ส่วนทางด้านบุรุษที่ทั้งชีวิต 29 หนาว มิเคยท้อถอย ต่อให้ความตายมารออยู่ตรงหน้าคนเช่นอู๋เหล่ยผู้นี้ ก็มิเคยหวั่นไหว ทว่าในยามนี้เขาต้องมาสิ้นวรยุทธ์ ต้องมีสภาพที่คนภายนอกต่างเมียงมองเขาด้วยสายตากึ่งกังขาและกึ่งสังเวชกับเส้นผมหงอกขาวโพลนดังคนเข้าสู่วัยชรา กำลังคิดดับความตึงเครียดด้วยการระบายออกกับสตรีโฉมงาม โดยไร้ซึ่งความรู้สึกอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง
เพราะสำหรับเขาที่ต้องอดทนอยู่ดังตายไปครึ่งตัว มันทรมานเกินบรรยายที่พอจะใกล้เคียงอารมณ์และความรู้สึกของพยัคฆ์ผู้สิ้นคมเขี้ยวเช่นอู๋เหล่ย คงมีเพียงประโยคที่ว่า...อยู่มิสู้ตาย...นี้เท่านั้นเพราะทุกครั้งที่เสียงนินทาว่า สภาพเช่นนี้องครักษ์ป้ายทองก็คงเป็นเสือกระดาษเสียแล้วกระมัง พอได้ฟังบ่อยครั้งเข้า ต่อให้กิริยาภายนอกอู๋เหล่ยนั้นจะวางเฉยดังก้อนหินเดินได้คนเดิมก่อนจะบาดเจ็บสาหัสมิสนใจกับโลกหล้าอีกแล้ว ทว่าผู้ใดจะมารู้ดีไปกว่าตนเองว่าเขาก็ยังเป็นเพียงมนุษย์เพศชายผู้หนึ่งที่ยังคงความหยิ่งทระนงอยู่เต็มเปี่ยม ยังคงมีรักโลภและโกรธหลง เขาล้วนยังคงมีเต็มเปี่ยมเช่นผู้อื่นหาใช่ก้อนหินไร้ความรู้สึกเช่นที่ถูกขนานนามแม้แต่น้อย
...เป็นองครักษ์หลวง ทว่าสิ้นพลังลมปราณ...อยู่มิสู้ตายจริงแท้...
...โครม!...
"ตะ...ใต้เท้า..."
กายงดงามของบุปผาสวรรค์เช่นฉู่เหลียนเฉียว ถูกผลักลงไปบนเตียงด้วยไร้ความปรานีหรืออ่อนโยน ทว่าคนที่หมายตามาเนิ่นนานหวังว่าจะได้มีโอกาสรับใช้ใต้เท้าอู๋ผู้นี้สักครั้ง เพราะชื่อเสียงของเขานั้นก็มิได้อ่อนด้อยไปกว่าใต้เท้าเซี่ยและใต้เท้าหูเลยแม้แต่น้อย เช่นนางจะโกรธเคืองก็หาไม่
เพราะตลอดเวลาหลายเดือนที่ใต้เท้าอู๋ ย้ายมาอยู่ยังแคว้นฉางโจวแห่งนี้ ชื่อเสียงว่าเขานั้นลือเลื่องว่ามีลีลารักที่ดุดันเผ็ดร้อนไปทางดิบเถื่อน แตกต่างจากเวลาปกติที่วางตัวดังก้อนหินก้อนหนึ่งไปจนสิ้นนาง จึงอยากทดลองดูสักครั้งวันนี้ได้รับวาสนานั้นนางจึงพึงใจอย่างยิ่ง
"ถอดอาภรณ์ของเจ้าออก"
ริมฝีปากสีเดียวกับผลอิงเถาขยับสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้ความรู้สึก ดังกับเขาสั่งการเรื่องทั่วไปหาใช่กำลังจะมีกิจกรรมเข้าจังหวะแม้แต่น้อยไม่ แต่ยิ่งเขาเป็นเช่นนี้ฉู่เหลียวเฉียวล้วนยิ่งพึงพอใจอย่างหาที่สุดมิได้
...เพียงเท่านี้น้ำหวานกลางกายของนางก็หลั่งรินฉ่ำเยิ้มโดยมิต้องถูกเล้าโลมแล้ว...
"ใต้เท้ามิคิดให้เหลียนเฉียวปรนนิบัติก่อนสักนิดหรือเจ้าคะ"
สาวงามอันดับหนึ่งของหอชมบุปผาแห่งฉางโจว ขยับกายยั่วยวนเยื้องย่างกรีดกราย โปรยจริตจะก้านตรงเข้าไปหากายสูงใหญ่กำยำ เร้าอารมณ์เพียงแรกเห็นเขาก้าวเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ บุปผา กลางกายของนางก็ผลิตน้ำหวานจนฉ่ำเยิ้มรอคอยไปแล้ว ยิ่งพบเห็นกลิ่นอายดิบเถื่อนนางยิ่งกระหายใคร่เสพสมจนช่องทางรักบีบรัดกระตุกถี่ระรัวไปหมด
"เจ้าอยากทำสิ่งก็เร่งมือสักหน่อย ข้าหาได้มีเวลาทั้งราตรีเพื่อเจ้า"
สำหรับนางแล้วนี่คือครั้งแรกนับตั้งแต่ขายตนเองมาเป็นหญิงคณิกา ที่บุรุษผู้มาซื้อช่วงเวลาบำเรอความสุขตนเองแสดงกิริยาเย็นชา เพราะปกติแล้วเหล่าแขกทั้งแก่และหนุ่มแน่นที่นางเคยผ่านมา ล้วนคลั่งไคล้นาง เพียงพบหน้าก็โถมกายเข้านัวเนียจนบางครั้งหมดเวลาที่พวกเขาจ่ายเงินไป ยังแทบไม่อยากปล่อยนางลงจากเตียง ต้องเดือดร้อนให้ท่านแม่หลิ่วได้ตามผู้คุมหอมาขับไล่ก็บ่อยครั้ง
"เร็วเข้า!"
คนที่นอนนิ่ง ๆ ก็สามารถเขย่าหัวใจสตรีซึ่งตายด้านกับความรักเช่นนางคณิกาเช่นฉู่เหลียนเฉียว เอ่ยน้ำเสียงกดต่ำ นางจึงลงมือคิดจะปลดเสื้อของเขาออกเป็นชิ้นแรก หวังจะสัมผัสกายแกร่งให้ชื่นใจสมกับที่รอคอยให้เขาเรียกนางมาปรนนิบัตินานหลายเดือน
"อย่ามาแตะต้องกายของข้า! ...เจ้าต้องการปรนนิบัติส่วนใดของข้า ก็จงปลดปล่อยเพียงส่วนนั้นส่วนอื่นของร่างกายข้า เจ้าห้ามมาแตะต้องส่วนอื่นเด็ดขาด!"
...ตึก...ตึก...ตึก...
ยิ่งเขาเย็นชา ไยนางจึงหัวใจเต้นรัวเร็วเสียยิ่งกว่าพบรักครั้งแรกเสียอีก...สตรีวัย 19 หนาว ทว่าผ่านร้อนผ่านหนาว มากประสบการณ์เสียยิ่งกว่าคนวัย 30 กว่าหนาว คิดด้วยความไม่เข้าใจตนเอง
และเพียงนางเปิดเผยตัวตนของบุรุษที่ตนเองจะต้อง 'ปรนนิบัติ' ฉู่เหลียวเฉียวนางถึงกับตะลึงมองนิ่งไปชั่วอึดใจสั้น ๆ กับขนาดอันยิ่งใหญ่ มิผิดจากเสียงเล่าลือที่นางเคยได้ยินได้ฟังมา คณิกาสาวรู้สึกถึงความแห้งของลำคอจนเผลอกลืนน้ำลายลงไปหลายอึก
"เรื่องมากที่สุด!"
คนที่มีใจแค่เพียงปลดปล่อย สุดจะทนให้สตรีนางนี้มาชื่นชมแก่นกายตนเอง โดยมิลงมืออันใดสักอย่าง เขาจึงพลิกกายลุกขึ้นจากเตียงแล้วจับกายงดงามสลักเสลา ผลักให้นางล้มลงไปนอนหงายแทนที่ตนเอง ก่อนจะตลบเพียงกระโปรงนางขึ้นแล้วเคลื่อนกายกำยำเข้าประกบชิดแนบสนิท
"อร้าย...ใต้เท้า...อ๊า..."
ฉู่เหลียนเฉียวที่ส่วนกลางร่างยิ่งกว่าพร้อม เมื่อถูกกายแกร่งกระแทกเข้าหานางก็ถึงกับกรีดร้องด้วยความซ่านสุขอย่างมิได้พบพานการร่วมรักเช่นนี้มานานเกินสามหนาว
"ยกขาทั้งสองข้างของเจ้าตั้งขึ้น อย่าให้มันมาแตะถูกกายของข้า หากเจ้ามิฟังข้าจะตัดทั้งขาและมือที่คิดจะสัมผัสกายของข้าออกเสียให้สิ้น!"
อู๋เหล่ยคำรามเข้าใส่เมื่อคนบนเตียงขยับกายเตรียมจะลุกขึ้นมาแนบชิดกับตนเอง เพราะในยามนี้ที่กำลังกระแทกแก่นกายเข้าฟาดฟันกับกลีบบุปผาแห่งสตรีเพศ นางนอนหงายพาดขวางไปกับกลางเตียงส่วนขาสองข้างนั้นลงห้อยอยู่ด้านล่าง เขาต้องการให้นางเปิดทางให้เขาได้ปลดปล่อยความใคร่เพียงเท่านั้น
ส่วนอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง อู๋เหล่ยมิปรารถนาให้นางมาสัมผัสถูกผิวกายโดยไม่จำเป็น และนี่คือ 'กฎ' ที่หญิงคณิกาทุกนางจะเข้ามาปรนนิบัติ เขาต้องรับรู้และกระทำตามอย่างเคร่งครัดมาตลอด
เมื่อเขายิ่งขยับโยกด้วยจังหวะรุนแรง ฉู่เหลียนเฉียวนางก็ยิ่งสาสมใจ และเมื่อธรรมชาติของสตรีในยามที่นางพึงใจต่อลีลารัก อดกลั้นเสียงครางครวญมิได้
"เอาหมอนมากัด...ข้าไม่อยากได้ยินเสียงของเจ้า...น่ารำคาญ!"
คนที่กำลังมัวเมากับรสสวาทถึงกับแทบตกสวรรค์ เมื่อได้ฟังประโยคที่ยิ่งกว่าคนไร้หัวใจของบุรุษที่กำลังสาดซัดท่อนลำเข้ามากลางกายตนเอง
"ข้าบอกให้เจ้า...หุบ...ปาก! "
แต่ถึงเขาจะคล้ายคนผิดปกติ ทว่าฉู่เหลียนเฉียวนางกลับหลงใหลต่อความแปลกประหลาดนี้ของใต้เท้าอู๋เข้าจนโงศีรษะแทบไม่ขึ้น ยิ่งเขาส่งนางไปแตะขอบสวรรค์อย่างที่ไม่เคยได้รับมานาน นางก็ยิ่งบอกแก่ตนเองว่าครั้งต่อไป...และต่อไป...ผู้ที่จะได้ปรนนิบัติเขาตลอดไป จะต้องเป็นนางแต่เพียงผู้เดียว
เมื่อเสร็จสิ้นสมกับที่เพียงตั้งใจมาระบายความกำหนัดออกไป เช่นปกติของบุรุษหนุ่มวัยยังฉกรรจ์ อู๋เหล่ยก็เพียงวางตั๋วเงินเอาไว้ให้สตรีซึ่งช่วยปลดเปลื้องอารมณ์ แล้วก้าวจากไปไม่มีถ้อยคำใดหลุดออกมาเพียงครึ่งคำ
เพราะสำหรับเขาแล้ว นับจากวันที่รับรู้ว่าตนเองถูกสตรีซึ่งพึงใจจนเคยคิดจะตกแต่งนางมาเป็นภรรยารัก ต่อความรักที่เขามอบให้ความศรัทธาต่อความรัก สำหรับเขาก็ตายลงไปนับตั้งแต่วันนั้น ส่วนการมาระบายความใคร่กับหญิงคณิกา เขาก็คิดว่าเป็นการแลกเปลี่ยนต่อกันเช่นเดียวกับคนทำการค้าเขาต้องการระบายกำหนัด ส่วนพวกนางก็ต้องการเพียงเงินทอง ต่างแลกเปลี่ยนเท่านี้ก็จบสิ้นแล้ว
ซึ่งก่อนจะถูกพิษกิเลน เพลิงอารมณ์ใคร่เขาก็สามารถควบคุมมันได้ ทว่าหลังจากหายรอดชีวิตกลับมาคราวนี้ เขาควบคุมมันได้ยากขึ้น ทว่าก็มิถึงกับควบคุมไม่ได้เสียเลย เพียงแค่เขาต้องแวะมาหาทางออกเช่นค่ำคืนนี้อยู่บ่อยกว่าเดิมก็เพียงเท่านั้น
"ใต้เท้ากลับมาแล้ว"
เสี่ยวฝู หรือเฉียนฝูบ่าวชายที่ปกติอยู่กับท่านย่าของเขา แต่พอช่วงนี้เขาย้ายมาประจำการยังฉางโจว บ่าวผู้นี้จึงถูกท่านย่ากำชับให้มาดูแลใกล้ชิดเขา
"ท่านย่าของข้าเข้านอนไปนานหรือไม่"
กายสูงใหญ่กลับมาถึงจวน สิ่งแรกที่เขากระทำก็คือตรงไปยังห้องอาบน้ำ เขาปลดอาภรณ์ออกทั้งหมด ในขณะที่ถามถึงท่านย่าหรือก็คืออู๋ฮูหยิน ผู้เฒ่าสตรีอาวุโสผู้เดียวของจวนสกุลอู๋ในวันนี้ ส่วนจะถามเพื่อการใดนั้นคงมีแต่เขาเพียงผู้เดียวที่รู้ความหมาย
"เพิ่งเข้านอนไปเมื่อต้นยามซวีขอรับ"
อู๋เหล่ยสลัดกางเกงออกเป็นชิ้นสุดท้าย แล้วก้าวลงไปยังบ่อน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งมีเขาเพียงผู้เดียวในจวนนี้เป็นผู้ใช้ เฉียนฝูแอบกลืนน้ำลายฝืดคอทุกครั้งที่ได้แลเห็นบาดแผลเป็นทั้งใหญ่ทั้งเล็กทั่วกายของผู้เป็นนาย เขาย่อมรู้ว่าเหล่าองครักษ์หลวงมีชีวิตที่เสี่ยงต่อความตาย ทว่ามิคาดจะรุนแรงน่ากลัวเช่นนี้ แต่ก็มิอาจสลัดเอาความหวาดผวากับบาดแผลทั้งหลายของใต้เท้าของตนไปได้
"เอาเสื้อผ้าเหล่านี้ไปจัดการเช่นเดิม แล้วก็ไปนอนเถิด ที่เหลือข้าดูแลตนเองได้"
...จัดการเช่นเดิม...
เฉียนฝูย่อมรู้ดีว่าคือการให้นำไปเผาทิ้งนั่นเอง มีช่วงแรกที่ตนเองเพิ่งเข้ามารับใช้ใต้เท้าอู๋ผู้นี้รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง คิดจะเอาไปซักทำความสะอาดสักหน่อย แล้วส่งไปให้บิดาได้สวมใส่ป้องกันลมหนาวผู้ใดจะคาด ใต้เท้าอู๋ผู้นี้กลับหูผีจมูกมดรู้เข้า โทษโบย 20 ไม้ จึงมาเยือนเขา
ทว่าหลังจากเขาหายดีกลับถูกเรียกไปรับตั๋วเงิน พร้อมกับกำชับหนักแน่นว่าหากที่บ้านของเขาขาดเหลือสิ่งใดจงอย่าเก็บเงียบให้บอกกล่าวโดยตรง อย่าละเมิดคำสั่งเขา และอย่าได้ริเป็นหัวขโมย นับจากนั้นมาเฉียนฝูจึงมิกล้าจะละเมิดคำสั่งใต้เท้าอู๋อีกเลย