จากนั้นเขาก็เดินตรงออกจากห้องนี้พร้อมกับปิดประตูห้องให้เรียบร้อย
แพรพิศจึงตลบผ้าห่มออกจากตัว รีบเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา และรวบผมยาวให้เรียบร้อย ก่อนจะออกจากห้องมาก็พบว่าเขายืนกอดอกรอเธอด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มีป้าแม่บ้านอีกคนที่ยืนไม่ห่าง แววตาของป้าแม่บ้านผู้ใจดีกำลังทอดมองเธอด้วยความสงสาร
แม้จะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ดีนัก แต่แพรพิศก็คิดว่าบางทีมารดากำลังรอเธออยู่ที่ไหนสักแห่ง เพื่อให้บุรุษผู้นี้มารับเธอไปพบท่านนั่นเอง
ภายในรถเอสยูวีคันสีดำ หัวใจของอัครากำลังเศร้าโศกกับสิ่งที่จะเผชิญในเวลาไม่กี่นาทีข้างหน้า ไม่ใช่ความอาลัยอาวรณ์ที่มีต่ออรพิมอีกแล้ว หากแต่เป็นความเวทนาที่มีต่อเด็กหญิงที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ตัวเขาต่างหาก
เธอจะนึกเฉลียวใจบ้างหรือไม่ ว่าเพราะอะไร จู่ๆ เขาก็กลับมารับเธอไปพบแม่
ดวงหน้าเรียวเล็ก คอยแต่หันไปมองสิ่งที่อยู่ภายนอกตัวรถด้วยความสนใจ บัดนี้ท้องฟ้าที่มืดครึ้มก่อนหน้าก็บังเกิดเม็ดฝนโปรยปรายลงมา ในจำนวนหยดน้ำหลายหยดก็กำลังตกกระทบลงบนหลังคารถ และกลิ้งไหลลงตามกระจก เกิดเม็ดฝนพราวที่เกาะอยู่ภายนอก
เด็กหญิงใช้ปลายนิ้วแตะกับเม็ดฝนเหล่านั้น แม้ไม่สามารถสัมผัสความเย็นฉ่ำของน้ำฝนได้เพราะมีกระจกเป็นตัวกั้น แต่ก็พอช่วยให้เธอเกิดความเพลิดเพลินได้ในระหว่างทางที่นั่งอยู่ในรถกับคนแปลกหน้าเช่นเขา
นับตั้งแต่ขึ้นรถมา เขาไม่ได้คุยอะไรกับเด็กคนนี้อีก เธอก็ไม่คุย หันไปสนใจกับเม็ดฝนโปรยปรายที่กลิ้งไหลลงมาตามกระจก ภาพสะท้อนของดวงหน้าเรียวเล็กที่ปรากฏบนกระจก ทำให้ดวงตาของอัครามีความดำมืดลง เผลอพิจารณาดวงหน้านี้ เขาจึงเห็นว่า ดวงตา จมูก และริมฝีปากของเด็กหญิงได้จากมารดามาทั้งหมด
เห็นความคุ้นเคยที่มีต่อหัวใจที่อยู่ในมุมอับแสงมานาน ทำให้เขาหวนกลับไปนึกวันคืนในครั้งนั้น ยามที่ได้พบกับเด็กสาววัยสิบห้าปีคนหนึ่งเป็นครั้งแรก
เด็กสาวที่ถักเปียทั้งสองข้าง ใส่เสื้อยืดลายทางสีขาวสลับกับสีแดง และสวมกระโปรงบานเลยเข่าสีแดงเลือดหมูเข้ม
เธอกำลังร้องเพลงขณะเก็บผลไม้ที่ร่วงตามพื้นใส่ลงตะกร้า เสียงร้องเพลงของเธอเป็นเสียงที่ไพเราะ จนสามารถสะกดสรรพสิ่งที่อยู่รอบบริเวณนั้นให้ตกอยู่ในความหลงใหลเคลิบเคลิ้ม ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กหนุ่มวัยสิบห้าปี ที่ได้ติดตามบิดามาเจรจาขอซื้อผลไม้จากสวนชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆ กัน
เป็นความประทับใจยามแรกพบที่มีต่อเธอคนนั้น
นับจากวันนั้นเขาก็ติดตามบิดาไปที่นั่นบ่อยๆ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอรพิมจากคนแปลกหน้าก็กลายมาเป็นคนรู้จัก และในที่สุดก็ได้กลายมาเป็นความรักระหว่างคนวัยหนุ่มสาว
ไม่นาน อรพิมได้เข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ จึงเป็นหน้าของเขาที่ต้องคอยตามรับตามส่ง ดูแลเธอสารพัดเป็นอย่างดีในฐานะคนรัก กระทั่งถึงวันนั้น วันที่เปรียบเหมือนเกิดสายฟ้าฟาดลงมาที่กลางใจของเขา เธอสารภาพสิ้นว่ากำลังตั้งท้องกับผู้ชายคนอื่น...
อัคราเผลอบีบมือเข้าด้วยกันแน่นด้วยความขุ่นเคือง ใครที่ไม่เคยถูกคนที่เรารักและบูชามากหักหลัง จะไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกเช่นเขาได้เลย
อัครารีบหันหน้าหนีจากภาพของเด็กหญิงที่กำลังใช้ปลายนิ้วแตะเล่นกับผิวกระจกรถ
กระทั่งรถคันงามกำลังจะเลี้ยวเข้าไปยังโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แพรพิศจึงหันกลับมาถามเขาด้วยสงสัย
"แม่อยู่ที่นี่เองหรือคะ"
อัคราหันไปพยักหน้า อึดอัดที่จะตอบคำถามเป็นคำพูด ความขุ่นเคืองที่ก่อตัวภายในใจเมื่อครู่ได้มลายหาย กลายเป็นความหดหู่และสงสารเด็กหญิงขึ้นมาแทน
แล้วแพรพิศก็ไม่ถามอะไรชายหนุ่มอีก
เพราะเธอคิดแค่ว่ามารดาป่วย เนื่องจากอาการของโรคกำเริบ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่มารดาเธอเผชิญตลอดในเวลาสามปีที่ผ่านมา
"ที่ห้องนี้เองหรือคะ"
แพรพิศหันกลับมาถามบุรุษคนเดิมที่พาเธอมายังห้องหนึ่งที่อยู่ภายในโรงพยาบาลนี้ จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าบรรยากาศที่รอบตัวช่างวังเวงน่าใจหายเหลือเกิน
อัคราพยักหน้า แล้วตอบ "แม่ของเธอนอนรออยู่ในนั้น ไปสิเข้าไปหาแม่ของเธอสิ"
แพรพิศทำหน้าตาแปลกประหลาด เด็กหญิงหันกลับไปมองเข้าไปภายในห้องนี้ ก่อนเดินเข้าไปหาแม่อย่างช้าๆ และเธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาที่เดินตามเข้ามาอย่างเงียบๆ ด้วยเช่นกัน
และเธอก็เห็นร่างใครคนหนึ่งนอนบนเตียง มีผ้าสีขาวห่มคลุมตั้งแต่ปลายเท้าจรดศีรษะ แพรพิศช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
"ฉัน...เสียใจด้วย...แต่แม่ของเธอ...ก็ไม่อยู่แล้ว"
แพรพิศกรีดร้องก่อนจะวิ่งเข้าไปกอดมารดาแล้วร้องไห้ออกมาอย่างปวดร้าว มันเร็วเกินไปที่เธอจะตั้งรับได้ทัน ตอนเช้าแม่ยังบอกเธอว่าจะออกไปซื้อของใช้บางอย่าง ให้เธอรอท่านอยู่ที่บ้านหลังนั้น แล้วทำไม…ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา!
"แม่ขา แม่ขา ตื่นมาหาแพรสิคะ เรา เราจะกลับบ้านสวนกันยังไงล่ะคะ!"
"แม่ ฮือๆๆ!"
อัคราระบายลมหายใจหนักหน่วงทิ้ง เขายืนอยู่เป็นเพื่อนเธอที่ตรงนี้ นานจนกว่าเด็กหญิงร้องไห้จนเหนื่อย แล้วฟุบหลับไปในลักษณะที่สองแขนยังกอดร่างอันไร้วิญญาณของผู้เป็นแม่เอาไว้ในอ้อมกอดตลอด
งานศพของอรพิมถูกจัดขึ้นมาอย่างเรียบง่ายด้วยความช่วยเหลือของอัครา เพราะแพรพิศก็ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีกแล้ว จะมีก็เพียงที่เดียวคือญาติทางบิดา แต่วันก่อนพวกเขาเพิ่งออกปากไล่แพรพิศออกจากบ้านนั้นมา ทำอย่างกับเธอและแม่ไม่ใช่คน
จนสุดท้ายอรพิมต้องบากหน้าพาลูกสาวมาหาเขาคนนี้แทน
เด็กหญิงนั่งหงอยเหงาอยู่ในห้องเดิมนับตั้งแต่คืนแรกที่มารดาพาเธอมานอนค้างในบ้านหลังนี้ พร้อมกับทอดมองรูปแม่ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ แต่แม้จะพบกับความเศร้าปานใด แพรพิศก็ยังมีป้าแม่บ้านผู้ใจดีคอยมาพูดคุย ปลอบโยนให้เธอได้คลายเศร้าบ้าง...
แต่ก็ยังไม่ทั้งหมด การสูญเสียมารดาแบบกะทันหัน ทำให้เด็กหญิงรู้สึกโดดเดี่ยวมาก
"แต่นี้ต่อไป หนูจะไปอยู่ไหน อยู่กับใคร พ่อกับย่าเขาไม่รับเลี้ยงหนูหรอก"
แพรพิศเอ่ยเสียงสั่นเครือ พร้อมกับทอดมองจานข้าวและกับข้าวที่ป้าแม่บ้านผู้ใจดีนำมาให้
"ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งคิดไปไกล คุณอัครเขากำลังหาทางช่วยหนูอยู่นะ" ผู้อาวุโสปลอบประโลมพร้อมกับวางมือแห้งกร้านลงบนศีรษะเด็กหญิงลูบด้วยความอ่อนโยนไปด้วย
"ป้านีคุยกับคุณอัครให้หนูอยู่ที่นี่ได้มั้ยคะ ให้หนูทำงานแลกกับที่อยู่ที่นี่ก็ได้ หนูทำได้ทุกอย่าง" เธอพลิกตัวหันมาวิงวอนด้วยม่านน้ำตา เพราะหวาดกลัวว่า เขาจะส่งเธอคืนไปให้คนที่บ้านนั้นดูแล เธอไม่อยากไป
"ป้า...เอ่อ ป้าจะลองคุยกับคุณอัครให้นะ" สินีมองเด็กสาวแล้วกอดตัวผอมบางเอาไว้ด้วยความสงสาร จริงๆ ตนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอัคราจะจัดการกับเด็กคนนี้อย่างไร ที่พูดไปก็หวังจะคลายความวิตกกังวลให้แพรพิศก่อนเท่านั้น
อัคราพับจดหมายที่ถูกเขียนด้วยลายมือตัวบรรจง ก่อนจะโยนลงบนโต๊ะด้วยความไม่สบอารมณ์ ความจริงจดหมายฉบับนี้เขาก็เปิดอ่านตั้งแต่วันที่เจ้าของจดหมายเสียแล้วล่ะ ทว่า ยามอ่านทวนอีกกี่ครั้งก็ยังทำให้เขารู้สึกหัวเสียได้ทุกครั้งไป
"นายจะทำอย่างไรอัคร" เสียงทุ้มของใครอีกคนถามขึ้น
อัคราเหลือบตาจากจดหมายขึ้นมาสบตากับคนที่กึ่งถามกึ่งแฝงยิ้มยั่วเย้า พิมานนั่นเอง ชายหนุ่มที่เป็นลูกพี่ลูกน้องวัยเดียวกัน ติดตรงที่อีกฝ่ายอ่อนเดือนกว่าเขาแค่สองเดือน
"ฉันจะพาเด็กคนนั้นไปหาพ่อ อย่างไรเด็กคนนี้ก็ต้องอยู่กับพ่อของเธอ ไม่ใช่ฉัน"
"แต่ภายในจดหมายนี่ก็ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า หากเจ้าของจดหมายหมดลมหายใจวันไหน ขอมอบหมายให้นายเป็นผู้ดูแลแพรพิศจนกว่ากว่าเธอจะบรรลุนิติภาวะนะ แสดงว่านายก็มีสิทธิ์ที่จะดูแลเด็กนั่นได้อย่างไม่มีอะไรตะขิดตะขวงใจแล้ว อีกอย่างในจดหมายแม่ของเด็กยังเตรียมโฉนดที่ดินจำนวนหนึ่งยกให้นายแทนค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่นายจะเลี้ยงดูเด็กคนนั้นจนกว่าจะโต จะดูแลตัวเองได้นี่"
พิมานเดินมาใกล้กับที่อัครานั่ง ชะโงกหน้าลงมองโฉนดที่ดินที่อรพิมทิ้งไว้ให้ชายหนุ่มตรงหน้า แล้วยิ้มยั่วอัคราอีก "มูลค่าของโฉนดที่ดินแถวนั้น ดูดีๆ ก็มีราคาไม่เบาเลย"
คำพูดเชิงกระเซ้าของพิมานทำให้อัครายิ่งหัวเสีย "นายเห็นฉันเป็นคนยังไง"
"เป็นคนดี ซื่อตรง" ตอบแล้วก็วกกลับมานั่งลงกับเก้าอี้อีกตัวซึ่งอยู่ตรงข้ามกับอัครา
"เอาความจริง" อัคราถามย้ำ มองพิมานไม่วางตา
"บ๊ะ ไอ้นี่ ฉันก็พูดจริงไง ดูแล้วแม่ของเด็กก็ไม่ได้ตั้งใจเอาเปรียบนายหรอก ยังยกสมบัติพวกนี้ให้นายเป็นค่าเลี้ยงดูลูกสาว เพราะคงรู้จักนายดี อรพิมถึงได้ตัดสินใจยกแพรพิศให้นาย"
อัครามองพิมานที่จ้อไม่หยุด ด้วยอาการที่ขุ่นขวางกว่าเดิม พิมานพูดจาไม่ค่อยเข้าหู พูดจาแปลกๆ กวนประสาทเสียจริง
"ฉันหมายถึง ก็ให้นายช่วยเลี้ยงไปก่อนไง ขืนให้เด็กไปอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่นาย แล้วดันไปเจอกับพวกเสือ สิงห์ กระทิง แรด ที่จ้องเอาเปรียบเด็กล่ะ เกิดเอาสมบัติเด็กไปขาย แล้วเด็กถูกเฉดหัวไปไม่ได้รับการรับเลี้ยงดูต่อล่ะ จะไม่ดีเอานะ"
อัครากอดอกหลุบตามองกระดาษแผ่นนั้นและโฉนดที่ดินสามที่ที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะตรงหน้า จริงๆ เขาก็ไม่ได้มีจิตละโมบคิดอยากได้ของของใครหรอก และอรพิมก็ไม่ได้เห็นแก่ตัวเกินไปที่จะทิ้งลูกสาวไว้ให้เป็นภาระเขาเฉยๆ จึงเอาโฉนดพวกนี้ติดตัวมาด้วย แต่ไม่ว่าจะฟังที่พิมานพูดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าที ในเมื่อเด็กนี่ยังเหลือพ่ออยู่ทั้งคน
"นายจะทำอย่างไรอัคร แม่ของเด็กมัดมือชกนายแบบนี้แล้ว เขียนจดหมายมอบสิทธิ์ให้นายดูแลลูกสาวจนกว่าจะโตแล้ว"
"ฉันจะพาเด็กนั่นไปหาพ่อและย่า พวกเขาต้องช่วยกันรับผิดชอบ ไม่ใช่ฉัน" อัครายืนยันคำเดิมด้วยท่าทางขึงขังไม่ยอมอ่อนลง
พิมานเอ่ยเสริมอีก "เขาจะรับเหรอ พ่อก็แต่งงานมีครอบครัวใหม่ไปนานแล้ว ได้ข่าวว่าก่อนวันที่แม่เด็กจะฆ่าตัวตาย ตัวแม่และเด็กก็ถูกไล่ออกจากบ้านนั้นมาอย่างกับอะไรดี เธอเลยพาลูกสาวซมซานมาหานายไง"
"อย่างไรก็ต้องคุยกันก่อน ฉันจะพาเด็กคนนี้ไปพบพ่อและย่าของเขาด้วยตัวเอง"
จากนั้นพิมานบ่นพึมพำ แต่ก็ทำให้อัคราได้ยินชัดว่า 'ใจดำ' ช่างเถอะ ใครจะประนามว่าเขาใจดำก็ช่าง เด็กคนนี้ไม่ใช่ธุระที่เขาควรยื่นมือไปยุ่งตั้งแต่แรกแล้ว
อัคราเบือนหนีไปทางอื่น เพื่อหลบนัยน์ตาที่หรี่ลงของพิมาน ที่กำลังจ้องเขาด้วยอาการตำหนิ
แพรพิศรีบปาดน้ำตาทิ้ง แล้วรีบหมุนตัวออกมาจากห้องรับรองที่มีเสียงผู้ชายสองคนกำลังนั่งคุยกันเสียงดังอยู่ตรงนั้น
ก็...ถ้าเขาจะให้เธอไปอยู่กับพ่อและย่า
ให้เธอไปตายเอาดาบหน้าเสียดีกว่า ไม่ใช่มีแค่คนบ้านนั้นที่สามารถเกลียดใครก็ได้ฝ่ายเดียวเสียเมื่อไหร่ เพราะเธอเองก็เกลียดคนบ้านนั้น เกลียดพ่อ เกลียดย่าและเกลียดน้องสาวที่แสนยโสคนนั้นด้วย!