เวลากลางคืนในสนามส่วนบุคคลมีรถสปอร์ตคันหนึ่งขับด้วยความเร็วสูงก่อนจะหักพวงมาลัยเลี้ยวตามลายสนามอย่างแม่นยำและสวยงาม ต่อเนื่องกันหลายครั้ง ดูก็รู้ว่าผู้ขับมีฝีมือและความชำนาญในการควบคุมรถในระดับมืออาชีพและคุ้นเคยกับสิ่งนี้เป็นอย่างดี ก่อนที่รถจะหยุดลงหลังจากที่คนที่บังคับพวงมาลัยพอใจ ดวงตาคมมองตรงไปข้างหน้า มือกำพวงมาลัยแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมา ภาพที่อัยวาเล่นกับหลานชายของเขาเมื่อตอนบ่ายยังชัดเจน พอไปส่งหลานชายที่บ้าน เจ้ารถเต่าก็ยังถามถึงผู้หญิงคนนั้นไม่เลิกและบอกว่าอยากเล่นกับคุณน้าคนสวยอีกบ่อย ๆ แล้วคราวนี้เขาจะทำอย่างไร เจอกันไม่ถึงสามชั่วโมงหลานชายก็ถูกยัยผู้หญิงใจร้ายนั่นป้ายยาจนถึงขั้นเพ้อหาแล้ว
มันเรื่องบ้าสิ้นดี
อินทวิชญ์เปิดประตูลงมาจากรถ ครองพลที่นั่งสูบบุหรี่รออยู่ข้างสนามจึงเอ่ยขึ้น
“นายไม่อยากหวนคืนวงการอีกเหรอวะ แฟนคลับยังรอ ‘เมฆาสลาตัน’ อยู่นะเว้ย”
“ไม่ ฉันเลิกอยากแข่งไปนานแล้ว”
“นายเคยบอกว่าการแข่งรถคือชีวิตของนาย”
ครองพลโน้มน้าวเพราะอยากให้เพื่อนกลับมาลงแข่งให้ทีมอีกครั้ง อินทวิชญ์เป็นคนมีพรสวรรค์และมีฝีมือเป็นเลิศ เขาเกิดมาเพื่อเป็นนักแข่งรถอย่างแท้จริง
“ไม่ใช่อีกต่อไป ฉันเกือบจะตายคาสนามนายจำไม่ได้รึไง ฉันทำให้คนที่รักฉันมากต้องมาทรมานและทุกข์ใจเพราะฉัน”
คนที่รักเขามาก...หมายถึงมารดาของเขา
“เออ...ฉันจะไม่ถามนายเรื่องนี้อีก”
แปดปีก่อน
อัยวาแต่งตัวด้วยเสื้อยืดสีดำตัวโคร่งกางเกงยีนสีฟ้าสวมรองเท้าผ้าใบ สวมหมวก สวมแว่นตากันแดด และสวมหน้ากากอนามัยก่อนจะออกจากห้องเหมือนเช่นทุกครั้งที่ออกไปข้างนอกกับเขา จนชายหนุ่มส่ายหน้ามอง เขาบอกเธอไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่าไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวตนขนาดนี้ ยังไงคนอื่นก็รู้แล้วว่าเขากำลังคบกับผู้หญิงคนหนึ่ง หรือพูดง่าย ๆ ว่า เมฆาสลาตันมีแฟนแล้ว เขาไม่ได้ปิดบังเรื่องความรักเพราะไม่ได้อยากให้คนมาชื่นชอบในรูปร่างหน้าตา ผลงานและความสามารถต่างหากที่เขากำลังนำเสนอ
“แต่งตัวเหมือนตัวเองเป็นคนดังยิ่งกว่าฉันอีกนะ”
อินทวิชญ์เอ่ยแซวแฟนสาวที่แทบมองไม่เห็นส่วนไหนบนใบหน้า มีแต่แขนเรียวทั้งสองข้างเท่านั้นที่โผล่ออกมาโดนแสง
“ก็ฉันไม่อยากเปิดหน้านี่นา เวลาที่ฉันไปข้างนอกคนเดียวไม่ชอบให้ใครจำได้นี่” เธอบ่นอุบอิบ
“การเป็นแฟนกับฉันมันทำให้เธอลำบากขนาดนี้เลยเหรอ”
น้ำเสียงเขาฟังเหมือนตัดพ้อ อัยวาหันไปมองดวงตาที่ดูเศร้าก่อนจะเดินไปหา ถอดหน้ากากอนามัยและแว่นตากันแดดออก ยกมือขึ้นประคองหน้าเขา เอ่ยเสียงอ่อน
“ก็ไม่หรอก”
มือหนายกขึ้นมากุมมือเรียว จ้องลึกเข้าไปในดวงตา ยกยิ้มเจ้าเล่ห์มุมปาก สีหน้าเปลี่ยนอย่างรวดเร็วพร้อมกับเอ่ย
“ถึงเธอจะลำบากฉันก็ไม่แคร์หรอกนะ ยังไงฉันก็ไม่เลิกกับเธอแน่”
“นายนี่นะ เอาแต่ใจตัวเองชะมัด...ชิ!”
ทั้งสองไปดูการปรับแต่งรถที่จะใช้ลงสนาม จากนั้นก็พากันไปเดินซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งเพื่อกลับไปทำกินกันที่ห้อง มีคนที่รู้จักเขายกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปนักแข่งรถสุดหล่อที่เดินจับมือกับผู้หญิงคนหนึ่งตลอดเวลา ฝ่ายหญิงปิดหน้าปิดตามิดชิดจนมองไม่ออกว่าเป็นใคร แต่คนที่เห็นก็รู้ว่าเธอคือแฟนของนักแข่งหนุ่ม
ขณะที่อินทวิชญ์กำลังหยิบแอปเปิลแพ็กหนึ่งใส่รถเข็น อัยวาก็พูดขึ้นว่า
“นี่ มีผู้หญิงสองคนกำลังกรี๊ดนายอยู่ตรงนั้น เข้าไปทักทายเขาหน่อยสิ”
“เธอจะบ้าเหรอ อยู่ดี ๆ ให้ฉันเข้าไปทักใครก็ไม่รู้”
“จะทักใคร ก็แฟนคลับนายไง ใส่ใจพวกเขาหน่อยสิ มีคนหนึ่งขาใส่เฝือกนั่งอยู่บนวีลแชร์ด้วยดูเขาดีใจมากเลยนะที่เห็นนาย แต่คงไม่อยากทำให้นายอึดอัด ถ้านายเข้าไป....อะ อ่าว”
อัยวายังพูดไม่ทันจบชายหนุ่มก็เดินเข้าไปหาผู้หญิงสองคนที่เธอพูดถึง ทั้งคู่ตื่นตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก
“อยากถ่ายรูปกับผมมั้ยครับ ผมถ่ายให้นะครับ”
“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ ดีใจมากเลยค่ะ”
แฟนคลับทั้งสองพูดปากสั่น ทำตัวไม่ถูกเมื่อคนที่ตัวเองปลาบปลื้มเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาและเสนอจะถ่ายรูปด้วยอย่างไม่ถือตัว แถมยังอาสาเป็นคนถ่ายภาพแบบเซลฟี หรือที่มีคนบัญญัติศัพท์ใหม่ว่า ‘วีฟี’ ให้เองด้วย ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนน่ารักใส่ใจแฟนคลับขนาดนี้ เมื่อถ่ายรูปเสร็จก็ยังถามแฟนคลับที่นั่งรถเข็นอีกว่า
“ขาเป็นอะไรเหรอครับ”
“อ้อ รถล้มเพิ่งผ่าตัดหัวเข่ามาน่ะค่ะ”
“หายเร็ว ๆ นะครับ ผมขอตัวก่อน”
“ขอบคุณมากนะคะ ตามเชียร์ทุกครั้งเลย ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ”
สองสาวแฟนคลับยิ้มไม่หุบ ชายหนุ่มโค้งศีรษะนิดหนึ่งเป็นการตอบรับก่อนจะเดินกลับมาหาแฟนสาวที่ยิ้มให้ภายใต้หน้ากาก
^
^
^
***โปรดติดตามตอนต่อไปนะค้า อ้อนขอกำลังใจและคอมเม้นเหมือนเดิมค่า