ผ่านไปอีกหนึ่งเดือนที่กษิดิศพยายามตามหาลูกสาวคนโตของตนอย่างสุดกำลัง แม้จะได้รู้เหตุผลที่ลูกตัดสินใจจากไปอย่างนั้นแต่เขาก็ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมลูกสาวถึงไม่ติดต่อตนเองกลับมาบ้าง ยิ่งนานวันก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัย ไม่รู้ว่าลูกจะกินจะนอนอย่างไร เวลาที่ลูกน้องมารายงานว่าไม่มีความคืบหน้าอะไรเลยก็ยิ่งทำให้รู้สึกเศร้าใจ
กษิดิศยกรูปภรรยาขึ้นมาถือเอาไว้แล้วเพ็งมองอยู่อย่างนั้นหลายนาที เขาสำนึกผิดแล้วที่ได้ทำผิดมหันต์ต่อภรรยาอันเป็นที่รักอย่างแพรเพชร แต่นั่นก็เพราะความหึงหวงจนขาดสติจึงได้ไปคว้าเอาลินลดามาเป็นภรรยาอีกคน
ย้อนกลับไปหลายปีก่อน เขาตกหลมรักลูกสาวแม่ค้าขายขนมหวานที่มีดวงตากลมโตเป็นประกายเหมือนเพชรเม็ดงาม นี่คงจะเป็นสาเหตุให้บิดามารดาของหล่อนตั้งชื่อลูกสาวคนเดียวว่าแพรเพชร เขาไปอุดหนุนขนมที่ร้านของแพรเพชรทุกวันหลังเลิกงาน หญิงสาวไม่ได้มีท่าทีจะสนใจเขาเธอแต่หล่อนกับสนใจธวัฒน์ข้าราชการธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ไม่อาจเทียบเคียงกับเขาได้เลยสักนิด นั่นจึงทำให้เขาคิดไปว่าเขาด้อยกว่าอีกฝ่ายตรงไหน ถ้าเขาอยากได้อะไรเขาก็ต้องได้ ในที่สุดเขาก็สามารถครอบครองหญิงอันเป็นที่รักได้ด้วยการทำให้เธอตั้งท้องลูกของเขาได้สำเร็จ แพรเพชรร้องห่มร้องไห้กราบขอโทษคนเป็นพ่อและแม่ที่ทำให้ท่านเสียใจ แต่เรื่องที่เกิดไม่ใช่ความผิดของแพรเพชรเลย คนที่ต้องชดใช้ความผิดนี้คือกษิดิศ ด้วยฐานะที่แตกต่างกันทำให้มารดาของกษิดิศไม่ยอมรับแพรเพชรอย่างเปิดเผยในตอนแรก แต่เมื่อแพรเพชรได้คลอดหลานสาวตัวน้อยออกมาแล้วความไม่ชอบใจก็ได้มลายหายไปเมื่อได้ครอบครองตำแหน่งคุณย่าของหลานสาวตัวอวบอ้วน รอยยิ้มในวันนั้นทำให้เขามีความสุขมาจนถึงวินาทีนี้
“ยืนทำอะไรอยู่คะคุณพี่” กษิดิศสะดุ้งตกใจเล็กน้อยเมื่อลินลดาเอ่ยถาม เขารีบเก็บกรอบรูปของอดีตภรรยาลงในลิ้นชัก
“คิดอะไรไปเรื่อยน่ะ”
“ลงไปทานข้าวกันเถอะค่ะ เดี๋ยวลูกสาวของเราก็ถึงแล้ว”
“อืม เธอนำไปสิ” ตลอดมื้ออาหารลินลดาพยายามเอาอกเอาใจสามีอย่างหนักจนอีกฝ่ายเริ่มรู้สึกรำคาญ
“ผมอิ่มแล้วล่ะ ยังมีงานค้างอยู่ขอตัวก่อน”
“ก็ได้ค่ะ แต่วันนี้คุณพี่ทานน้อยจังเลยค่ะ เดี๋ยวกลางคืนจะปวดท้องเอานะคะ” ลินลดาบอกออกไปด้วยความเป็นห่วง
“ไม่หรอก” กษิดิศรวบช้อนส้อมไว้ตรงกลางจานจากนั้นก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วหมุนตัวเดินไปยังห้องทำงาน
“คุณพ่อดูไม่ดีใจเลยนะคะที่แคนดี้กลับมา”
“พ่อเขาคงจะเหนื่อยเรื่องงานอย่าไปถือสาเขาเลย”
“ก็ได้ค่ะ แคนดี้ไม่รู้จะไปหายัยพีชที่ไหนแล้วค่ะ”
“อย่าเสียงดังไปสิลูก เดี๋ยวคุณพ่อก็ได้ยินหรอก” คนเป็นแม่รีบห้ามปราม
“ค่ะๆ ขอโทษค่ะ หนูไม่รู้จริงๆนี่คะว่าคนที่ช่วยยัยพีชไว้เป็นใคร หรือพวกเราจะเข้าทางทนายดีไหมคะ”
“ทำแบบนั้นได้ที่ไหน ทนายของคุณปู่ของลูกน่ะไม่เคยเอียงเอนไปด้านใดด้านหนึ่งหรอก”
“เฮ้อ!” หญิงสาวทำได้แค่ถอนหายใจ
ไหนเลยใครจะเชื่อว่าคนแปลกหน้าที่เธอเพิ่งพบเจอจะดูแลเธอดีกว่าคนในครอบครัวที่เธอคิดว่าเป็นครอบครัวของเธอมาตลอดหลายปี ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเธียรทรรศน์ทำให้เธอเชื่อเขาสนิทใจแล้วว่าเขาเป็นคนดีที่เธอเชื่อใจเขาได้ เขาเป็นคนเงียบขรึม เวลาทำงานจะมีสีหน้าแววตาจริงจังอยู่ตลอดเวลา เขาเปรียบเสมือนพี่ชายที่แสนดีคนหนึ่งของเธอ เธอนึกอยากให้เขาคลายความเครียดลงบ้างไม่อย่างนั้นเขาคงจะเครียดจนเส้นเลือดในสมองแตกแน่
“ขมวดคิ้วอีกแล้วนะคะ” หญิงสาวบอกกับคนที่มีใบหน้าหล่อเหลาน้ำเสียงทะเล้น ยามที่เขายิ้มน่ามองกว่าเป็นไหนๆ
“จะไม่ให้พี่ขมวดคิ้วได้ยังไงล่ะในเมื่อพีชเป็นลมล้มพับไปอย่างนั้น” ชายหนุ่มวางงานในมือลงทันทีเมื่อได้รับสายจากจิตราว่าหญิงสาวหมดสติ
“พีชหรอคะเป็นลม” เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นลม แต่เท่าที่จำความได้คือเธอรู้สึกอึดอัดเลยอยากออกไปเดินเล่นบ้าง
“ใช่แล้วค่ะคุณพีช แค่คุณออกไปเจอแดดครู่เดียวก็เป็นลมไปแล้วดีที่มีคนเข้าไปประคองได้ทัน” สาวใช้ตอบกลับน้ำเสียงห่วงใย
“หนูช่วยประคองคุณพีชไว้เองค่ะ” น้อยหน่าสาวใจตัวกลมประจำบ้านรีบเอ่ยน้ำเสียงภาคภูมิใจ
“ขอบใจป้าจิตรากับน้อยหน่ามากนะที่ช่วยพีชเอาไว้” ชายหนุ่มรู้สึกขอบคุณคนทั้งคู่จากใจ
“ต้องขอบคุณทำไมละคะพวกเราเต็มใจจะดูแลคุณพีชกับคุณหนูน้อย”
“ใครกันคะคุณหนูน้อย”
“อะ เอ่อ...” น้อยหน่ามีท่าทีอึกอักไม่รู้ว่าควรจะบอกความจริงกับหญิงสาวหรือไม่ ชายหนุ่มส่งสายตาให้คนทั้งคู่ออกไปก่อน
“เดี๋ยวสิน้อยหน่ายังไม่ได้บอกกันเลยว่าใครคือคุณหนูน้อย” ลูกพีชรีบตะโกนถามแต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบ