือตนเองแน่น มองค้อนส่งไล่หลังบุตรชายอย่างไม่ได้ดังใจ
“ไอหยา!!! หลี่ซื่อ เจินซื่อ ท่านพี่ของพวกเราเล่า?” หย่งซื่อตาเหลือกค้างส่งเสียงกรีดร้องลั่น พานเอากลุ่มบุตรีทั้ง 6 นึกถึงบิดาได้เช่นกัน
กลุ่มสาวๆ ที่เดินตามเย่เซิ่งเจียมาถึงห้องเก็บฝืน วิ่งขาพันกันย้อนกลับไปที่หน้าเรือนอีกครั้งเพื่อตามหาเย่เฟิง ปล่อยให้ม่านลู่และม่านอวี้ดูแลนายหญิงของตนไปอย่างไม่รู้ชะตากรรม
“ตกลงคุณหนูของพวกเราอยู่ในสถานะใดกันแน่หรือม่านอวี้” ม่านลู่ย่นคอส่งเสียงกระซิบแผ่วเบาถามสหายของนาง
“เจ้าถามข้าแล้วข้าจะถามผู้ใดเล่า? รอให้คุณหนูฟื้นก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่ก็แล้วกัน!!”