บทที่ 1 แรกเห็น

3558 คำ
ร่างเล็กหมุนตัวมองดูรอบห้องนอนว่าไม่ลืมอะไรที่จำเป็น บางอย่างสามารถไปซื้อเอาใหม่ได้ แต่บางอย่างก็หาซื้อไม่ได้ อาทิเช่นตุ๊กตาตัวโปรดที่พ่อแม่ซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด เผื่อวันไหนคิดถึงพ่อกับแม่จะได้กอดตุ๊กตาแทน “เกือบลืมแล้ว ไปอยู่กับแม่นะลูก” แบร์รี่พูดพึมพำ จับเจ้าตุ๊กตากระต่ายยัดลงกระเป๋า ก่อนจะหอบหิ้วกระเป๋าเดินทางขนาดกลางลงไปที่ชั้นล่าง “เสร็จแล้วครับแม่” แบร์รี่บอกกับพ่อและแม่ที่นั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่น “ไม่ลืมอะไรนะ” พนมถามลูกชาย “คิดว่าไม่ลืมนะ แต่ถ้าลืมเดี๋ยวแบงค์กลับมาเอาวันหยุด” “งั้นเราก็ไปกันเถอะ เผื่อขาดเหลืออะไรจะได้ไปหาซื้อทัน” “ครับ” วันนี้เป็นวันที่แบร์รี่จะต้องย้ายไปอยู่หอใน นับว่าเป็นสิ่งที่เขารอคอยมาตลอดตั้งแต่เรียนจบมอหกเลยก็ว่าได้ ไม่ใช่ว่าแบร์รี่ไม่อยากอยู่บ้านกับพ่อและแม่ แต่บ้านหลังใหม่ที่ย้ายมาอยู่ไกลจากตัวเมืองมาก แบร์รี่ไม่สามารถนั่งรถจากนอกเมืองอย่างลำลูกกาเข้ามาเรียนที่ใจกลางกรุงเทพมหานครได้ ยังไม่นับเรื่องอิสระเสรีในการใช้ชีวิตวัยรุ่นอย่างเต็มที่แบบที่เป็นตัวของตัวเองอีก ดังนั้นการเลือกอยู่หอพักจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด “อยู่ได้แน่นะลูก หรือจะไปเช่าคอนโดอยู่เอาไหม” สุดาเอ่ยถามลูกชาย มองๆ ดูภายในห้องแล้ว ถึงห้องจะดูไม่เล็กมาก แต่ก็ไม่กว้างขวางเพียงพอหากต้องอยู่ร่วมกับรูมเมทอีกสองคน “อยู่ได้แม่ จะไปเช่าคอนโดทำไม เดือนละตั้งเป็นหมื่น คอนโดแถวนี้แพงๆ ทั้งนั้น อยู่นี่แหละ ประหยัดดี” แบร์รี่พูด ใจเขาก็อยากอยู่คอนโด แต่ค่าเช่าห้องเดือนละหมื่น ค่าน้ำค่าไฟอีก เดือนๆ หนึ่งก็หลายบาท เขาไม่อยากเพิ่มภาระให้พ่อกับแม่ ถึงแม้ว่าครอบครัวของแบร์รี่จะไม่ได้ยากจน แต่อะไรช่วยประหยัดได้แบร์รี่ก็อยากช่วย ตอนนี้พ่อกับแม่กำลังขยายกิจการ ยังต้องใช้เงินอีกมาก เก็บเงินไว้ให้พ่อกับแม่ทำทุนน่าจะดีกว่า “แต่ถ้าอยู่แล้วลำบาก หรืออยู่แล้วไม่สะดวกสบาย ต้องบอกพ่อกับแม่ทันทีนะ” พนมลูบหัวลูกชายด้วยความรักและความเอ็นดู “ได้ครับ พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ หนูจะดูแลตัวเองอย่างดีเลย” “จ้า ลูกรักของแม่ มาให้แม่หอมก่อนสิ จะไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน” แบร์รี่เดินเข้าไปกอดแม่ แล้วมีพ่อกอดทับสองแม่ลูกอีกที แบร์รี่รู้สึกร้อนที่หัวตา ทั้งๆ ที่กำลังกอดพ่อกับแม่อยู่ตรงนี้ แต่ทำไมถึงรู้สึกคิดถึงได้ก็ไม่รู้ แบร์รี่พยายามข่มน้ำตาไม่ให้ไหล ไม่อย่างนั้นพ่อกับแม่จะเป็นห่วง รีบปั้นหน้ายิ้มกว้างจนแทบไม่เห็นลูกตาดำที่สุกสกาวราวกับดวงดาวบนฝากฟ้าในยามค่ำคืน “ถ้าอย่างนั้นพ่อกับแม่กลับแล้วนะลูก ถ้ามีอะไรก็โทรมานะ” พนมมองลูกชายทิ้งท้ายอีกครั้ง ลึกๆ แล้วก็เป็นห่วง แต่เพราะรู้ว่าโลกภายนอกจะช่วยสอนและทำให้ลูกของเขาได้เรียนรู้เติบโต พนมและสุดาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโลกที่กว้างขึ้น จะช่วยทำให้ลูกของเขาได้เห็นอะไรดีๆ ในตัวเองและกล้าที่จะเผชิญกับหนทางที่เลือก บางครั้งความกล้าหาญก็ต้องการสิ่งเร้ามากระตุ้น ถึงตอนนั้นลูกคงจะกล้าเปิดอกพูดกับพวกเขาตรงๆ วันเปิดเทอมวันแรก แบร์รี่ตื่นแต่เช้าด้วยความตื่นเต้น แม้จะเตรียมตัวตั้งแต่ก่อนนอน แต่ตื่นมาก็ยังกังวลว่าตัวเองจะลืมข้าวของ จนต้องบอกตัวเองว่าให้เลิกย้ำคิดย้ำทำเสียที ก่อนจะออกไปหาอาหารเช้ากินรองท้อง หอพักในตั้งอยู่ตรงกลางทางด้านขวาของมหาวิทยาลัย สะดวกสบายต่อนักศึกษาที่อาจจะเรียนอยู่ในคณะที่อยู่ด้านหน้าสุดหรือด้านหลังสุด บริเวณข้างหอพักก็ยังมีร้านสะดวกซื้อ มีร้านกาแฟ และใกล้ๆ กันก็เป็นโรงอาหารกลาง ตลอดวันหยุดเกือบอาทิตย์ที่ผ่านมา แบร์รี่ได้ทำการสำรวจพื้นที่ทั้งในมหาวิทยาลัยและบริเวณรอบนอกจนพอรู้ว่าที่ไหนมีอะไรบ้าง พอออกมาอยู่หอพัก แบร์รี่ก็ต้องเริ่มเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเอง ปกติอยู่บ้านมีพ่อกับแม่คอยดูแล ถึงจะไม่ได้สุขสบายเหมือนลูกเศรษฐีพันล้าน แต่ผู้เป็นแม่ก็ทำอาหารไว้ให้แบร์รี่กินอิ่มทุกมื้อ ของกินมีแช่ไว้ในตู้เย็นไม่เคยขาด แม้แต่เสื้อผ้านักเรียนแม่ก็รีดเตรียมไว้ให้ ขาดเหลืออะไรพ่อก็หาซื้อมาให้ตลอด ดังนั้นยังมีอีกหลายอย่างที่แบร์รี่ต้องเรียนรู้ที่จะเติบโตด้วยตัวเอง ซึ่งมันก็แลกมากับอิสระที่แบร์รี่โหยหามาตลอด อย่างน้อยๆ แบร์รี่ก็มีอิสระในการแต่งตัว ไม่ต้องเก๊กแมน สามารถใช้เสียงสองเสียงสามคุยกับเพื่อนได้โดยไม่ต้องระมัดระวัง สามารถเป็นตัวของตัวเองได้แบบไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ “เฮ้อ หยุดดราม่าเดี๋ยวนี้!” แบร์รี่บ่นตัวเองเบาๆ ก่อนจะคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นพาดบ่า “จะไปแล้วเหรอแบร์” มิก รูมเมทจากคณะรัฐศาสตร์ถามในขณะที่เจ้าตัวกำลังแต่งตัวอยู่ “อืม จะไปหาอะไรกินก่อนแล้วนั่งรถเวียนไปคณะอะ วันแรกไม่อยากไปสาย” “ขยันสมเป็นเด็กทุนจริงๆ” เฟรม รูมเมทอีกคนเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดนักศึกษาเรียบร้อย ข้อดีอีกอย่างของหอในของมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแห่งนี้ก็คือมีห้องอาบน้ำในตัว เพราะอย่างนี้แบร์รี่จึงไม่ได้รู้สึกว่าการอยู่หอในจะลำบากอะไร อาจจะคับแคบหน่อยเพราะต้องอยู่กับรูมเมทอีกสองคน ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมากๆ “ก็นะ ไปก่อนนะ แล้วเจอกันตอนเย็น” “โอเค” แบร์รี่เดินออกจากหอพัก แวะซื้อชาเขียวเย็นก่อนจะเดินไปที่โรงอาหารกลาง ตอนเช้าๆ แบบนี้นักศึกษาทุกชั้นปีที่พักอาศัยอยู่หอในต่างมาฝากท้องกันที่นี่ คนเยอะใช้ได้ แต่ก็ยังพอมีที่นั่งเหลือให้แบร์รี่ได้นั่งกินอาหารเช้าก่อนจะนั่งรถเวียนไปยังคณะวิศวกรรมศาสตร์ แบร์รี่ไม่ได้อยากเรียนคณะวิศวะฯ สาขาวิศวกรรมยานยนต์เลยด้วยซ้ำ แต่เพราะเพื่อนทั้งสองคนของแบร์รี่ทั้งโอและโชแปงต่างเลือกมาเรียนที่นี่ แบร์รี่ไม่กล้าที่จะเดินตามความฝันของตัวเอง ก็เลยลองชอบชิงทุนดู สรุปว่าได้ ก็เลยเลือกมาเรียนที่นี่ อย่างน้อยก็ยังได้เรียนกับเพื่อนสนิท และความโชคดีชั้นสองคือแบร์รี่ได้เพื่อนใหม่ที่สุดแสนจะกร๊าวใจอย่าง ‘พัช’ แต่น่าเสียดาย มีสามีซะแล้ว แต่ไม่เป็นไร เพราะสามีเพื่อนหล่อมาก แบร์รี่ให้อภัย การเรียนวันแรกไม่มีอะไรมาก แบร์รี่ยังคงรับบทเป็นเลขาประจำกลุ่ม คอยจดคอยจำว่าอาจารย์สั่งงานอะไร หนังสือชีทเรียนต้องไปซื้อที่ไหน และกิจกรรมของคณะมีอะไรบ้าง ไม่มีใครใช้ แต่เป็นความชื่นชอบและความเต็มใจที่จะทำให้ แบร์รี่เป็นคนละเอียดอ่อนมาจนเคยชิน จนบางครั้งผู้เป็นแม่ยังเอ่ยปากเลยว่ามีนิสัยละเอียดเรียบร้อยอย่างกับผู้หญิง ผู้ใหญ่สมัยก่อนคงจะมองแบบนั้น แต่แบร์รี่มองว่านิสัยเหล่านี้ ไม่ว่าจะเพศไหนก็เป็นกันได้ทั้งนั้น เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่จะบังคับเป็นกันได้ แต่ขึ้นอยู่กับนิสัยและความชอบเฉพาะตัวมากกว่า “มันจะเป็นยังไงน้า รับน้องเนี่ย” แบร์รี่พูดขึ้น แอบกังวลไม่น้อยกับการรับน้องของคณะวิศวะ ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าโดยส่วนมากรับน้องกันโหด ระบบโซตัสรุนแรง บอกตามตรงว่าแบร์รี่ไม่ชอบ และคงไม่มีใครชอบ ก็ได้แต่หวังว่ามันจะไม่โหดร้ายจนเกินไปนัก “เป็นยังไงก็เป็น ไม่ตายหรอกน่า” โอพูด “ย่ะ ไม่ตาย ถ้ามึงโดนลงโทษให้วิ่งรอบสนามสักร้อยรอบ กูจะไม่หามกลับ บอกเลย” แบร์รี่พูดกระแทกเสียงใส่อย่างหมั่นไส้ เลยโดนกำปั้นเขกหัวไปที “มึงอ่านนิยายมากไปละอิแบร์ หรือต่อให้กูโดนทำโทษจริง ตัวเท่าลูกหมาอย่างมึงก็แบกกูไม่ไหวหรอก ทำเป็นพูด” “ฮ่าๆๆ” โชแปงกับพัชหลุดหัวเราะออกมาทันที ก็จริงอย่างที่โอพูด แบร์รี่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม ทั้งส่วนสูงและขนาดตัว อาจจะแบกโชแปงได้ แต่ถ้าต้องให้แบกโอหรือพัช ไม่มีทางไหวแน่นอน “ขำไรกันห๊ะ ถึงเราจะเป็นหมา แต่ก็เป็นหมากระเป๋านะ ไซส์เล็ก หิ้วง่าย พกพาสะดวก” “สโลแกนประจำตัวมึงหรือไง อยากรู้จังว่าใครจะมาหิ้วมึงไปเฝ้าบ้าน” “ชิ รำคาญปากมึงอิโอ” “มึงก็เลิกแหย่มันสักทีสิ ตีกันทุกวันเลยพวกมึงสองคนนี่” โชแปงพูดอย่างระอา ตั้งแต่คบกันมาหกปี มัธยมศึกษาปีที่หนึ่งยันตอนนี้ ไม่มีวันไหนที่โอกับแบร์รี่จะไม่ตีกันเลย ความจริงพวกเขาทั้งสามคนก็แหย่กันเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ที่หนักสุดก็เป็นโอเนี่ยแหละที่ชอบแหย่ให้แบร์รี่หงุดหงิด “ไปเลย ชิ่วๆ มึงไม่ใช่เพื่อนกูแล้ว นิสัยไม่ดี ตอนนี้กูมีเพื่อนแค่สองคนคือโชแปงกับพัช” แบร์รี่แลบลิ้นใส่โอ แล้วก็ลุกจากที่นั่งไปนั่งแทรกกลางระหว่างโชแปงกับเพื่อนใหม่รูปหล่อ สอดแขนทั้งสองข้างคล้องแขนเพื่อนเอาไว้แล้วทำลอยหน้าลอยตาเย้ยไอ้เพื่อนใจทราม “ก็ได้แบร์ อย่ามาง้อกูนะ เวลาโดนผู้ชายเทอย่าโทรเรียกกูนะ” “ไม่ง้อมึงหรอกค่ะ เดี๋ยวกูโทรเรียกพัชแทนก็ได้ กูมีพ่อคนใหม่แล้ว ไม่ง้อพ่อเก่าๆ อย่างมึงหรอก” ว่าแล้วก็หันไปทำหน้าอ้อนใส่เพื่อนใหม่ ดีกรีเป็นอดีตเด็กช่างเลยทีเดียว รับรองว่าปกป้องดูแลน้องแบร์ได้ดีกว่าไอ้เพื่อนเก่าขี้แกล้งแน่นอน น้องแบร์มั่นใจ “หึหึ อืม” พัชไม่อยากขัดใจเพื่อน ก็เลยเออออห่อหมกตามน้ำไป “แหม พอมีคนให้ท้ายละเอาใหญ่นะ” “ได้เวลาไปเข้ากิจกรรมรับน้องแล้ว รีบไปเถอะ จะได้ไม่โดนทำโทษ” โชแปงพูดขึ้น จากที่เถียงๆ กันอยู่ก็หยุดทุกอย่างเอาไว้แต่เพียงเท่านี้ แล้วรีบพากันเดินไปที่ใต้ตึกจุดนัดรวมเด็กปีหนึ่ง ใกล้ๆ กันนั้น มีกลุ่มนักศึกษาชายกลุ่มหนึ่งนั่งรอเวลาเข้ากิจกรรมรับน้องเช่นกัน ‘คนแรก’ และเพื่อนอีกสี่คนนั่งอยู่ตรงนี้มาสักพัก ระหว่างรอเวลาเข้ากิจกรรม พอไม่มีอะไรทำ บางคนก็ฟุบหลับ บางคนก็นั่งเล่นโทรศัพท์มือถือ เล่นเกมไปตามประสา เว้นก็แต่คนแรกที่นั่งมองบรรยากาศไปเรื่อย จนกระทั่งเห็นเพื่อนร่วมรุ่นกลุ่มหนึ่งเดินมานั่งที่โต๊ะม้าหินอ่อนใกล้ๆ จากจุดที่แรกนั่ง สามารถมองกลุ่มเพื่อนสี่คนที่มาใหม่ได้อย่างชัดเจน แต่พวกนั้นอาจจะไม่เห็นเขา เพราะโต๊ะที่แรกนั่งตั้งอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ทีแรกก็แค่มองดูไปเรื่อย ไม่ได้คิดว่ามีอะไรน่าสนใจ จนกระทั่งคนทั้งสี่คนเริ่มพูดคุย โดยเฉพาะคนที่ตัวเล็กที่สุดที่พูดเจื้อยแจ้วเสียงใส ตีกับเพื่อนคนนั้นทีคนนี้ที ก่อนจะทำหน้าอ้อนตาใสใส่เพื่อนอีกคน แรกจำ‘พัช’ ได้ คนที่ออกไปเต้นแล้วแนะนำตัวว่าเป็นเด็กช่าง หน้าตาของมันขวางโลก แต่ก็มีความเด๋อด๋าในเวลาเดียวกัน เหมือนมันแค่ทำหน้าโหดขู่ไปอย่างนั้น เพราะภายใต้ใบหน้านิ่งๆ ที่ทำตาขวางอยู่ตลอดเวลา แรกเห็นความมึนงงไม่ค่อยรู้ความอยู่ในนั้นด้วย แรกไม่รู้ว่าสังคมเด็กช่างเป็นยังไง แต่มันก็คงแตกต่างจากที่นี่ ก็เหมือนเด็กปีหนึ่งทั่วๆ ไป ที่อยู่กับโรงเรียนมัธยมมาหลายปี พอมาเป็นนักศึกษาก็มีอะไรที่ต้องปรับตัวอีกเยอะ ตัวเขาเองก็ด้วยเช่นกัน ดังนั้น เขาถึงได้รู้สึกว่าถึงมันจะเป็นเด็กช่างมาก่อน ก็ไม่น่าจะมีพิษภัยอะไร ดูจากการที่ปล่อยให้คนที่โฆษณาตัวเองว่าเป็นหมากระเป๋า ตัวเล็ก หิ้วง่าย พกพาสะดวกออดอ้อนออเซาะโดยไม่ว่าหรือแสดงอาการรำคาญเลยสักนิด ‘ไปเลยไอ้โอ ไปๆ ชิ่วๆ มึงไม่ใช่เพื่อนกูแล้ว นิสัยไม่ดี ตอนนี้กูมีเพื่อนแค่สองคนคือโชแปงกับพัช’ ‘ก็ได้แบร์ อย่ามาง้อกูนะ เวลาโดนผู้ชายเทอย่าโทรเรียกกูนะ’ ไม่รู้ว่าเพื่อนของ ‘แบร์’ อดทนได้ยังไง คำพูดคำจาน่ามันเขี้ยวมาก ถ้าเขาเป็นคนที่ชื่อโอ คงจะคว้าคนตัวเล็กมาขย้ำให้สิ้นฤทธิ์สักทีสองที เมื่อได้ที่ทิ้งสายตาแก้เบื่อ เวลาก็เหมือนจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีคนตัวเล็กและกลุ่มเพื่อนก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากบริเวณ “มึงได้ยินที่กูถามไหมไอ้แรก มึงเหม่ออะไร มองอะไรอยู่วะ” เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นถามเพื่อนที่เหมือนจะนั่งใจลอยมาสักระยะ “มองอะไรก็เรื่องของกูไหม” แรกพูด ก่อนจะก้มดูนาฬิกา ใกล้ได้เวลาที่ต้องไปรับน้อง “เอ้า เผื่อมึงมองสาวสวยๆ กูจะได้มองด้วย” บอย พูดยิ้มๆ “เสือก” แรกก็ด่ากลับไปเพียงสั้นๆ บอยหันไปยักคิ้วกับ แก๊ป ทันที เพราะรู้กันดีว่าอาการแบบนี้คือมีพิรุธ ต่างจาก นัท เพื่อนอีกคนที่นั่งนิ่งไม่ได้ร่วมวงเย้าแหย่ “วันนี้หลังเลิกรับน้องไปหาข้าวกินกันไหม กูนัดกับขวัญไว้” นัทถาม “ไม่รู้ เดี๋ยวกูดูก่อน ไปกันได้แล้วพวกมึง จะได้เวลารับน้องละ” แรกพูดอย่างไม่ใส่ใจกับคำชวน “ไอ้วา ตื่น ได้เวลาไปเข้ารับน้องแล้ว!” บอยเขย่าตัวเพื่อนที่ฟุบหลับให้ตื่น จากนั้นจึงพากันเดินไปลงชื่อเข้ากิจกรรมรับน้อง การเข้ากิจกรรมรับน้องดีกว่าที่แรกคิด ไม่ว่าจะด้วยเพราะเหตุผลว่าอยากให้การรับน้องสร้างสรรค์ขึ้น หรืออธิการบดีมหาวิทยาลัยเป็นห่วงว่าหลานของตัวเองที่เรียนคณะวิศวะจะโดนรับน้องหนัก ถึงได้มีคำสั่งลงมาว่าให้ทุกคณะรับน้องกันอย่างสร้างสรรค์ ให้ยกเลิกระบบโซตัสกดขี่ข่มเหง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเหตุผลข้อไหน แรกก็คิดว่ามันดีทั้งนั้น ระหว่างรับน้อง แรกก็ทำกิจกรรมไปด้วย บางจังหวะก็แอบเหลือบมองคนช่างจ้อไปด้วย บนป้ายชื่อเล็กๆ บอกว่าคนตัวเล็กนั้นชื่อ ‘แบร์รี่’ แต่ขอเรียกแบร์เฉยๆ แล้วกัน สั้นๆ แต่น่ารักดี “พวกมึง สรุปจะไปกินข้าวกับพวกกูไหม ขวัญกำลังจะออกจากบ้าน” หลังจากจบกิจกรรมรับน้องในวันแรก นัทก็เอ่ยปากถามเพื่อนอีกครั้ง เขาทำเป็นถามรวมๆ แต่ความจริงอยากเจาะจงให้ใครคนใดคนหนึ่งไปให้ได้ “ไปดิ หิวข้าวว่ะ อยากกินชาบู” แก๊ปบอกพลางลูบท้อง “เออ ดีๆ กูก็อยากกิน” “กูไม่ไปนะ” แรกบอก สอดมือล้วงกระเป๋ากางเกง สองขาก้าวเดินไปที่หน้าคณะ เพื่อไปที่ลานจอดรถ ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่ม มีเพียงแสงไฟที่ติดตามทางเดินคอยให้แสงสว่าง พอทำให้มองเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่เดินอยู่ข้างหน้าไม่ใกล้ไม่ไกล คนอื่นอาจจะเห็นว่าแรกแค่มองทางเดินที่ทอดตรงไป ทว่ามีเพียงเจ้าตัวที่รู้ ว่าสายตาของเขาจับจ้องที่แผ่นหลังของคนตัวเล็กที่กระโดดไปเดินข้างคนนั้นทีคนนี้ที ซนเหมือนกันนะ “มึงจะรีบกลับไปไหนวะไอ้แรก ไปกินข้าวด้วยกันก่อนดิ” บอยถามด้วยความสงสัย เพราะปกติแรกไม่ใช่คนอยู่ติดบ้าน และอันที่จริงตอนนี้เพื่อนของเขาก็ออกมาอยู่คอนโดแล้วด้วย “นั่นดิ ไปหาไรกินกันก่อนแล้วค่อยกลับคอนโดก็ได้” “พวกมึงไปเถอะ วันนี้กูว่าจะกลับบ้านไปกินข้าวกับพ่อแม่” แรกอ้างถึงบุพการี เพื่อไม่ให้เพื่อนเซ้าซี้ต่อ “มึงไม่ได้นอนคอนโดเหรอวะ” วาถามด้วยความสงสัย เพราะบ้านแรกอยู่ไกลจากมหาลัย ที่มาอยู่คอนโดก็เพื่อให้สะดวกเวลามาเรียน “เปล่า” “อ้าว” “กูจะกลับไปกินข้าวบ้านก่อนแล้วค่อยกลับคอนโด” “พ่อแม่มึงเรียกตัวเหรอวะ” “เออ จบไหม จบยัง” แรกทำตาเข้มถามเพื่อนเสียงดุด้วยความรำคาญ “เออๆๆ พวกกูก็แค่สงสัย ทำเป็นเข้มไปได้ ไปๆ งั้นก็แยกกันตรงนี้เลยแล้วกัน” ในเมื่อโน้มน้าวไม่ได้ เพื่อนทั้งสี่คนของแรกก็เลยได้แต่โบกมือลาแล้วแยกกันที่หน้าคณะ เนื่องจากจอดรถไว้คนละที่ ชายหนุ่มร่างสูงยังคงยืนโดดเด่นอยู่หน้าคณะวิศวะ มัวคุยกับเพื่อนแป๊บเดียว คนตัวเล็กกับกลุ่มเพื่อนก็หายไปเสียแล้ว อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดายอยู่เล็กน้อย จึงหมุนตัวจะเดินไปที่ลานจอดรถ ทว่าคนที่หายตัวไปเมื่อตะกี้กลับมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า แรกเดินเข้าไปใกล้คนที่กำลังค้นหาอะไรสักอย่างในกระเป๋า กับเสียงบ่นเบาๆ อย่างไม่สบอารมณ์ “กระเป๋ามันใบใหญ่ไปหรือไงนะ หาโทรศัพท์ไม่เจอ” “เป็นอะไร” แรกถาม “อ๊ะ!” คนที่กำลังหาของถึงกับสะดุ้งเงยหน้าคนที่มาไม่ให้สุ้มให้เสียง แถมยังตัวใหญ่ยังกับยักษ์ปักหลั่น จนเกิดเงาดำทาบทับลงมาบนร่างกายของคนตัวเล็กเสียเกือบมิด “มีอะไรให้ช่วยไหม” แรกปรับเสียงให้ซอฟต์และนุ่มนวลขึ้น ให้เพื่อนร่วมคณะหายตกใจ แบร์รี่มองพิจารณาคนที่อยู่ตรงหน้า จุดที่ยืนอยู่ไม่ค่อยมีแสงไฟ จึงค่อนข้างมืด แต่ก็ยังพอเห็นรางๆ ว่าผู้ชายตรงหน้าเป็นเด็กปีหนึ่งคณะเดียวกับตัวเอง และถึงแม้ว่ามันจะมืด แต่แบร์รี่ก็ยังสังเกตเห็นว่าคนตรงหน้าหน้าตาดีเลยทีเดียว ทำไมคนหน้าตาดีแบบนี้ แบร์รี่ถึงไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนนะ “ว่าไง มีอะไรให้ช่วยไหม” “คือ เราทำกุญแจห้องตกพื้น แต่มองไม่เห็น” แบร์รี่พูดเสียงอึกอัก ไม่กล้าสบตาคนหล่อ ใจมันหวิวๆ ยังไงไม่รู้ แบบนี้เขาเรียกว่าโรคภูมิแพ้คนหล่อหรือเปล่านะ ต้องใช่แน่ๆ ใจถึงเต้นแรงขึ้นๆ เหมือนจะเป็นโรคหัวใจ “จะหามือถือมาส่องไฟใช่ไหม ใช้ของเราก็ได้” แรกล้วงหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมากดปุ่มไฟฉาย แล้วส่องลงไปที่พื้น หัวใจดวงน้อยๆ เต้นเร็วขึ้นไปอีก คนอะไร หล่อแล้วยังใจดี “เจอไหม” “อะ อ่อ แป๊บนึงนะ” เสียงทุ้มเข้มดังเรียกสติ แบร์รี่รีบก้มหน้าลงหากุญแจห้อง ทีแรกก็ก่นด่าตัวเองที่ควงกุญแจเล่นจนมันหลุดมือ ตอนนี้ว่าไม่ได้แล้ว เพราะกุญแจเจ้าปัญหาทำให้น้องแบร์ได้เจอคนหล่อ “ใช่อันนี้หรือเปล่า” แรกกวาดสายตาเจอกับกุญแจดอกสีเงินก็ก้มลงไปหยิบแล้วยื่นให้แบร์รี่ดู “อ่า ใช่ๆ อันนี้แหละ” แบร์รี่รีบหยิบมาดูแล้วยิ้มอย่างดีใจ ถ้าหายไปก็ต้องเสียเงินซื้อใหม่ สู้เก็บเงินไว้ซื้อขนมกินยังดีกว่า “อยู่หอในเหรอ” แรกถาม “อืม ขอบใจนะที่ช่วยหา” “ไม่เป็นไร คราวหน้าก็ระวัง” “อืม งั้น งั้นเราไปก่อนนะ” แบร์รี่บอกเสียงตะกุกตะกัก “กลับดีๆ” แม่เจ้า คนหล่อเขาบอกให้หนูกลับดีๆ ด้วยแหละ ใจเหลวไปหมดแล้วแม่ ฮือออ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม