ตอนที่ 4 ซื้อของขวัญ (1)

1266 คำ
เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังอยู่บนหัวเตียงทำให้ร่างบอบบางที่นอนซุกอยู่ใต้ผ้าห่มรู้สึกตัว เปลือกตาขาวค่อย ๆ ขยับเปิดออกรับแสงที่ลอดผ่านหน้าต่าง มือเล็กที่ซุกอยู่ข้างแก้มเอื้อมไปหยิบเครื่องมือสื่อสารที่วางอยู่บนโต๊ะ จัดการปิดเสียงเตือนที่ดังไม่หยุดหย่อน จากนั้นหนังตาบางก็ปิดลงอีกครั้ง ทว่าตากลมเปิดออกกว้างในเวลาต่อมา เมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์ เธอจะต้องออกไปซื้อของขวัญวันเกิดให้ดนุนัย ร่างบางที่นอนอุดอู้รีบดีดตัวเด้งขึ้นจากที่นอนนุ่มอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้าวลงจากเตียงแล้วปรี่เข้าไปยังห้องน้ำ มาลินีจัดการอาบน้ำแต่งตัว ใช้เวลาเพียงยี่สิบนาที เธอก็อยู่ในชุดที่ออกไปข้างนอกได้แล้ว หญิงสาวย้ายก้นมานั่งตรงหน้ากระจก เผลอมองริมฝีปากของตัวเองที่เผยอขึ้นน้อย ๆ ชวนให้นึกถึงรสจูบละมุนของดนุนัยเมื่อวานในห้องหนังสือ ส่งผลให้ดวงหน้าหวานขึ้นสีระเรื่อ กลีบปากนุ่มขยับแย้มกว้างเผลอยิ้มคนเดียว หากไม่คิดเข้าข้างตัวเอง ดนุนัยต้องคิดอะไรกับเธอบ้างใช่ไหม ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ทำแบบนั้นหรอก คิดแล้วทำเอาหัวใจดวงน้อยที่เต้นอยู่ข้างในฟูฟ่องอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จากนั้นลงมือจัดการเติมแป้งพัฟแต่งหน้าอ่อน ๆ โหนกแก้มใสถูกปัดด้วยบลัชออนสีหวาน ตบท้ายด้วยลิปกลอสสีพีชแต่งเติมบนกลีบปากอิ่มมันวาวฉ่ำน้ำ ร่างเล็กลุกจากโต๊ะเครื่องแป้งไปหยิบกระเป๋าสะพายใบเล็กบนชั้นวางในตู้เสื้อผ้า ซึ่งมันเป็นกระเป๋าที่ดนุนัยมอบเป็นของขวัญให้เธอเมื่อหนึ่งปีก่อนมาคล้องไหล่ วันเกิดของเธอในทุก ๆ ปี เขามักจะใจดีซื้อโน่นซื้อนี่ให้เธอตลอด เป็นนาฬิกาเอย หมวกเอย คิดแล้วยิ่งรักเจ้าของของขวัญมากเข้าไปอีก ที่เขาทั้งแสนดีและใจดีกับเธอเหลือเกิน หากแต่เมื่อสำนึกได้ว่าที่เขาทำดีกับเธอก็คงเป็นเพราะเอ็นดูเด็กกำพร้าอย่างเธอเท่านั้น ใบหน้าที่เคยประกายดีใจ ค่อย ๆ หม่นลงเหลือเพียงความว่างเปล่า “ช่างเถอะ” มาลินีรำพึงกับตัวเอง ไม่ว่าเขาดีกับเธอด้วยเหตุผลอันใด เธอไม่อยากเอามาคิดมาก ณ ตอนนี้เธอควรจะมีความสุขในทุก ๆ วันจะดีกว่า คิดแล้วหญิงสาวพาร่างอ้อนแอ้นเดินออกมาจากห้องนอน ตรงไปยังห้องโถง เวลานี้ไร้ร่างอวบใบหน้าอิ่มเอิบใจดีของผู้เป็นป้าอยู่ในบ้าน มาลินีคิดว่าตอนนี้ป้าอบน่าจะอยู่ที่เรือนใหญ่แล้วกระมัง เพราะปกติเวลานี้อบรำไพจะต้องไปเตรียมอาหารเช้าให้พวกคุณ ๆ เขา แต่วันนี้เธอไม่ได้ไปช่วยงานทุกคนในครัว เมื่อคืนเธอขอป้าอบแล้วว่าวันนี้เธอจะไปซื้อของกับเพื่อนในห้างสรรพสินค้า มือบางคว้ามือถือก่อนจะกดโทรหาเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว เมื่อพาตัวเองออกจากเรือนหลังเล็กที่ตัวเองอาศัยอยู่มาตั้งแต่เด็ก เพื่อไปรอรถแท็กซี่ที่หน้าคฤหาสน์ โดยไม่ทันเห็นสายตาของใครบางคนที่นั่งอยู่ในรถเตรียมจะออกจากบ้านไม่ต่างกัน จิรายุมองหญิงสาวที่กำลังเดินไปทางประตูใหญ่ของคฤหาสน์แล้วเผลอยิ้มในรถคนเดียว วันนี้มาลินีใส่เสื้อยืดสีขาวทับด้วยชุดกางเกงสีเหลือง เกล้าผมไว้กลางศีรษะและปล่อยหน้าม้า รับกับใบหน้ารูปไข่ เธอในลุคนี้ยิ่งทำให้ดูน่ารักสดใส ขับให้ใบหน้านวลน่ารักน่ามอง เขามองจนกระทั่งร่างบอบบางพ้นประตูรั้วคฤหาสน์ จิรายุจึงค่อย ๆ เคลื่อนรถออกไป เห็นเธอยืนรอรถอยู่คนเดียว หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงจอดให้เธอขึ้นมาแล้วไปส่งเธอตามจุดหมายปลายทางที่เธอต้องการไป ทว่าตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว… ทางด้านคนที่ยืนรอรถแท็กซี่มารับ ปรายมองรถหรูที่เคลื่อนผ่านหน้าไปราวกับคนในรถมองไม่เห็นเธอ ซึ่งเธอก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน หากจะพูดถึงความหมางเมิน เป็นจิรายุที่ตีตัวออกห่างและเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อปีก่อน ซึ่งมาลินีก็จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเพราะอะไรเขาถึงเปลี่ยนไปมากอย่างนี้ ทำเหมือนว่าพวกเธอไม่ใช่เพื่อนกัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเธอเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก และสนิทกันตั้งแต่เด็กแล้ว เนื่องจากพวกเธอโตมาด้วยกัน แล้วก็เรียนโรงเรียนเดียวกันตลอด เวลาไปเรียนหนังสือก็ไปพร้อมกัน เลิกเรียนแล้วก็ไปต่อแถวซื้อไอศกรีมด้วยกัน แล้วมานั่งกินในรถระหว่างทางกลับบ้าน คุยกันสนุกสนานหัวเราะคิกคักมีความสุข มาลินีมองจนรถคันที่จิรายุขับออกไปลับกรอบสายตา หญิงสาวจึงหันมาจับจ้องที่หน้าจอสมาร์ตโฟน เพื่อติดต่อหาเพื่อน ยังไม่ทันได้ต่อสายหามนรดา ทว่ารถแท็กซี่คันที่โทรเรียกเมื่อครู่เข้ามาจอดรับเธอพอดี มาลินีเลยรีบพาตัวเองเข้าไปนั่งบนเบาะสำหรับผู้โดยสาร พร้อมบอกจุดหมายปลายทางแก่โชเฟอร์ทราบ จากนั้นก็ต่อสายหาเพื่อนรักทันที “ฮัลโหล ออกมาหรือยัง?” “กำลังจะออกไปแล้ว วันนี้จะซื้ออะไรให้พ่อทูนหัวของเธออีกยะ” คนในสายหยอกอย่างมีจริต “ก็กะว่าจะซื้อเนกไท หรือไม่ก็เสื้อเชิ้ตอะไรแบบนี้อะ” “ทำไมไม่ซื้อนาฬิกาให้เขาล่ะจ้ะ วันเกิดปีที่แล้วคุณนิกถอยหลุยส์วิตตองให้แกเลยนะ” “เราไม่มีตังค์เยอะเหมือนเขานี่ แกก็น่าจะรู้” คนบอกน้ำเสียงแป้ว จนคนในสายเริ่มรู้สึกผิด เมื่อกี้พูดไปโดยลืมไปว่าเพื่อนยังเรียนอยู่ ค่าใช้จ่ายทุกบาททุกสตางค์ในทุกวันนี้ก็เป็นเงินของดนุนัยทั้งนั้น แล้วเพื่อนจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อของแพง ๆ ให้เขา “โอเค เดี๋ยวเจอกันที่ห้างก็แล้วกัน” คนที่มาลินีคุยด้วยผ่านโทรศัพท์เอ่ยก่อนจะกดตัดสาย พอเพื่อนสนิทวางสายไปแล้ว มาลินีจึงเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าสะพาย สายตามุ่งมองออกไปยังนอกรถ ที่นี่เป็นอาณาเขตของตระกูลเจริญภิวัตน์ทั้งหมด อาณาจักรกว้างใหญ่นี้มีเพียงคฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งตระหง่านโดดเด่นไร้บ้านของผู้คน สองข้างทางจึงมีแต่ต้นไม้เขียวขจีและไม้ดอกไม้ประดับมองแล้วให้ความสดชื่นสบายตาแก่ผู้อาศัยและแขกผู้มาเยือน เธอเติบโตมาจากที่นี่ตั้งแต่เด็ก และเมื่อคิดว่าสักวันถ้าเธอต้องย้ายออกไปจากสถานที่แห่งนี้ เพราะหลังเรียนจบเธอก็ต้องหางานทำและไปอยู่บ้านเช่าจู่ ๆ รู้สึกจุกในอกราวกับมีอะไรมากดทับ ยอมรับว่ารักและผูกพันที่นี่มาก แม้เธอจะเป็นเพียงแค่สาวใช้ แต่ทุกคนในครอบครัวเจริญภิวัฒน์กลับดีกับเธอมาก ๆ จนคิดว่าชาตินี้คงตอบแทนบุญคุณที่พวกเขามีต่อเธอไม่หมดเสียด้วยซ้ำ ********** เอ็นดูคนคิดเองเออเองเนอะ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม