บทที่ 2 แรกสัมผัส

3327 คำ
คณะวิศวะมีประชากรแต่ละชั้นปีอยู่ที่สองพันห้าร้อยถึงสามพันคน ขึ้นอยู่กับว่าชั้นปีไหนมีนักศึกษาลาออกมากน้อยเท่าไหร่ ซึ่งนับว่าไม่ใช่จำนวนที่น้อยเลย ทำให้การมองหาใครสักคนที่ตัวเองอยากเห็นหน้าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ยิ่งถ้าไม่ได้เรียนอยู่ในชั้นปีเดียวกันหรือสาขาเดียวกันแล้ว จะมีโอกาสได้เจอกันก็ตอนเรียนวิชารวมเท่านั้น ซึ่งนั่นก็หมายความว่าต้องกวาดตามองนักศึกษาร่วมสามพันคนในห้องประชุมขนาดใหญ่ ไม่ใช่เรื่องง่าย แบร์รี่จึงไม่ค่อยได้เห็นหน้าเจ้าชายขี่ม้าขาวที่โผล่มาช่วยหากุญแจในความมืด อาทิตย์หนึ่งจะได้มองหน้าหล่อๆ ดุๆ นั้นเพียงแค่สามสี่ครั้งเท่านั้น แต่ก็ทำได้แค่มอง ไม่มีโอกาสที่จะได้คุยกันอีกเลยสักครั้ง และคิดว่าใครอีกหลายคนก็คงจะรู้สึกและมีอาการเช่นเดียวกับแบร์รี่ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนหน้าตาดีมักเป็นที่จับตามองเสมอ “ชื่อคนแรก เป็นลูกชายคนโตของเจ้าของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างชื่อดัง เรียกได้ว่า หล่อ รวย ชาติตระกูลดี และที่สำคัญ ไม่มีข่าวเจ้าชู้ให้ได้ยินเลย” “จริงเหรอแก หล่อๆ แบบนี้ ไม่มีทางไม่เจ้าชู้หรอก” “ไม่รู้อะ แต่ไม่เคยมีใครได้ยินข่าว เด็กโรงเรียนเก่าของแรกบอกว่า แรกมีแฟนหลายคน แต่ก็คบทีละคนตลอด คบไม่นานก็เลิก” “ทำไมเลิกอะ” “เขาว่าไปกันไม่ได้ ความชอบไม่ตรงกัน ซึ่งส่วนมากก็เลิกกันด้วยดี” “ถามจริง? ไม่น่าเชื่อเลย” “อันนี้ก็ไม่รู้ ได้ยินเขาพูดมา” แบร์รี่นั่งฟังนั่งเก็บข้อมูลของคนหล่อ ก็ไม่รู้ว่าที่เพื่อนๆ ในคณะพูดถึงแรกมันจะจริงแท้แค่ไหน เพราะสุดท้ายแบร์รี่ก็ทำได้แค่รู้จักตัวตนของแรกผ่านคำพูดของคนอื่นๆ และคิดว่าชาตินี้อาจจะไม่มีโอกาสได้เข้าไปทำความรู้จักกับผู้ชายคนนั้นจริงๆ เพราะเขาเป็นคนที่ค่อนข้างจะ...เกินเอื้อม ขนาดวันนี้โชคดีได้ทำกิจกรรมรับน้องอยู่กลุ่มเดียวกัน ก็ยังไม่มีโอกาสได้คุยกันเลยสักคำ ทำได้แต่แอบมองหน้าเขา พอเขามองกลับมา แบร์รี่ก็รีบหลบสายตา กลัวคนหล่อจะรู้ว่าตัวเองแอบมอง แรกเห็นแบร์รี่มีอาการเลิ่กลั่กแล้วหันหน้าหนีไปคุยกับเพื่อน มุมปากก็กระตุกยิ้มจางๆ จนแทบจะมองไม่เห็น มีเพียงเจ้าตัวที่รู้ว่าตัวเองกำลังอารมณ์ดี ไม่เนียนเลยนะ แอบมองแล้วรีบหันหน้าขวับจนเส้นผมขยับระกรอบหน้า กิริยาการเคลื่อนไหวแบบนี้ มีหรือที่เขาจะมองไม่ออกว่าคนตัวเล็กแอบมอง “รอบต่อไปนะคะ ฟังสัญญาณเพลง แล้วเริ่มส่งกะหล่ำปลี เพลงหยุดแล้วกะหล่ำปลีตกอยู่ที่ใครก็แกะกระดาษแล้วทำตามคำสั่ง พี่ๆ ดูน้องด้วย นะคะ เอาล่ะ เตรียมตัว เริ่ม!” เกมสันทนาการเพื่อกระชับมิตรและละลายพฤติกรรมเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เสียงร้องเพลงและเสียงกลองดังครึกครื้น ก้อนกระดาษที่ออกแบบคล้ายกับกะหล่ำปลีถูกส่งต่อเป็นวงกลมไปด้วยความรวดเร็ว ไม่มีใครอยากถือก้อนระเบิดปลอมไว้ในมือ เพราะไม่รู้ว่าจะมีคำสั่งแผลงๆ อะไรแฝงอยู่หรือเปล่า เกมการละเล่นยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ และเมื่อลูกกะหล่ำปลีเดินทางมาถึงแบร์รี่ เสียงเพลงก็หยุดลงอย่างฉับพลัน มือเรียวสีน้ำผึ้งนวลเนียนกำลังจะส่งก้อนกระดาษไปให้เพื่อน ทว่าก็ไม่ทัน ได้แต่ถือของร้อนด้วยมือที่สั่นระริก “เอาละค่ะน้องๆ ใครที่มีกะหล่ำปลีอยู่ในมือ แกะใบนอกสุดแล้วอ่านคำสั่งให้พี่ที่คุมกลุ่มฟังนะคะ” “แกะเลยค่ะน้องแบร์” แบร์รี่มองหน้าพี่กิจกรรมแล้วก็ก้มมองของที่อยู่ในมือ ลอบกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะแกะกระดาษใบนอกสุดออก คลี่กระดาษให้เรียบ แล้วอ่านคำสั่งที่เขียนอยู่บนนั้น “นับไปทางขวาของตัวเองถึงเพื่อนคนที่สาม ให้ประแป้งพร้อมพูดชมเพื่อนว่า ‘เธอน่ารักจัง’” แบร์รี่อ่านคำสั่งก่อนจะมองไปทางขวาของตัวเองแล้วนับไปตามลำดับจนถึงเพื่อนคนที่สาม และเพื่อนคนนั้นก็คือ...คนแรก แม่เจ้า ถามจริง! นับผิดหรือเปล่านะ แบร์รี่ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง แถมคนหน้าเข้มก็เหมือนจะรู้ว่าเป็นตัวเอง ถึงได้จ้องเอาๆ ไม่วางตา คงไม่ใช่ว่ากำลังส่งกระแสจิตอาฆาตมาให้น้องแบร์หรอกนะ คนหล่ออาจจะไม่อยากโดนประแป้งจนหน้าขาวโบ๊ะก็เป็นได้ แต่น้องแบร์ไม่ได้ตั้งใจเลยนะ รุ่นพี่เขาเป็นคนเขียน น้องแบร์แค่ซวยส่งกะหล่ำปลีไม่ทันแค่นั้นเอง “นี่ค่ะแป้ง แบมือค่ะน้องแบร์ เสร็จแล้วเอาไปปะแก้มน้องแรกทั้งสองข้างนะคะ แล้วก็พูดชมดังๆ ให้เพื่อนๆ ทุกคนได้ยินด้วย” แบร์รี่ได้แต่แบมือรับแป้งเด็กที่เทมาเต็มฝ่ามืออย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะคุกเข่า ค่อยๆ ขยับเข้าไปหาเป้าหมายที่นั่งทำหน้าดุ ดุจนอยากจะเอามือที่มีแป้งปะเข้ามาที่หน้าตัวเองแทน “ขอโทษนะ” แบร์รี่พูดเบาๆ แต่แรกไม่พูดอะไร นอกจากใช้สายตามองจ้องเขม็ง จนมือไม้ของคนตัวเล็กสั่นเทาไปหมด “ทาแป้งสิ” เมื่อเห็นว่าแบร์รี่ไม่ยอมทาเสียที แรกก็เลยพูดเบาๆ ให้เจ้าตัวลงมือ เกือบจะหลุดยิ้มหลายครั้ง แต่ก็ต้องเกร็งหน้าเอาไว้ เขาไม่ชอบแสดงสีหน้าและอารมณ์เวลาอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆ สักเท่าไหร่ “อ่า” แบร์รี่พยักหน้าแล้วประกบมือที่มีแป้งเข้าหากัน เบี่ยงมือไปด้านข้างเล็กน้อย แล้วถูมือทั้งสองข้างให้แป้งบางส่วนร่วงลงไปอยู่ที่พื้น จากนั้นก็หันกลับมาแล้วแนบฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนแก้มตอบ “อย่าเพิ่งเอามือออกค่ะน้องแบร์ ถูวนๆ ด้วย ทาให้ทั่วๆ แล้วก็พูดตามในกระดาษเลยค่ะ” “เอ่อ ค่ะ” แบร์รี่ขยับมือตามที่รุ่นพี่บอก แม้ว่าหัวใจจะเต้นแรงมากก็ตาม พร้อมกับเอ่ยประโยคที่ต้องพูดกับคนตรงหน้า “เธอน่ารักจัง” แรกมองคนที่กำลังวนฝ่ามืออยู่บนแก้มของตัวเอง สัมผัสที่เนื้อแก้มนุ่มนวลแผ่วเบา ริมฝีปากอิ่มอมชมพูมันวาวเม้มเข้าหากันแน่นหลังจากที่พูดจบ ดูคล้ายกำลังประหม่า คนขี้เขินไม่กล้าสบตา มองแวบๆ ก็เสหันไปมองเพื่อนคนอื่น ต่างจากแรกที่จ้องมองนิ่งๆ ไม่มีหลบสายตา “ไม่ได้ยินเสียงเลยค่ะ ขออีกที” พี่กิจกรรมเอามือป้องหูเอียงใบหน้า แสดงท่าทางว่าไม่ได้ยินประโยคก่อนหน้าที่แบร์รี่พูด แบร์รี่ก็เลยต้องกลั้นใจพูดไปอีกรอบให้มันจบๆ ไป “เธอน่ารักจัง!” มุมปากหยักกระตุกยิ้มแล้วยักคิ้วใส่แบร์รี่ ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบขยับกลับไปนั่งที่เดิม เพื่อดำเนินกิจกรรมต่อ ไม่มีใครติดใจกับสถานการณ์เมื่อสักครู่ เพราะตลอดอาทิตย์กว่าๆ ที่ผ่านมา เด็กปีหนึ่งเกินกว่าครึ่งต้องผ่านช่วงเวลาที่น่าอายและตลกขบขันในกิจกรรมรับน้องจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว หลังจบกิจกรรม รุ่นพี่ทยอยปล่อยนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งทีละแถวไปเซ็นชื่อออกจากกิจกรรม เพื่อนๆ คนอื่นของแบร์รี่ได้ลุกขึ้นไปเซ็นชื่อออกก่อน แบร์รี่ขยับปากบอกกับเพื่อนเบาๆ ว่าให้รอด้วย ถัดจากนั้นถึงจะเป็นคิวของตัวเอง แบร์รี่ไล่สายตาหาชื่อตัวเองบนกระดาษ ตรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วนไม่ให้ลงชื่อผิดช่อง จะได้ไม่ต้องเสียเวลาลบและทำให้คนอื่นต้องลงชื่อกลับบ้านช้าไปด้วย แต่ดูเหมือนการตรวจทานของแบร์รี่จะช้ากว่าใจใครบางคน เสียงเร่งเร้าจากด้านหลังจึงดังขึ้น “เฮ้ยตุ๊ด เขียนเร็วๆ ดิ คนอื่นรออยู่” คนที่อยู่ในบริเวณได้ยินกันทั่ว แบร์รี่หันไปมองด้วยความไม่พอใจ แต่ด้วยไม่อยากมีเรื่อง ก็เลยไม่ได้พูดสวนกลับไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เพื่อนร่วมรุ่นคนนี้พูดจาไม่ดีใส่ แต่เพราะว่าพ่อเป็นคนใหญ่คนโต จึงชอบทำกร่างใส่คนอื่นไปทั่วอย่างไม่เกรงกลัว แบร์รี่รีบเซ็นแล้วรีบออกจากแถว ถึงตัวเขาไม่อยากมีเรื่อง ทว่าเพื่อนของแบร์ไม่คิดอย่างนั้น พัชหรือเรียกอีกชื่อว่า ซ่า ซึ่งเป็นชื่อเล่นที่แท้จริงมองจ้องหน้าคนปากเสียอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยสายตาที่พร้อมบวกเต็มที่ “อะไร มองหน้ากูทำไม เรียกเพื่อนมึงว่าตุ๊ดแค่นี้ไม่พอใจเหรอ ก็มันเป็นตุ๊ดจริงๆ นี่หว่า ฮ่าๆๆ” ไม่ใช่แค่ซ่าที่ไม่พอใจ คนที่ต่อแถวอยู่ด้านหลังอย่างแรกก็ไม่พอใจเช่นกัน ตุ๊ดไม่ใช่คำหยาบ เป็นคำเรียกเพศสภาพเหมือนชายและหญิง แต่น้ำเสียงและการกระทำของคนที่ห้อยป้ายชื่อว่า ‘น้องโน้ต‘ ดูจะหยามเกียรติคนตัวเล็กเป็นอย่างมาก ยังดีที่แบร์รี่มีเพื่อนที่พร้อมจะกางปีกปกป้อง แรกจึงรู้สึกเบาใจอย่างบอกไม่ถูก แอบชะงักไปเล็กน้อยกับความคิดของตัวเองว่าทำไมต้องเป็นห่วง ทั้งๆ ที่ไม่ได้สนิทหรือรู้จักกัน แต่แรกก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ถ้าไม่รู้ ก็ปล่อยให้มันเป็นไป คิดหาคำตอบไปก็เท่านั้น ยังไงก็ไม่รู้อยู่ดี “หมั่นไส้ไอ้โน้ตว่ะ ถ้าไม่มีพ่อมันคุ้มกะลาหัว อยากรู้ว่าจะปากเก่งปากดีได้แบบนี้ไหม” แก๊ปมองตามหลังลูกนักการเมืองด้วยสายตาขุ่นเคือง ไม่ใช่เพราะเหตุการณ์เมื่อสักครู่ แต่เพราะเคยมีปากเสียงกันวันปฐมนิเทศเรื่องที่จอดรถ แก๊ปที่ถูกหาว่าแย่งที่จอดถูกโน้ตอวดเบ่งวางอำนาจบาตรใหญ่ใส่ จึงรู้สึกไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะอีกฝ่ายมีอำนาจในมือมากกว่าที่จะไปต่อกร “ช่างเถอะ สักวันเดี๋ยวมันก็ได้เจอของจริง” วาพูด แรกจดชื่อโน้ตไว้ในใจ เมื่อไหร่ก็ตามที่คนคนนี้ล้ำเส้นเขา ก็คงได้ลองกันสักตั้ง แต่ถ้าไม่ ตัวเขาเองก็คงไม่อาจแกว่งเท้าหาเสี้ยน เพราะแรกไม่อยากให้ที่บ้านต้องเดือดร้อนเพราะความใจร้อนวู่วาม จะทำอะไร ก็คงต้องปรึกษาหัวหน้าครอบครัวอย่างผู้เป็นพ่อเสียก่อน ความน่าสนใจของกิจกรรมรับน้องที่นักศึกษาหลายคนต่างรอคอย คงหนีไม่พ้นการเฟ้นหาดาวเดือนของแต่ละคณะ รุ่นพี่ให้เด็กปีหนึ่งเขียนชื่อคนที่ตัวเองอยากให้เป็นดาวและเดือน ซึ่งคนที่แบร์รี่จะเขียนชื่อลงไปไม่ใช่ซ่า ถึงจะอยากให้เพื่อนเป็น แต่แบร์รี่มีคนที่อยากให้เป็นมากกว่า ทำไงได้ล่ะ ใครใช้ให้ซ่าชิงมีสามีไปก่อน ในเมื่อไม่โสดแล้ว น้องแบร์ก็ต้องเลือกผู้ชายคนอื่นสิ “อย่าใส่ชื่อกูนะพวกมึง บอกไว้ก่อน ห้าม” ซ่าบอกกับเพื่อน แล้วก้มหน้าเขียนชื่อใครสักคนลงไปในกระดาษ ก่อนจะพากันไปใส่ในกล่อง ถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนหลายคนพูดว่าซ่าเหมาะแล้วก็มีคนเห็นพ้องตาม ซ่าคงไม่หัวเสียแบบนี้ “ทำไมถึงไม่อยากเป็นขนาดนั้น” แบร์รี่ถาม “ไม่อยากเป็นก็คือไม่อยากเป็น ส่งกูไปก็คือแพ้ร้อยเปอร์เซ็นต์” “มึงไม่อยากเป็นใช่ไหมไอ้ซ่า” โอถามเพื่อนเพื่อให้แน่ใจ “เออ ไม่อยากเป็น” “โอเค งั้นใส่ชื่อมึงนั่นแหละ ไอ้โช ใส่ชื่อไอ้ซ่าไปเลย” “ไอ้เหี้ยโอ อย่าใส่ชื่อกู! โช มึงอย่าทำร้ายกู” “กูไม่ทำร้ายมึงหรอกเพื่อนรัก” “แน่นะมึง” “ไม่แน่ กูหลอก” “ไอ้เพื่อนเลว กูเกลียดพวกมึง!” “ฮ่าๆๆ” ถึงแม้ว่าแบร์รี่ โชแปง และโอจะไม่ได้เขียนชื่อของซ่าลงไป แต่ว่าคนอื่นก็เสนอชื่อซ่าอยู่ดี ทำให้เพื่อนสุดหล่อเดินหน้ามุ่ยไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ เมื่อรุ่นพี่ประกาศรายชื่อเรียกตัวว่าที่ดาวทั้งสิบคนและเดือนอีกสิบคน หนึ่งในนั้นก็มี ‘แรก’ คนที่แบร์เขียนชื่อส่ง แบร์ก็ไม่รู้ว่าแรกอยากจะเป็นเดือนไหม คนที่หล่อกว่าและเป็นขวัญใจชาวคณะมากกว่าก็มี แต่ที่แบร์ใส่ชื่อคนแรก ก็คงเพราะชายหนุ่มเคยมีน้ำใจช่วยหากุญแจหอพัก นี่คงเป็นการตอบแทนน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่แบร์รี่ทำให้ได้ มัวแต่คิดอะไรเพลินๆ สายตาก็เลยวางทิ้งไว้ที่คนในความคิด รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่สายตาคมมองจ้องกลับมา เป็นอีกครั้งที่แบร์รี่รีบหันรีหันขว้างทำหน้าไม่ถูก บ้าเอ้ย แอบมองดีๆ ไม่เป็นหรือยังไงห๊ะอิแบร์! ต้องให้เขาจับได้ทุกทีสิน่า “มึงว่าใครจะได้เป็นวะ” “ใครไม่รู้ ที่กูรู้คือไอ้ซ่าไม่ได้เป็นแน่นอน ดูมันเถียงรุ่นพี่ สงสัยจะไม่อยากเป็นจริงๆ” โชแปงส่ายหัวให้กับความห้าวเกินพิกัด ไม่มีเด็กปีหนึ่งคนไหนเถียงรุ่นพี่ได้ไฟแลบเท่าไอ้ซ่าอีกแล้ว ไม่มี “แต่กูว่าพี่กราฟเขาอยากได้ไอ้ซ่านะ” แบร์รี่พูด สังเกตมาตั้งแต่วันแรกที่รับน้องแล้ว แววตาของพี่ระเบียบปีสี่มองจ้องเพื่อนเขาไม่วางตา สายตาของพี่กราฟคอยแต่จะมองหาซ่า ซึ่งแบร์รี่มองว่ามันไม่ปกติ เหมือนที่แบร์รี่ชอบแอบมองแรก เพราะว่าชอบ ถึงได้มอง “อยากได้แบบไหนวะ” โอถาม “แบบที่มึงกับกูก็รู้ๆ กันนั่นแหละ” แบร์รี่กลอกตาหนึ่งที “แต่อยากได้ไปก็เท่านั้น ไอ้ซ่ามันมีผัวแล้ว” โอพูด “ก็จริง ไม่ว่าจะอยากได้ไปเป็นแฟน หรืออยากได้ไปเป็นเดือน ก็หมดสิทธิ์จ้ะ” แบร์รี่พูดยิ้มๆ เพราะพอนึกถึงหน้าของพี่ปราบ หัวใจมันก็อิ่มเอม อยากจะพูดว่าผัวเพื่อนก็เหมือนผัวเรา แต่ก็ทำไม่ได้ ยังไม่อยากกินบาทาของอดีตเด็กช่าง ถ้าโดนซ่าเตะ มีหวังไส้แตกแน่นอน ยังไงผัวเพื่อนก็คือผัวเพื่อนแหละนะ ส่วนเราก็ต้องหาผัวของตัวเองต่อไป “เป็นไงบ้างวะไอ้ซ่า” โชแปงถามเมื่อซ่าเดินกลับมานั่งที่เดิมหลังจากที่คุยกับรุ่นพี่เสร็จ รวมไปถึงคนอื่นๆ ด้วย แบร์รี่เหลือบมองแรกนิดๆ คนตัวสูงเดินผ่านไปนั่งข้างหลัง อยากจะหันไปดูว่าเขานั่งอยู่ตรงไหนแต่ก็ไม่กล้า แค่นี้ก็เสียอาการให้เขายิ้มล้ออยู่บ่อยๆ จนไม่กล้าสู้หน้าแล้ว แบร์เห็น ไม่ใช่ว่าไม่เห็น เวลาแรกจับได้ว่าเขาแอบมอง มุมปากหยักจะกระตุกยิ้มขึ้นนิดหนึ่ง จากนั้นมันก็จะกลับไปราบเรียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เขาบอกว่าจะให้โหวตกันอีกที” ซ่าตอบหน้ายุ่ง “เพราะพวกมึงแหละใส่ชื่อกู” “ฮ่าๆๆ มันจะอะไรขนาดนี้ห๊ะไอ้ว่าที่เดือน” โอได้ทีก็ล้อให้ซ่าหน้ามุ่ยหนักกว่าเดิม “ไอ้โอ เดี๋ยวโดนตีนกู” “ไม่ได้นะเว้ย ว่าที่เดือนคณะห้ามใช้กำลังนะเว้ย มันเสียภาพลักษณ์” “มึงก็อย่าไปบ้าจี้ตามไอ้โอ แต่กูว่ามึงเป็นเดือนก็ดีนะ กูอยากมีเพื่อนเป็นคนดัง” โชแปงพูดขำๆ “เดี๋ยวกูตะโกนกรอกหูมึงให้เอาไหม จะได้ดังสมใจ” “ฮ่าๆๆ ไอ้นี่นิ ขึ้นง่ายจังวะ” “จิ๊” แบร์รี่เห็นซ่าอารมณ์ไม่ดี ก็ไม่อยากแหย่ไม่อยากแกล้ง เลยเข้าไปกอดแขนซ่าพลางอ้อนให้เพื่อนสุดหล่อหายหงุดหงิด “อย่าเครียดน่า ซ่าไม่ได้เป็นหรอก เดี๋ยวไปบอกเพื่อนคนอื่นๆ กันว่าให้ลงชื่อคนอื่น ใครก็ได้ มันต้องมีสักคนแหละที่อยากเป็น” แบร์รี่พูดปลอบ ซ่าก็เลยพยักหน้ารับ “แล้วพวกเราจะลงกิจกรรมอะไรดีวะ” โชแปงถาม ช่วงนี้ยังพอแอบคุยกันได้ เพราะยังไม่ถึงเวลาเริ่มรับน้อง เหลือเวลาอีกประมาณสิบกว่านาทีเห็นจะได้ “กูคงลงเชียร์เนี่ยแหละ มึงลงกับกูสิโช อย่างอื่นกูทำไม่ได้ละ เล่นกีฬากูก็ไม่ไหว” “เออ เอางั้นก็ได้ กูก็ไม่สันทัดกีฬาเหมือนกัน แล้วพวกมึงสองคนล่ะ จะลงเชียร์ด้วยกันไหม” โชแปงหันไปถามโอกับซ่า “ไม่อะ กูจะลงแข่งฟุตบอล” โอตอบโดยไม่ต้องคิด ซึ่งเพื่อนอย่างแบร์รี่และโชแปงรู้ดีว่า โอชื่นชอบการเตะฟุตบอลมากขนาดไหน “กูบอกก่อนนะอิโอ กูจะไม่ไปเฝ้ามึงข้างสนามแล้วนะ รอบก่อนลูกบอลลอยมาโดนหัวกู เจ็บจะตาย” แบร์รี่พูดดักคอ เวลาโอจะไปเตะบอลทีไร ชอบลากแบร์รี่ไปเป็นเบ๊ข้างสนามทุกที “มึงมีสิทธิ์ขัดขืนกูเหรอแบร์ ถ้ามึงไม่ไปเฝ้ากู คอยหาน้ำหาผ้าให้กูแล้วใครจะทำ” “กูไม่ใช่เมียมึงนะ” “มึงไม่ใช่เมีย แต่มึงเป็นลูกสาวกู” “กูไม่มีพ่อกวนตีนอย่างมึง!” “ปากดีนัก มาให้บีบปากทีดิ!” “หยุดตีกันได้แล้วพวกมึง เดี๋ยวก็โดนรุ่นพี่เรียกออกไปทำโทษหรอก” โชแปงเป็นฝ่ายต้องเข้ามาห้ามสงครามน้ำลายระหว่างสองคนนี้ทุกที เพราะซ่าทำแค่นั่งมองเพื่อนตีกันแล้วก็หัวเราะด้วยความชอบใจ ไม่คิดจะห้ามเลยสักนิด “แล้วมึงอะซ่า จะลงอะไร” โชแปงถาม เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพื่อดึงความสนใจจากเพื่อนอีกสองคน ไม่ให้พวกมันลับฝีปากกันอีกรอบ “ไม่รู้ว่ะ แต่อยากลงแข่งกีฬา” “กีฬาอะไร” “ไม่รู้ เดี๋ยวดูก่อน” ซ่ายังไม่รู้ว่าตัวเองจะลงแข่งอะไร มีกีฬาหลายประเภทที่น่าสนใจ แต่ทุกอย่างในรั้วมหาวิทยาลัยค่อนข้างใหม่สำหรับซ่า ยังไงก็คิดว่าต้องกลับไปปรึกษาพี่ปราบก่อน ไม่ใช่แค่กลุ่มของแบร์รี่ที่พูดคุยเรื่องการเลือกหน้าที่ในกิจกรรมรับน้องและกิจกรรมการแข่งขันกีฬาประจำปี นักศึกษาทุกคนต่างก็คิดไม่ตกว่าตัวเองจะเลือกอยู่ในส่วนไหนของกิจกรรมนี้ดี แม้แต่กลุ่มของแรกเองก็ยังหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาคุยกัน “ทำอะไรดีวะ ที่มันสบายๆ ไม่เหนื่อย” “มันไม่มีส่วนไหนสบายหรอก กูอยากไปช่วยทำฉากทำคัทเอ้าท์ น่าจะสนุกกว่าไปร้องเพลงเชียร์” นัทพูด “เออ งั้นกูเอาด้วย” “กูด้วย” “แล้วมึงอะไอ้แรก ไปกับพวกกูเปล่า” วาถามคนที่นิ่งเงียบที่สุด แรกหันไปมองเพื่อนก่อนจะตอบ “ไม่ กูจะไปลงแข่งฟุตบอล”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม