ตอนที่ 12 คาหนังคาเขา

1837 คำ
ปกติแล้วสตรีสกุลเย่หาใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นไร้เมตตาอย่างที่แสดงออกมาก่อนหน้า ดูอย่างอนุทั้งสองของบิดา ตามจริงแล้วก็เทียบได้ว่าเป็นเพียงบ่าวที่มีตำแหน่งก็เท่านั้น บุตรชายหญิงของบิดาต้องเรียกนางว่าอนุรอง อนุสาม มีเพียงภรรยาเอกเท่านั้นที่จะถูกเรียกว่าท่านแม่ แต่หย่งเหลียนมารดาของตนไม่เคยดูแคลนหลี่ซื่อและเจินซื่อ นับสตรีทั้งสองเป็นพี่น้องและให้ลูกทุกคนไม่ว่าจะเกิดจากภรรยาคนไหน เรียกขานสตรีทั้งสามว่าแม่ใหญ่ แม่รอง แม่สามเท่าเทียมกันทุกคน นางไม่ได้เข้มแข็งเหมือนอย่างน้องสาวเย่ชิงอี้ และเจียมตัวว่าตนเองเป็นเพียงสตรีที่ถูกหย่าร้างกลับมาอาศัยกับสกุลเดิม แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้คิดดูถูกตนเช่นนั้นก็ตาม พอเปิดประตูรั้วออกมาด้านนอก นางเห็นว่าแสงตะเกียงที่แขวนอยู่ข้างรถม้ายังไม่ได้ถูกดับลง ห่างไปไม่ไกลเท่าใดนักมีร่างของคนบังคับม้าที่ปลดม้าออกจากตัวรถ แยกออกไปคลุมผ้าพักผ่อนหลับใหลอยู่ใต้ต้นไม่ใหญ่ ม่านลู่ได้ยินเสียงฝีเท้าคน นางจึงแหวกผ้าม่านออกมาดู “นางเป็นอย่างไรบ้าง” เย่หานซิ่นส่งเสียงทักทายออกมาก่อน “ท่านคือ..” สาวใช้ม่านลู่ไม่รู้จักเย่หานซิ่น แต่ก็ไม่ได้ตกใจเพราะที่นี่ไม่มีใครอื่น สตรีผู้มาใหม่ย่อมเป็นคนสกุลเย่ที่อยู่ด้านใน “ข้าเป็นพี่สาวคนโตของเซิ่งเจีย พวกเจ้าอยากได้อะไรหรือไม่ ที่ข้าช่วยเจ้าไม่ได้ก็คงเป็นเรื่องอาหาร พวกเรามีเสบียงเหลือน้อยเต็มที” เย่หานซิ่นชะเง้อมองเข้าไปด้านใน มองเห็นสาวใช้อีกคนของกู้ลี่ถิงใช้ผ้าเช็ดเนื้อตัวให้หญิงสาวไม่หยุด “พวกเราแวะซื้อเสบียงที่อำเภอหวงซานก่อนจะเดินทางมาที่นี่แล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณคุณหนูใหญ่นะเจ้าค่ะที่เป็นห่วง” สองสาวใช้รีบก้มศีรษะคำนับอีกฝ่าย “พวกเรารีบร้อนเดินทางมาก่อน เกวียนสัมภาระของคุณหนูยังตามมาอยู่ด้านหลังเจ้าค่ะ บนรถม้าจึงมีเครื่องใช้ไม่ครบถ้วน บ่าวมียาแต่ไม่มีหม้อต้มยา เราจะไม่ขอเข้าไปข้างในก็ได้เจ้าค่ะ ขอยืมหม้อให้เราสักใบก็พอ เราจะเก็บฟืนแถวนี้มาต้มกันเอง” เย่หานซิ่นพยักหน้าเข้าใจ แต่ไม่ได้เรียกให้สาวใช้เข้าไปในเรือน “ส่งยามาให้ข้า พวกเจ้าดูแลนางอยู่ที่นี่เถิด ต้มยาเสร็จแล้วเดี๋ยวข้าเอาออกมาให้เอง” ม่านอวี้กับม่านลู่ซาบซึ้งน้ำใจของคุณหนูใหญ่สกุลเย่จนน้ำตาซึม พวกนางไม่ได้โกรธเคืองเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงหัวค่ำแม้แต่น้อย กล่าวตามจริงเจ้านายของนางก็ผิดจริงอย่างที่พวกเขาตำหนิ ไม่มีผู้ใดคว้าไม้มาขับไล่ทุบตีพวกนางออกไปก็ถือว่าเมตตามากแล้ว เย่หานซิ่นย่องเงียบเข้าไปในครัว ยังดีที่เตาไฟในเรือนเป็นของที่บุตรชายของท่านลุงเฉาแบกเอาไปขายไม่ได้ แม้แต่เตียงที่นางคิดว่าจะไม่ได้เห็นก็ยังอุตส่าห์เหลืออยู่ คาดเดาว่าราคาเตียงที่จะขายได้กับค่าขนย้ายเตียงขนาดใหญ่ออกไปขายคงไม่สมดุลกันพวกมันจึงยังมีอยู่ครบทุกห้อง หม้อไหจานชามในครัวแม้จะไม่เหลือแล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะสกุลเย่มีสิ่งของเหล่านี้ติดตัวมาใช้ในระหว่างเดินทางอยู่แล้ว และทุกอย่างก็ถูกจัดเก็บเข้ามาไว้ในครัวตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน “พี่ใหญ่ ท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่เจ้าคะ” เสียงเล็กที่จู่ๆ ก็โพล่งออกมาทางด้านหลังทำให้เย่หานซินสะดุ้งสุดตัว “ชิงเหยียน จิ่งถง!! พวกเจ้ายังไม่หลับอีกหรือ?” “ข้ารู้สึกตัวตอนที่พี่ใหญ่เปิดประตูห้องออกไปเจ้าค่ะ กว่าจะปลุกจิ่งถงให้ตื่นมาเป็นเพื่อนได้พี่ใหญ่ก็หายไปทางใดแล้วก็ไม่รู้” “แล้วพวกเจ้าได้ไปบอกพี่รองของเจ้าหรือไม่ว่าข้าหายตัวไป” “เปล่าเจ้าค่ะ แต่ก็เกือบแล้วล่ะ พวกเราเห็นตัวท่านเสียก่อนก็เลยเดินกลับมาทางนี้เจ้าค่ะ” เย่หานซิ่นถอนหายใจอย่างโล่งอก เย่ชิงอี้กลัวว่านางจะคิดสั้นจึงได้ส่งน้องสี่และน้องห้ามาจับตาดูนางไว้ และนางเองก็มีความคิดไม่ต่างจากท่านแม่ คือเห็นใจกู้ลี่ถิงแต่ไม่อยากขัดใจพี่น้องยามที่ทุกคนยังคงมีอารมณ์ขุ่นมัวอยู่ “ข้าช่วยต้มยาให้นางน่ะ” เย่หานซิ่นบุ้ยหน้าออกไปทางนอกเรือน “พี่ใหญ่ไม่รังเกียจนางหรือเจ้าคะ ดูเหมือนจะไม่มีใครชอบนางเลย” เย่จิ่งถงเด็กหญิงวัย 11 ปี เดินมาเบียดร่างหาพี่สาวคนโต ในใจนางก็รู้สึกสงสารกู้ลี่ถิงเช่นกันแต่ไม่กล้าเอ่ยปากพูดกับผู้ใด “พวกเจ้าเล่า คิดอย่างไร” เย่หานซิ่นเห็นว่าน้องสาวทั้งสองไม่เอะอะโวยวาย นางก็หันมาจัดการต้มยาต่อ แต่ยังคงสนทนากับเด็กๆ ไปพลาง “เรื่องของผู้ใหญ่พวกเราไม่กล้าออกเสียงหรอกเจ้าค่ะพี่ใหญ่ เพียงแต่ข้ารู้ว่ายามที่ป่วยหนักอยู่ข้าไม่มีแรง แสบคอ เนื้อตัวเจ็บไปหมด ข้าสงสารนาง” เย่ชิงเหยียนห่อไหล่ลู่ลง แววตาหม่นหมอง “น้องสี่โตแล้วรู้ความยิ่งนัก เรื่องของผู้ใหญ่พวกเจ้าอย่าเอามาเป็นปัญหา หน้าที่ของพวกเจ้ามีเพียงตั้งใจประพฤติตนเป็นคนดีกตัญญูต่อบิดามารดาก็พอ” เย่หานซิ่นไม่อยากก้าวก่ายเรื่องของผู้อื่นเช่นกัน กู้ลี่ถิงจะยังคงเป็นสะใภ้สกุลเย่หรือไม่ ต้องให้เย่เซิ่งเจียเป็นผู้ตัดสินใจ “พวกเจ้าก็อย่าคิดว่าพี่รองของเจ้าใจร้าย ที่นางกล่าวคัดค้านไม่ให้พาแม่นางกู้เข้ามาก็เพราะนางเห็นความสำคัญของคนสกุลเย่เป็นอันดับหนึ่ง ภายหลังหากพี่สามของเจ้ายอมรับกู้ลี่ถิง พี่รองของเจ้าก็จะดีกับนางด้วยเช่นกัน” “พวกเราสองคนเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณพี่ใหญ่ที่สั่งสอน ข้าจะไปบอกกับน้องหกและน้องเจ็ดด้วยพวกนางก็สงสารพี่สะใภ้ที่อยู่ด้านนอกเช่นกัน” เย่จิ่งถงรับคำเป็นมั่นเหมาะ สุดท้ายแล้วสามพี่น้องก็ช่วยกันยกหม้อต้มยานำออกไปส่งให้กู้ลี่ถิงที่รถม้านอกรั้ว อีกด้านหนึ่งที่ริมหน้าต่างบนเรือน ร่างของเย่ชิงอี้ เย่ซวงซวงและเย่จิ่นซู ยืนเรียงหน้าเกาะหน้าต่างแอบดูความเคลื่อนไหวของพี่น้องทั้งสามที่ประคับประคองกันออกไปอย่างระมัดระวัง พอเงาร่างหายไปจากระยะสายตาแล้ว ทั้งสามก็เตรียมจะย่องกลับเข้าห้องพักไปเงียบๆ "ท่านแม่!! เย่ซวงซวงตกใจจนกระโดดเด้งถอยหลัง ยามนี้เย่ชิงอี้จึงเพิ่งจะสังเกตเห็นเงาร่างตะคุ่ม ๆ ของท่านแม่ทั้งสามจับกลุ่มกันยืนแอบอยู่อีกมุมหนึ่งทางหน้าเรือนเช่นกัน สตรีสองกลุ่มหันมาสบตากันเอียงอาย เพราะยามนี้ต่างฝ่ายก็ถูกจับได้คาหนังคาเขา!! แท้จริงแล้วพวกนางก็ดีแต่ปาก แต่ภายในใจกลับเป็นห่วงสะใภ้เพียงคนเดียวของสกุลทั้งสิ้น!! "พี่ใหญ่ใจดีเกินไป คอยดูกันต่อไปเถิดว่านางจะทำให้เซิ่งเจียของพวกเราต้องผิดหวังอีกหรือไม่!!" เย่ชิงอี้แสร้งบ่นพี่สาวใหญ่แก้เขิน "ใช่ๆ คุณชายจะยอมรับนางเป็นภรรยาหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ นางกับคุณชายยังไม่ได้กราบไหว้ฟ้าดินด้วยซ้ำ" หลี่ซื่อสะบัดหน้าตามบุตรสาว แล้วทำไม่รู้ไม่ชี้เดินหนีกลับห้องเป็นคนแรก “นอกจากเซิ่งเอ๋อร์แล้ว บิดามารดาก็ยังต้องยอมรับ จะว่าไปหากเซิ่งเอ๋อร์ไม่ว่าอะไร พวกเราก็ลองช่วยๆ กับจับตาดูนางหน่อยก็แล้วกัน” หย่งเหลียนยืนบิดไปบิดมาอยู่พักใหญ่ ก่อนจะแสร้งฝากฝังทุกคนให้คอยดูกู้ลี่ถิง มีหรือนางจะไม่อยากได้สะใภ้! กู้ลี่ถิงเจ็บป่วยก็ยังรีบร้อนดั้นด้นมาจนถึงเรือนสกุลเย่เท่ากับว่านางพิสูจน์ตัวเองมาแล้วครึ่งทาง คนเคยทำผิดสำนึกผิดแล้วใช่ว่าจะสั่งสอนกันต่อไปไม่ได้เมื่อใด “พวกเรารีบกลับเข้าห้องกันก่อน หานซิ่นกำลังจะถึงเรือนแล้ว หากเห็นว่าพวกเรามาแอบดูเช่นนี้น่าอับอายแย่!” สิ้นเสียงอนุสามสตรีสกุลเย่ที่เหลือก็วงแตก แต่อารมณ์ของแต่ละคนก็ดีขึ้นและคาดว่าหลังจากนี้คงจะนอนหลับสนิทจนถึงรุ่งเช้า ………. เช้าวันถัดมา เกวียนวัวรับจ้างบรรทุกร่างของบุรุษสองคนกับเสบียงอาหารหลายอย่างเดินทางออกจากอำเภอหวงซานมาตั้งแต่ฟ้าเพิ่งเริ่มสาง หลังจากที่คนขับเกวียนสูงวัยรับรู้ว่าคนแปลกหน้าทั้งสองให้ไปส่งที่เรือนสกุลเย่ เขาก็กระจายข่าวบอกพ่อค้าทุกร้านรวมทั้งคนที่เดินผ่านไปผ่านมาให้รู้ว่าบุตรชายของเย่หยวนได้พาครอบครัวกลับมาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านลี่เจียงอีกครั้ง พวกเขาไม่เคยรู้ว่าบุตรชายของเย่หยวนมียศตำแหน่งใด และไม่รู้เรื่องการถูกปลดของอดีตแม่ทัพเย่เฟิงหนึ่งในแม่ทัพนับร้อยคนของกองทัพต้าเหว่ย ด้วยวัยใกล้จะ 60 ของเย่เฟิงทุกคนก็พากันคาดเดาว่าเขาคงจะเกษียณตัวเองพาครอบครัวกลับมาใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุขเพียงเท่านั้น เมื่อสามสิบปีกว่าปีก่อนชาวบ้านเพียงแค่รับรู้ว่าบุตรชายสกุลเย่ไปได้ดิบได้ดีเป็นขุนนางใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง หนำซ้ำยังส่งเงินมาให้บิดามารดาต่อเติมเรือนที่แข็งแรงใหญ่โต คนงานที่เคยไปช่วยก่อสร้างเรือนรวมทั้งหลายคนก็เคยไปรับจ้างทำนาบนที่ดินสกุลเย่ ต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวว่าสองสามีภรรยามีน้ำใจ ไม่เคยโอ้อวดถือตัวว่าตนมีบุตรชายเป็นขุนนาง สร้างชื่อเสียงที่ดีกับสกุลเย่มาโดยตลอด ยามนี้แม้จะผ่านไปเนิ่นนานหลายสิบปีแทบจะไม่มีใครรู้จักเย่เฟิงแล้ว แต่ก็ยังมีบางคนจดจำเรื่องราวของเขาได้อยู่บ้าง พ่อค้าเก่าแก่หลายร้านจึงได้แถมเนื้อสัตว์ ผักหรือแม้แต่ข้าวสารเพิ่มใส่กระสอบให้เย่เฟิงเป็นการต้อนรับการกลับมาของเขา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม