“มากวนใจคุณท่านอีกสินะ คุณผู้ชายมาแต่ละที คุณท่านสุขภาพทรุดลงตลอด” หญิงสาวบ่นอุบ เร่งฝีเท้าเดินตามท้ายรถยนต์เข้าไปด้านใน เธอเป็นห่วงคุณหญิงประกายจับใจ
“ดอกปีบ! มาช่วยฉันยกตระกร้าผลไม้หน่อยสิ ฉันซื้อมาฝากคุณแม่หลายอย่าง” เสียงแหบเครือตะโกนเรียก หญิงสาวเหลือบมองผลไม้นำเข้าลูกใหญ่ๆ ที่อัดแน่นเต็มตะกร้าใบเล็ก พร้อมทั้งแอบระบายลมหายใจออกแผ่วๆ
ทุกครั้งที่ประชันมาพร้อมกับของฝาก คุณหญิงประกายจะต้องเสียของรักของหวง จนสมบัติที่เคยมีหดหายไปเกือบหมด บุตรชายเพียงคนเดียวของท่านดีแต่หาทางจ่ายเงิน แต่ไม่มีความคิดจะหาเงินเข้าบ้าน พอเงินขาดมือก็รีบมาเรียกร้องเอาจากคุณหญิงประกายแทบทั้งสิ้น
“คุณแม่อาการดีขึ้นหรือยังดอกปีบ งานฉันยุ่งน่ะ เลยไม่ค่อยมีเวลามาเยี่ยมท่าน ฝากเธอดูแลท่านด้วยนะ ถือซะว่าตอบแทนที่ท่านเก็บเธอมาเลี้ยงก็แล้วกัน”
“ค่ะ”
“เปรมมาหาคุณแม่ของฉันหรือยัง ได้ข่าวมาอยู่เมืองไทยนานแล้วนี่นะ” ประชันถามถึงบุตรชาย เขาได้ยินข่าวของลูกผ่านทางหน้าหนังสือพิมพ์ แต่ยังไม่เคยเจอตัวจริงๆ
“ยังค่ะ คุณเปรมก็งานยุ่งเหมือนคุณผู้ชายค่ะ” กาสะลองเหน็บทั้งประชันและชายหนุ่มใจร้ายไปพร้อมกัน
“เขาคงเกลียดพวกเราแล้วล่ะ มีที่ไหน...มาถึงที่แต่ไม่คิดจะมากราบญาติผู้ใหญ่ ไอ้ลูกคนนี่ใจดำเหมือนใครกัน” ชายสูงวัยบ่นพึมพำ กาสะลองได้แต่รับฟังเงียบๆ
“สวัสดีครับคุณแม่” ประชันกล่าวทักทายประมุขวัยชรา คุณหญิงประกายนอนเอนๆ อยู่ที่เก้าอี้พักผ่อนริมระเบียง มีผ้าห่มบางๆ คลุมตลอดหน้าขา
“ลมอะไรหอบเธอมาหาแม่ได้ล่ะประชัน แม่ยังอยู่ในสายตาของเธออีกหรือไง?” คุณหญิงกล่าวเหน็บบุตรชาย เพราะหลังจากแต่งงานกับโสภาพรรณแทบนับครั้งได้ที่ประชันกลับมาเยี่ยมเยียนที่พงษ์ไพศาลกิจ
“แหมคุณแม่ก็พูดเกินไปครับ งานผมยุ่งเลยไม่ค่อยมีโอกาสกลับมาหาคุณแม่ แต่ผมก็มาทุกครั้งที่ผมว่างนี่ครับ” ฝ่ามือเหี่ยวย่นยกขึ้นบีบนวดเรียวขาผอมๆ ของผู้เป็นแม่ หลังถูกเหน็บด้วยความจริง
“เท่าไหร่ล่ะกับการมาเยี่ยมแม่ครั้งนี้”
“คุณแม่ก็ ผมไม่ได้มาขอเงินคุณแม่หรอกครับ”
“เธอไม่ต้องการเงิน แล้วเธอต้องการอะไรประชัน!” คุณหญิงถามเสียงเข้ม ท่านเห็นแววตาเป็นประกายของบุตรชาย ตอนที่เขามองไปรอบๆ บ้าน
“บ้านหลังนี้เก่าและทรุดโทรมลงไปมากนะครับ เก็บไว้ก็เปลืองค่าดูแลค่าใช้จ่ายเปล่าๆ คุณแม่ย้ายไปอยู่กับผมที่บ้านใหม่ดีกว่า จากนั้นเราก็ปรับปรุงบ้านใหม่ อาจจะขายได้ราคาดี”
“ประชัน!! เธอจะให้แม่ขายบ้านคุณพ่ออย่างนั้นรึ! เกินไปแล้วนะ” คุณหญิงแผดเสียงลั่น เจ็บใจจนแทบกระอักเลือด กาสะลองรีบถลาเข้ามาใกล้ๆ เธอกลัวว่าประมุขเฒ่าจะล้มพับไปเพราะความโกรธ
“เก็บบ้านไม้เก่าๆ เอาไว้ก็เปลืองค่าดูแลรักษาเปล่าๆ ปลี้ๆ ครับคุณแม่ สู้ขายเอาเงินไปทำประโยชน์อย่างอื่นยังดีเสียกว่า” ประชันตอบเสียงเคร่ง เพราะมารดาขัด ทำท่าเหมือนจะไม่เห็นด้วย
“ไม่ประชัน แม่จะไม่ขายบ้านนี้”
“คุณแม่ แต่ผมต้องการใช้เงิน เราจะขยายการค้าออกไปต่างจังหวัดต้องใช้เงินลงทุนอีกเยอะนะครับ”
“ไม่มีเงิน ก็ยังไม่ต้องขยาย ทำที่มีอยู่ให้ได้กำไรเสียก่อนเถอะ แล้วค่อยคิดจะขยายกิจการ” คุณหญิงติงเสียงนิ่งๆ ยกแก้วชาร้อนที่กาสะลองส่งให้จิบแก้กระหาย
“เพื่อนคนอื่นๆ เขาขยายงานกันพรวดๆ ถ้าผมไม่ขยับขยายบ้าง ก็อายเพื่อนอายฝูงกันพอดีสิครับ”
“แล้วจะทำตามคนอื่นเขาได้ยังไง กิจการเขาดี เขาก็ต้องขยับขยายนะสิ แต่บริษัทเรา ตั้งแต่ลูกเข้าไปบริหาร แค่ให้เสมอตัวยังยากเลย แล้วจะขยายกิจการให้เป็นภาระทำไมกันล่ะ”
“คุณแม่!”
“แม่พูดเรื่องจริงนะประชัน แค่ประคองตัวไว้ไม่ให้ขาดทุนก็น่าจะพอแล้วนี่”
“คุณแม่...แต่ผม”
“ถ้าลูกต้องการจะขยับขยายบริษัท ลูกต้องหาทางเอาเองนะประชัน แม่ไม่มีอะไรจะให้แกแล้วล่ะ ที่เคยมีก็หมดจนแทบจะไม่มีอะไรเหลือ ตอนนี้แม่เหลือแค่บ้านหลังนี้กับลมหายใจเท่านั้น” คุณหญิงตอบบุตรชายเสียงสั่น แววตาหมองเศร้า
“คุณแม่ครับ ผมถึงอยากให้คุณแม่ย้ายไปอยู่ด้วยกัน ผมจะได้ปรับปรุงบ้านหลังนี้ใหม่ เวลาขายจะได้ราคาดีกว่านี้ไงครับ”
“ใจคอแกจะให้สมบัติของบรรพบุรุษ ถูกผลาญหมดในช่วงที่ฉันดูแลงั้นรึ แม่ขอบ้านหลังนี้ไว้ได้ไหม?”
“แม่จะเก็บไอ้บ้านโทรมๆ หลังนี้ไว้ทำไมกันครับ สู้ขายแล้วเอาเงินมาหมุนยังจะดีเสียกว่า”
“รอให้แม่ตายก่อนนะประชัน ถ้าแกอยากขายก็ขาย แต่ต้องให้แม่ตายก่อน แม่จะได้ไม่เสียใจเพราะลูกชายคิดจะขายบ้านจากน้ำพักน้ำแรงของพ่อแม่กิน” คุณหญิงยื่นคำขาด ทำให้บุตรชายรู้สึกไม่พอใจ เขาจึงกระฟัดกระเพียดขอตัวกลับเมื่อไม่ได้สิ่งที่หวังไว้
“ผมกลับแล้วนะครับแม่ แม่คิดให้ดีๆ อีกทีก็แล้วกัน แม่จะยอมขายบ้านเก่าๆ นี่หรือจะมองดูบริษัทคุณพ่อล้มละลาย” ชายสูงวัยกลับไปแต่ทิ้งความกังวลไว้ให้ประมุขเฒ่า
“ดอกปีบฉันควรทำอย่างไรดี...ฉันมันคนมีกรรม เลี้ยงลูกแบบเทวดาจนมันมองไม่เห็นกระทั่งหัวแม่ ที่ซุกหัวก่อนตายดูซิมันยังจะขาย แล้วฉันจะไปอยู่ที่ไหน ลูกสะใภ้ที่ฉันอยากได้นักหนา ช่างเป็นลูกสะใภ้ที่แสนประเสริฐตั้งแต่สมบัติฉันหมดไม่เคยเห็นน่าค่าตาเลย” กาสะลองได้แต่สงสารคุณหญิงผู้เฒ่าเธอจึงตั้งใจจะพยายามพาหลานชายของคุณหญิงประกายมาเยี่ยมท่านถึงบ้านให้ได้
“ดอกปีบก็รู้ว่าคุณเปรมของดอกปีบนะชอบผู้หญิงสวยๆ วิธีล่อผู้ชายเจ้าชู้ก็ต้องทำให้สะดุดตาเขา เดี๋ยวแก้วกับมะลิจะเป็นธุระจัดการให้เอง” แก้วกุดั่นกับเพรีเห็นพ้องตรงกัน สองสาววางแผน ‘ล่อเสือเข้าถ้ำ’
“แกสองคนรวมหัวกันทีไร เดือดร้อนดอกปีบทุกที ไม่เอาล่ะ”
“น่านะ เขาไม่รู้หรอก ลอกคราบจากดักแด้เป็นผีเสื้อสวยๆ ไปล่อผู้ชายกัน คืนนี้มีปาร์ตี้ไฮโซ ลองไปวัดดวงดู เผลอๆ แกอาจจะลากคุณเปรมกลับบ้านก็ได้ ผู้ปกครองแกจะได้ดีใจ”
“เอ่อ...”
“เอาน่าลองดู” สองสาวคะยั้นคะยอ ส่งสายตาเจ้าเล่ห์มองกาสะลองด้วยสายตาระยิบระยับ รอยยิ้มกรุ่มกริ่มจนกาสะลองขนลุกซู่ รีบร้องห้ามเสียงสั่นๆ
“ไม่นะ...”
“อิๆ...” เสียงหัวเราะคิกคักของเพื่อนรักทำให้กาสะลองจำต้องก้มหน้ารับอย่างจำใจ
กระบวนการลอกคราบเปลี่ยนดักแด้ขี้เหร่ ให้กลายเป็นผีเสื้อแสนสวยเริ่มต้นขึ้น ด้วยสองสาวผู้นำแฟชั่น แก้วกุดั่นเป็นเจ้าของร้านเสื้อผ้าหรูในห้างสรรพสินค้าไฮโซ เธอมีความชำนาญเรื่องการแต่งตัวเป็นพิเศษ เพรีเป็นสถาปนิกมีชื่อเสียง ทางบ้านมีฐานะร่ำรวยและไม่ถือตัว เธอจึงมีเส้นสายพาสามสาวเข้าไปในงานปาร์ตี้ไฮโซได้สบายๆ แผนการล่อพญาเสือออกจากถ้ำด้วยการเอากวางสาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง แสนสะดุดตาเข้าไปล่อ รายการแต่งองค์ทรงเครื่องเปลี่ยนสาวน้อยหน้าตาธรรมดา เป็นสาวโสภาก๋ากั่นจึงเริ่มขึ้น ตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงค่ำ ภาพหญิงสาวสวยที่สะท้อนผ่านกระจก กาสะลองแทบไม่อยากเชื่อสายตา มันคุ้มกับความทรมานมาตลอดทั้งวัน ผมดำสนิทยาวเคลียไหล่ถูกม้วนเป็นลอนใหญ่ๆ แผ่เต็มเผ่นหลัง ดวงตากลมโตถูกแต่งแต้มด้วยสีสันดูโดดเด่นสะดุดตา ริมฝีปากอิ่มเต็มทาสีส้มแก้มทองแลดูเย้ายวน ชุดเดรสสีขาวสั้นเสมอเข่า ประดับด้วยคริสตัลตลอดช่วงอกส่องแสงสะท้อนวับวาวยามต้องแสงไฟ
“ว้าว!...นางซินฯ เปลี่ยนไป กลายเป็นเจ้าหญิงสวยมากๆ...ไม่เสียแรงนั่งหลังขดหลังแข็งกันทั้งวัน” แก้วกุดั่นชมเสียงเล็กเสียงน้อย เธอเอียงคอมองผลงานของตัวเองด้วยความชื่นชม
“ดอกปีบนะโครงหน้าสวยอยู่แล้ว รู้จักแต่งตัวก็จะสวยจับใจแบบนี้ล่ะ” เพรีชมพลางมองเพื่อนสาวอย่างพินิจ
“แหมชมกันเองเสียแล้ว เดี๋ยวดอกปีบก็ตัวลอยติดเพดานหรอก” หญิงสาวอมยิ้มขัดเขิน
“มะลิพูดจริงๆ นะดอกปีบ ถ้าแต่งตัวแบบนี้ตั้งแต่สมัยเรียน ดาวคณะนะเทียบดอกปีบไม่ได้สักกะผีกเดียว”
“ไม่ถึงขนาดนั่นหรอกน่า ลิซ่าเขาสวยจะตาย”
“พูดถึงยัยนั่น...คืนนี้จะมาไหมเหอะมะลิ?” แก้วกุดั่นถามถึงคู่ปรับคนสำคัญ ลลิตาหรือลิซ่า
“จะพลาดได้ไง แกก็รู้แก้วยัยนั่นเป็นเหาคุณเปรม”