ตอนที่ 2
หากเคราะห์กรรมยังไม่สิ้น ในวันแต่งงานของแม่พรพรรณมีผู้หญิงอุ้มท้องมาป่าวประกาศว่าโดนแย่งสามี สร้างความอับอายและความเจ็บปวดให้กับแม่พรพรรณจนเกือบจะทิ้งชีวิตตัวเองอยู่หลายครั้ง แต่สายใยก็คือเธอซึ่งยังอยู่ในท้องแม่ฉุดรั้งเอาไว้ ก่อนจะตัดสินใจพากันมาตั้งต้นใหม่ ในที่ซึ่งไม่มีคนรู้จักขุดคุ้ยถามเรื่องที่เกิดขึ้น ปล่อยให้เวลาช่วยรักษาบาดแผลที่มี เพื่อจะได้มีอนาคตที่สดใส ไม่นานใบหน้าที่เคยมีแต่อมทุกข์เริ่มมีรอยยิ้มให้เห็น
“หนูเป็นคนดื้อ พูดยากแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันบัว แม่ไม่เคยสอนให้หนูเป็นแบบนี้นะ”
“เปล่าสักหน่อย บัวเป็นคนพูดง่าย...ง่ายมากเลยนะคะแม่” บุษกรทำหน้าแป้นแล้น “และรักแม่ที่สุดด้วย” หญิงสาวโผเข้ากอดพร้อมกับกดจมูกลงบนแก้มเหี่ยวย่นของพรพรรณด้วยความรักสุดใจ…รักโดยไม่มีข้อแม้และไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน
น้ำตาเอ่อล้นคลอเบ้าตาบุษกร เมื่อคิดถึงแม่ที่ไปทำงานแล้วไม่ได้กลับมา คืนนั้นฝนตกหนัก รถที่แม่นั่งมาเบรกแตก ลื่นไถลไปอีกฝั่งหนึ่งของถนนที่ฝั่งนั้นก็มีรถสิบล้อวิ่งมาพอดี คนขับและหญิงชายอีกสองสามคนตายคาที่ ส่วนแม่ไปตายที่โรงพยาบาลแต่ก็มีเวลาได้สั่งเสียและฝากฝังเธอไว้กับแม่พรพรรณ
บุษกรสลัดความคิดที่ทำให้จิตใจเศร้าหมองออกไป พลางมองเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ ความจริงเธอไม่ได้อยากจะทำอย่างนี้เลยสักนิด แต่เพื่อดึงรั้งเอาชีวิตของแม่พรพรรณเอาไว้ ดังนั้นไม่ว่าหนทางที่จะให้ได้เงินมานั้นผิดแค่ไหนเธอก็ต้องทำ
“แกดูต้นทางดี ๆ นะโว้ยไอ้เก่ง ถ้าเห็นอะไรไม่ชอบมาพากลก็ส่งสัญญาณอย่างที่พี่บอกไว้ จำได้ใช่ไหม” หญิงสาวบอกลูกไล่ตัวเล็กที่มาช่วยดูต้นทางและคอยระวังหลังให้เสียงเข้ม
“เรากลับกันดีกว่าพี่บัว หาเงินไม่ใช่เรื่องยาก พี่เก่งออกจะตาย เดี๋ยวก็หาเงินไปรักษาป้าพรได้แล้วละ” เก่งไม่ยอมตอบรับคำสั่งของพี่สาวบ้านใกล้เรือนเคียง แต่กลับชักชวนให้กลับบ้านท่าเดียว ถ้าขืนแม่รู้ว่าเขามาทำอย่างนี้มีหวังหวายได้ลงที่หลังจนลายพร้อยแน่ หรือไม่ ถ้าเกิดถูกจับได้ก็ต้องเข้าไปอยู่ในคุก แค่คิดก็กลัวจนตัวสั่นแล้ว
“แกจะกลัวอะไรวะไอ้เก่ง ไหนว่าเป็นนักเลงโตไง เรื่องแค่นี้ก็ไม่กล้าเสียแล้ว” บุษกรตอบกลับไปอย่างรำคาญใจ คนยิ่งกลัว ๆ อยู่ยังจะทำให้กลัวหนักขึ้นไปอีก
หญิงสาวจ้องเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ ตอนที่เธอช่วยแม่พรพรรณเดินเร่ขายส้มตำ ด้วยความที่เป็นคนตาไวและช่างสังเกต ทำให้เห็นว่าบ้านหลังนี้ไม่เคยมีคนมาพักเป็นเวลานานแล้ว ผิดกับบ้านหลังอื่นที่จะมีคนมาคอยทำความสะอาดเป็นประจำ
“พี่ดูลาดเลามาหลายวันแล้ว บ้านนี้ไม่มีคนอยู่ กลางวันก็เงียบเหมือนป่าช้าอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงกลางคืนเลย เชื่อใจพี่น่ะเก่ง พี่เข้าไปแป๊บเดียว เดี๋ยวก็ออกมาแล้วล่ะ แกตดยังไม่ทันจะหมดตูเลย” บุษกรพยายามพูดปลอบใจทั้งน้องชายข้างบ้านและตนเอง
“อยู่ตรงนี้อย่าไปไหน พี่ไปแล้วจะรีบกลับมา...ถ้ามีอะไรผิดสังเกตก็ส่งสัญญาณเตือนแล้วแกหนีไปได้เลยนะ”
บุษกรสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกความกล้า เธอมองไปทั่วบ้านด้วยความระมัดระวัง ถือคติที่ว่า ทำอะไรไม่ควรประมาท
บุษกรวิ่งลัดเลาะไปหลบใต้พุ่มไม้ใหญ่ พาร่างไปชิดมุมหนึ่งของบ้านส่วนที่เป็นประตูห้องครัว หญิงสาวไปจับลูกบิดประตูบิดเบา ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ติดกลอนหรือล็อก เพราะไม่อยากเสียเวลางัดแงะให้มีหลักฐาน
หญิงสาวยิ้มจนแก้มปริ ถ้าไม่ใช่เพราะสวรรค์เข้าข้าง เจ้าของบ้านก็คงประมาทเลินเล่อมากเชียวล่ะ ถึงได้ปิดประตูไว้เฉยๆ ไม่ใส่กลอนให้เรียบร้อย
บุษกรหันมองซ้ายและมองขวาอีกครั้ง ก่อนแง้มประตูและแทรกตัวเองเข้าไป ก่อนจะปิดลงอย่างรวดเร็ว
“เย้!” หญิงสาวกำหมัดกระทุ้งเข้าหาตัวด้วยความดีใจ ก่อนจะรีบยกมือปิดปาก เมื่อรู้ว่าเผลอทำอะไรลงไป เธอผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเข้ามาอยู่ในบ้านได้แล้ว
บุษกรปรับให้ชินกับความมืดของบ้าน เธอควานหาไฟฉายกระบอกเล็กที่พกติดตัวมาด้วยมาส่องมองทิศทางอย่างระมัดระวังตัวที่สุด
“โว้ย! ...ปึก! ปึก!”
เสียงคำรามดังพร้อมกับหมัดหนักๆ ที่กระแทกไปบนฝาผนังห้องอย่างไม่ยั้ง เลือดสีแดงข้นไหลซึมออกจากบางส่วนของนิ้วมือ แต่ชายหนุ่มนามพีรายุก็ไม่คิดจะสนใจ เจ็บกายไม่เท่ากับเจ็บใจที่ถูกกรีดเฉือนด้วยคมมีด เพราะคนที่รักถึงสองคนมอบให้
“โว้ย!! ไอ้พี่ชายบ้า ไอ้พี่ชายสารเลว แกแย่งคนรักของฉันได้ยังไง สุดาเป็นคนรักของฉันนะ!”
พีรายุพึมพำน้ำเสียงอ้อแอ้ ร่างใหญ่ทรุดตัวลงกองกับพื้นห้อง โดยมือยังไม่หยุดทุบไปบนฝาผนัง อีกมือก็ยกเหล้าขึ้นมาดื่ม ก่อนจะคร่ำครวญอย่างเจ็บปวดจนไม่รู้จะเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้อย่างไรแล้ว เพราะหัวใจที่มันกลัดหนอง
“ทำไม...ทำไมเธอถึงทำกับฉันแบบนี้สุดา ทำไม...เวลาที่เราคบกันมาห้าปีไม่มีความหมายกับเธอเลยหรือไง นั่นสินะ...ถ้ามีความหมาย เธอคงไม่ทิ้งฉันไปแต่งงานกับไอ้พี่ชายตัวดีนั่นหรอก แต่ก็ดีหญิงร้ายชายเลว ขอให้มันเจริญ ๆ ทั้งคู่” พีรายุตัดพ้อต่อว่าด่าทอสลับหัวเราะ
ชายหนุ่มปล่อยให้น้ำเมาไหลลงในลำคอ แต่ก็มีบางส่วนที่กระฉอกออกไปด้านนอก ทำให้เสื้อผ้าเปียกชื้น แต่เขาก็ไม่คิดที่จะสนใจ ยังคงดื่ม...ดื่มและดื่ม ก่อนจะอารมณ์เสียเมื่อน้ำเหม็น ๆ ที่ไหลเข้าไปในปากนั้นหยุดลง
“อะไรวะ หมดอีกแล้ว” ชายหนุ่มสบถอย่างไม่ชอบใจ ก่อนจะขว้างขวดแก้วใสไปกระทบกับผนังห้อง พร้อมกับสะบัดศีรษะทุยแรง ๆ เพื่อไล่ภาพของแฟนเก่านามรวิสุดาให้หายไปจากสมอง
มีคนเคยบอกว่าเหล้าช่วยให้เราลืมความเจ็บช้ำได้ ผิดกับเขา ยิ่งกินมากเท่าไหร่ ภาพรวิสุดาในอิริยาบถต่าง ๆ ก็ผุดขึ้นมาในสมองเหมือนกับภาพยนตร์ที่ฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอกย้ำถึงความเจ็บปวดและพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้น
“ยายแม่มด!” ชายหนุ่มกัดฟันพูด น้ำเสียงอ่อนหวานและนุ่มนวลยามออดอ้อนให้เขาทำอย่างใจต้องการ ที่เมื่อได้ก็จะกระโดดโลดเต้นดีใจเหมือนกับเด็ก ๆ แต่พอไม่ได้ดั่งใจก็จะพูดจาด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ใบหน้าบึ้งตึง ยังจะมีน้ำเสียงกระงอดกระเง้าเวลาที่เขาทำผิด ไหนจะใบหน้ายิ้มแย้ม ดวงตาแวววาวเป็นประกายมองมายังเขาด้วยความรัก
“โว้ย! เธอจะตามมาหลอกหลอนฉันทำไมอีกสุดา ไปตายเสียทีได้ไหม ยายผู้หญิงใจร้าย!”
ไม่อยากนึกถึง ไม่อยากจดจำ หากเหตุการณ์วันนั้นยังคงตามมาหลอกหลอนเขาตลอดเวลา
“อ้าวสุดา...ไหนบอกว่าวันนี้มีธุระจะไม่มาหาผมไง แล้วทำไมถึงมาที่นี่ มาถึงแล้วทำไมถึงไม่โทรบอกกันล่ะ ผมจะได้รีบกลับ คุณจะได้ไม่ต้องนั่งรอแบบนี้” พีรายุที่เพียงเห็นคนรักนั่งอยู่ในห้องรับแขกก็ตรงปรี่เข้ามาถามไถ่ทันทีโดยไม่มองหน้าคนรักที่มีสีหน้าจืดเจื่อนเลย
“สุดามีเรื่องจะคุยกับกลางค่ะ”
พีรายุทรุดกายลงนั่งใกล้กับคนรัก พาดแขนข้างหนึ่งไปตามของโซฟาเสมือนกอดร่างรวิสุดากลาย ๆ
“สุดาตกลงใจเรื่องของเราแล้วใช่ไหม หมายความว่า...” พีรายุโผเข้ากอดแฟนสาว เพราะคิดว่าเธอตกลงใจรับคำขอของเขาแล้ว แต่รวิสุดากลับรีบผลักดันร่างเขาให้ถอยห่างไป ไม่เพียงแค่นั้นยังจะรีบเขยิบกายไปนั่งเสียจนห่างและนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าที่เต็มไปด้วยความหมองเศร้าเช่นเดียวกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและขอโทษ
“สุดาขอโทษนะกลาง”