ไม่ถึงอาทิตย์หลังจากที่ลลนามาถึง แม่ของแอนนาเพื่อนรักของเธอก็จากไป หลังจากการจัดงานศพที่เธอได้อยู่เคียงข้างแอนนาไม่เคยห่างตลอดทั้งวันและคืน ลลนาที่แทบไม่มีเวลาพักผ่อนเลย กลับมาบ้านในบ่ายวันถัดไปด้วยสภาพที่เหนื่อยล้าอย่างที่สุด
เมื่อเธอก้าวเข้าสู่บ้านที่คุ้นเคย เธอรู้สึกถึงความว่างเปล่าและความเงียบสงบที่ทำให้เธอรู้สึกท่วมท้น เธอวางกระเป๋าสะพายลงอย่างอ่อนล้า ก่อนจะเดินช้าๆ ไปที่ชานบ้านที่ทอดยาวออกไปยังสวนดอกไม้ที่เธอชอบ
ในสภาพที่หมดแรงจากการดูแลเพื่อนรักและรับมือกับความสูญเสีย เธอนั่งลงบนเก้าอี้ยาวด้วยท่าทางที่แสดงถึงความเหนื่อยล้าอย่างแท้จริง เธอเอนกายลงและหลับตา ปล่อยให้ความรู้สึกอ่อนเพลียและความเครียดทั้งหมดหายไป
ลมเย็นๆ ที่พัดผ่านสวนทำให้เธอรู้สึกสบาย แต่ก็ไม่สามารถลบล้างความรู้สึกอ่อนล้าที่สั่งสมมานานได้ ภาคินที่กลับมาถึงบ้านเห็นลลนานอนหลับอยู่ที่ชานบ้าน จึงเดินเข้าไปใกล้เธออย่างเงียบๆ ด้วยความรู้สึกห่วงใย
เขาพบเธอนอนหลับลึกด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้า
ภาคินหยิบผ้าห่มมาคลุมให้ลลนาอย่างเบามือ เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นและนุ่มนวล ทำให้เธอตื่นขึ้นจากการหลับที่เหน็ดเหนื่อย
“มีนา อ๊ะ คุณลุง กลับมาแล้วเหรอคะ?”
ลลนาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ยังเต็มไปด้วยความง่วง เธอพยายามลืมตาและมองไปที่ภาคิน
ภาคินยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน และเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากของเธออย่างเบามือ
“ไม่สบายรึเปล่า?”
ลลนาเกร็งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงความอ่อนโยนจากสัมผัสของเขา แต่เธอก็ยิ้มตอบ
“ไม่ค่ะ แค่เหนื่อย
“หิวรึยัง?” ภาคินถามพลางมองลลนาอย่างเป็นห่วง
ลลนาเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความเหนื่อยล้า
“ยังค่ะ แต่คุณลุงคะ อีกอาทิตย์ถ้าไม่มีอะไรแล้วหนูจะกลับอังกฤษแล้วค่ะ”
คำพูดของลลนาทำให้ภาคินรู้สึกใจหายวูบ เขาครุ่นคิดถึงคำพูดนั้นอย่างเงียบๆ ความรู้สึกที่เขาต้องเผชิญดูเหมือนจะหนักหน่วงกว่าที่คิด
"ยังจะกลับไปอีกเหรอ?"
ภาคินถามด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความสงสัย เขามองลลนาด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความไม่อยากสูญเสียเธอไปอีกครั้ง
ลลนาไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้ทันที เธอหลบสายตาของเขา ความรู้สึกสับสนและหวิวหวานปะทะกันในใจ "ค่ะ" เธอตอบเสียงเบา แทบจะกระซิบ
ภาคินขยับเข้าใกล้เธออีกครั้ง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความตั้งใจ
"ฉันไม่อยากเสียเธอไป ลลนา... เธอสำคัญกับฉันมากกว่าที่เธอคิด"
คำพูดของเขาทำให้หัวใจของลลนาเต้นเร็วขึ้น เธอรู้ว่าความรู้สึกนี้มันไม่ง่ายที่จะปล่อยผ่าน แต่ก็ยังคงต้องการเวลาที่จะตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้อง
กริ๊งงง กริ๊งงง...
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะความรู้สึกที่สับสน ลลนาสะดุ้งเล็กน้อยจากภวังค์ของตนเอง เธอมองไปที่หน้าจอเห็นชื่อ "ไมเคิล" ปรากฏขึ้น สายตาของเธอเต็มไปด้วยความลังเล ไม่แน่ใจว่าจะรับสายหรือไม่
ภาคินที่ยืนอยู่ใกล้ๆ สังเกตเห็นอาการของเธอ เขามองลลนาด้วยสายตาที่หนักแน่น แต่ก็แฝงความไม่พอใจเล็กน้อย
"จะรับสายไหม?" เขาถามด้วยเสียงต่ำ
ลลนาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจกดรับสาย
"ฮัลโหล ไมเคิล" เธอพูดด้วยเสียงที่พยายามให้เป็นปกติ แม้ว่าในใจจะยังคงสั่นไหว
ลลนาคุยโทรศัพท์ไป แต่ใจกลับเต็มไปด้วยความสับสนที่ไม่อาจห้ามได้ ภาพของภาคินที่ยืนอยู่ตรงหน้า ทำให้เธอนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตเมื่อแปดปีก่อน เขาเป็นคนที่เคยผลักไสเธอออกไปโดยไม่ลังเล ตอนนั้นมันเจ็บปวดแค่ไหน เธอไม่เคยลืม
เสียงของไมเคิลในสายค่อยๆ เลือนลางไป เพราะความคิดของเธอกลับวนเวียนไปที่ภาคิน ความรู้สึกที่เคยถูกทิ้ง ความเจ็บปวดที่เธอพยายามเก็บซ่อนไว้ตลอดหลายปี กลับพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ มันซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม
ภาคินยืนอยู่ตรงนั้น มองเธอด้วยสายตาที่แฝงความรู้สึกบางอย่างที่เธอไม่อาจอ่านได้ ราวกับว่าเขาก็ถูกความรู้สึกเหล่านั้นกัดกินเช่นกัน ความทรงจำและความรู้สึกทั้งหมดถาโถมเข้ามาในใจของลลนา ทำให้เธอยิ่งสับสนมากขึ้นกว่าเดิม
“ค่ะ ที่รัก”
ลลนาตอบปลายสาย แต่ยังไม่ทันขาดคำ ภาคินที่มองเธอด้วยสายตาหลากอารมณ์ก็ย่างสามขุมเข้ามาหา มือใหญ่จับหน้าของเธอเข้ามาใกล้ ก่อนจะก้มลงจูบเธออย่างเรียกร้อง
ลลนาตกตะลึงเมื่อถูกจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว ขณะที่มือยังถือโทรศัพท์อยู่ เธอพยายามดิ้นรนเพื่อหนีจากอ้อมแขนของเขา แต่ภาคินยิ่งกดจูบอย่างเรียกร้องและเร่าร้อนจนทำให้เธอเริ่มหลงลืมตัว ความร้อนแรงและแรงปรารถนาที่ถูกส่งผ่านมาทำให้เธอรู้สึกสั่นคลอน โทรศัพท์ในมือค่อยๆ หลุดร่วงลงพื้นโดยที่เธอไม่รู้ตัว ดวงตาเธอพร่ามัวและจมอยู่ในความรู้สึกที่เขาปลุกเร้าในหัวใจของเธออีกครั้ง