ส่วนพ่อกับแม่ก็ได้สังสรรค์กับเพื่อนๆ ที่มาเจอกันที่หน้าศาลเจ้า มาหาซื้อกระเพาะปลาและขนมต่างๆ กินกัน และที่ขาดไม่ได้ก็คือมาเปียของ แต่เวลานี้ทุกอย่างในวันวานเหมือนละครพีเรียด ซึ่งเขาอยู่ในช่วงปัจจุบัน แต่ละบ้านจึงเงียบเหงา แม้แต่ที่บ้านเขาเอง ญาติพี่น้องก็ย้ายไปอยู่ในเมืองกันเสียส่วนใหญ่ มีไม่กี่คนที่ทำงานอยู่ที่บ้าน หนึ่งในนั้นคือกรวินท์ แต่จะมีเขาตามมาในไม่ช้า เมื่อเขาเรียนจบเขาจะกลับมาทำงานที่บ้าน
“แล้วคนน้อยแบบนี้ งิ้วจะเล่นให้ใครดูล่ะ”
“งิ้วเล่นให้เจ้าดู ไม่ได้เล่นให้คนดูซะหน่อย”
พี่สาวตอบคำถามยิ้มน้อยๆ ก่อนจะซดน้ำซุปก้นชามทำให้เขามองตาโต กรวินท์กินเก่งสุดๆ กินไปคุยไปเรื่อยๆ เงียบๆ แต่หมดก่อนเขาจนได้
แม้การขอพรจะผ่านไปด้วยดี แต่ระหว่างออกมาจากศาลเจ้า เจ๊หงส์ก็ยังรู้สึกแปลกๆ เพราะทุกที่ที่เอาดวงของวงศวัฒน์ไปให้หมอดูหรือซินแสตรวจ ก็จะต้องทายทักว่าลูกสะใภ้จะเป็นอย่างไร วงศวัฒน์จะได้แต่งงานเมื่อไร แต่ซินแสของศาลเจ้าจีนนี้กลับไม่ทายทักอะไรเลย มีแต่อวยพรและก็ให้ทับทิมมา 1 ผลเท่านั้น
“อาเช้ง ลื้อแน่ใจนะว่าซินแสท่านแม่นน่ะ”
“แน่ใจค่ะเจ๊”
“แต่ซินแสท่านไม่ได้ทักอะไรเลยนะ”
“ตรงนั้นเช้งก็ไม่รู้หรอกค่ะ รู้แต่ว่า อาแปะแกไม่ได้ดูดวงให้ใครง่ายๆ หรอกค่ะ ญาติๆ เช้งเทียวไปมาให้แกดูให้ตั้งหลายรอบ แกก็ไม่ดูค่ะ บอกว่าหูตาฝ้าฟางแล้วมองไม่เห็น แต่นี่แกขอวันเดือนปีเกิดของเฮียหมี่เองเลยนี่คะ เช้งก็เลยแน่ใจ”
“แต่ซินแสไม่ได้บอกอะไรเลยนะ”
“บอกแล้วค่ะ”
“ตอนไหน”
“ก็บอกให้เจ๊ขอพรศาลเจ้าไงคะ ขอให้สมหวัง เช้งเชื่อว่าเจ๊จะต้องได้ซ่อมทางเข้าศาลเจ้าแน่ค่ะ”
“จริงเหรออาเช้ง”
“จริงสิคะ ได้ผลไม้มงคลมาด้วย”
เจ๊หงส์ยิ้มก่อนรอยยิ้มจะกว้างขึ้นอีกเมื่อเห็นหนุ่มสาวคู่นั้นนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ชายคลอง
“เสียดายจัง”
“เสียดายอะไรคะเจ๊”
“เสียดายเด็กคนนั้นไงไม่น่ามีแฟนเลยจะได้แนะนำให้เฮียหมี่ของเช้งรู้จัก หน้าตาก็จิ้มลิ้มท่าทางคล่องตัวไม่ใช่เล่น ทะมัดทะแมงแบบนี้แหละถึงจะเหมาะเป็นสะใภ้เจ๊”
“แต่เฮียหมี่ไม่ชอบหรอกค่ะ”
“ทำไมรู้”
“อ้าว... ก็คุณข้าวปุ้นไงคะ”
เจ๊หงส์กลอกตามองบนโบกสะบัดพัดในมือ “เฮ้อ... รายนั้น แค่พูดถึงก็ได้กลิ่นขนมจีนเน่าเลย” หล่อนนึกถึงลูกสาวโรงเส้นดิศรณ์ แม้จะทำธุรกิจเดียวกันแต่หล่อนไม่เคยคิดอยากจะให้ลูกชายคนไหนไปเกี่ยวดองสักนิด แม้แต่จะคิดเทียบเคียงดวงชะตาว่าสมพงษ์กันไหมหล่อนก็จะไม่ทำ เพราะไม่อยากข้องแวะด้วย
เมื่อถึงตลาดปรากฏว่าทางที่เจ๊หงส์เอารถเข้ามากำลังเทหินคลุกตามด้วยรถบดอัดหินให้แน่น และจากที่ประเมินคงนานกว่าจะเสร็จ แม่ค้าในตลาดจึงแนะว่าให้ไปทางลัดทุ่งนา ทางขรุขระหน่อยแต่ก็ดีกว่ารออยู่แบบนี้ ซึ่งเจ๊หงส์ก็เห็นด้วย
เส้นทางจากตลาดแยกเข้าทางหลวงชนบทซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่าทางลัดทุ่งนา แต่กลับไม่มีนาสักแปลงเพราะที่เห็นสุดลูกลูกตานั้นมีแต่ต้นหญ้าสูงท่วมหัว จนมองไม่ออกว่าทางที่รถวิ่งอยู่นี้จะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน เพราะมองซ้ายขวาก็เห็นแต่หญ้า
“อาเช้ง ลื้อแน่ใจนะว่านี่ทางลัดทุ่งนา ไม่เห็นมีข้าวสักต้น มีแต่หญ้า แล้วหญ้าสูงท่วมหัวแบบนี้ เผื่อใครโผล่มาปล้นจะทำไง” พูดแล้วเจ๊หงส์ก็รีบกดล็อกประตูรถทันที สีหน้าหวาดหวั่นปรากฏนึกถึงคำของวงศวัฒน์ที่บอกให้หล่อนใช้คนขับรถ ไม่ให้ขับเอง เพราะเกิดไปไหนมาไหนแล้วรถเสียหรือเกิดอะไรฉุกเฉินจะลำบาก แต่นึกได้ตอนนี้ก็สายเสียแล้ว มีทางเดียวคือหล่อนต้องมุ่งต่อไปตามเส้นทาง ที่ไม่ยักจะขรุขระตามที่แม่ค้าบอก แม้ไม่ได้ลาดยางมะตอยแต่ก็ลงหินคลุกและอัดแน่นราดด้วยน้ำตาลอ้อยจนแข็ง วิ่งได้สบายๆ ไม่มีฝุ่น
“ถูกแล้วล่ะค่ะเจ๊ สมัยก่อนอะเป็นทางลัดทุ่งนาจริงๆ ค่ะ แต่เดี๋ยวเนี้ย เจ้าของที่เขาเปลี่ยนแปลงนาเป็นแปลงหญ้าแล้วค่ะ”
“แปลงหญ้า”
“ค่ะ แปลงหญ้าไว้ให้วัวกิน แถวนี้เลี้ยงวัวนมกันหลายบ้านค่ะ ปลูกหญ้าให้วัวกินแล้วก็ตัดขายให้ฟาร์มได้ด้วย แต่เช้งก็ไม่ได้เข้ามานานแล้วนะคะ ไม่รู้เลยว่าถนนจะดีขนาดนี้ ยังคิดว่าเป็นลูกรังอยู่เลยค่ะ นี่แสดงว่ากิจการค้าหญ้าคงจะดีมากถึงได้มีเงินทำถนนแบบนี้”
“เช้งรู้จักเขาเหรอ”
“อ้าว... ก็ฟาร์มพี่กฤตไงคะ”
“กฤต... กฤตไหนอะ”
“อ้าว... เจ๊คะ ยังไม่ทันแก่เลย ลืมซะแล้ว”
เจ๊หงส์หน้ามุ่ยมองค้อนส้มเช้ง “ประเดี๋ยวเถอะ”
ส้มเช้งยิ้มแหยยกมือไหว้ปลกๆ
ฟาร์มวัวนมขนาดใหญ่ที่สุดในละแวกนี้คือสถานที่ที่ส้มเช้งพาเจ๊หงส์ขับรถเข้ามา เมื่อเท้าความว่ากฤตคือใคร และเจ๊หงส์ก็กระตือรือร้นที่จะมาเยือน ‘ฟาร์มวรินทร’
เสียงรถจอดสนิททำให้ลูกสมุน 4 ขา วิ่งออกมาต้อนรับกันเสียงขรมจนทั้งเจ๊หงส์และส้มเช้งไม่กล้าลงจากรถ ได้แต่มองไปโดยรอบว่าจะมีใครมาช่วยไล่หมาไปบ้าง
รถเก๋งยี่ห้อดังรุ่นใหม่ล่าสุดที่จอดเทียบอยู่หน้าบ้าน แต่คนในรถไม่กล้าลงเพราะบรรดาน้องหมานับสิบตัวที่เลี้ยงไว้เฝ้าวัวเข้าไปรายล้อมรอบรถทำให้ ‘กฤต’ ต้องรีบเข้าไปกันหมาพร้อมกับร้องเรียกลูกน้อง