Episode 06
“นี่ก็เจอกันครั้งที่สองแล้วนะ....”
“คะ?” เธอเอ่ยเสียงหวานใสขานรับ
“ไม่มีปากหรือยังไง ถึงไม่แนะนำตัวให้คนอื่นเขาได้รู้ ยืนเฉยๆ ฉันจะรู้ไหมว่าเธอชื่ออะไร? แต่ถ้าชื่อมันยาวจนพูดไม่หมดก็ส่งบัตรประชาชนมาก็ได้นะ”
ปากมึงหมาได้ใครวะไอ้เรน!!!
“อ๊ะ! จริงด้วยสิ...ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวกับคุณเลย” เธอกล่าวพร้อมกับยื่นนามบัตรของเธอมาให้ผม “ฉันคามิลล่า ไคลี่ เจโนเวสค่ะ เรียกว่า...คามิลล่าก็ได้ หรือถ้าสั้นกว่านั้นก็มิลล่า”
“เรียกเบบี๋ได้หรือเปล่า...อุ้ย!” ผมคว้านามบัตรของผมมาเก็บไว้พร้อมสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นทันที “เอิ่ม...เบบี๋น่ะ! ฉันว่าถ้าให้ลูกของซานติโน่ชื่อเบบี๋เธอว่ามันจะตลกไหม?”
แถสีถลอกอยู่ข้างไข่!!!
“ก็แปลกดีนะคะ...แต่ว่าคุณซานเขาจะไม่ว่าเอาเหรอ? ไปถือวิสาสะตั้งชื่อให้ลูกของเขาแบบนี้ อีกอย่างฉันเห็นว่าภรรยาของเขาเพิ่งจะท้องอ่อนๆ เองนะคะ”
“แล้วเธออยากท้องด้วยไหมล่ะ”
“.....”
“ฉันไม่ได้ทะลึ่ง! ฉ...ฉันก็ถามเธอทั่วไปไงว่าแล้วเธอล่ะ...เธอไม่อยากจะตั้งท้อง หรือมีลูก หรือเป็นแม่คนบ้างเลยหรือยังไง? ฉันก็แค่ถาม...คำถามของฉันมันดูกำกวมขนาดนั้นเลยหรือยังไงกัน!”
“ป...เปล่าค่ะ” เธอตอบพร้อมกับกระดกไวน์ขึ้นอีกแล้ว “ก็...แค่ไม่คิดว่าคุณจะถามอะไรแบบนี้ ที่ได้ยินมากับตัวจริงนี่...ต่างกันเหลือเชื่อเลยนะคะ”
“แล้ว...เธอชอบแบบไหนมากกว่ากันล่ะ?”
“อืม...สำหรับมาเฟีย ฉันคิดว่า...ไม่น่าจะมีมาเฟียที่ไหนเขาเป็นแบบคุณเลยนะคะ คุณดู...แตกต่าง” เธอตอบพร้อมยิ้มให้ผมเจื่อนๆ “ต่างแบบ...ต่างเลย 55”
“อ่าห๊ะ...ฉันเข้าใจแล้ว”
โอเค...!
นับแต่นี้ผมจะเลิกทำตัวปัญญาอ่อนแล้ว!
ผมจะกลับไปเป็นวาเรนติโน่คนเดิม!
“แต่ว่า...แบบนี้ก็น่ารักดีนะคะ คุยด้วยแล้วสนุกดี ไม่ต้องมายืนเกร็งเพราะสถานะของมาเฟียมันค้ำคอ”
โอเคงั้นกูไม่เปลี่ยนแล้ว
“ง...งั้นเหรอ? ก็คุยกันได้! ฉันก็ไม่ได้หยิ่งอะไรขนาดนั้น ถ...ถ้าไม่รังเกียจจะว่าอะไรไหมถ้าฉันจะขอเบอร์เธอ” ร่างสูงกล่าวเสียงแผ่วลงในประโยคสุดท้าย ก่อนที่จะยื่นโทรศัพท์ไปให้ร่างบาง
“โอ๊ะ...ไม่รังเกียจเลยค่ะ ไม่เห็นจะมีอะไรให้รังเกียจเลย คุณไม่ได้ฆ่าพ่อแม่ของฉันสักหน่อย” เธอยิ้มแก้มปริพร้อมกับรับโทรศัพท์ของผมไปกดเบอร์ติดต่อ “อันนี้เป็นเบอร์ส่วนตัวของฉันนะคะ ส่วนในนามบัตรเอาไว้ใช้ติดต่อเรื่องงานผ่านทางเลขาของฉันนะคะ”
“ไม่ต้องห่วงนะ...ฉันจะไม่โทรไปรบกวนเธอ จะโทรแค่ตอนที่มีเรื่องสำคัญ หรือตอนที่อยากคุยด้วยถึงจะโทรไป” เผอิญอยากคุยทุกวัน
“แล้วถ้า....อยากคุยทุกวันล่ะคะ?” เธอเอียงคอถามเล็กน้อย ผมพอจะมองออกว่าเธออยากจะเล่นมุกเพื่อให้เราได้หัวเราะ ซึ่ง...
“ก็โทรมาสิ อย่าโง่ ที่บ้านไม่สอนเหรอว่าถ้าอยากจะคุยก็แค่โทรมา ไม่ใช่ไปโพสต์สเตตัสเพ้อเจ้อเรื่อยเปื่อยน่ะ” เราต่างพากันเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่จะพากันหัวเราะออกมาจนคนแถวๆ นั้นเริ่มพากันมอง
“5555!”
“ได้คุยกับคุณทีไร...ก็อดที่จะขำไม่ได้ตลอดเลย ขอบคุณนะคะที่มาชวนคุยให้ฉันได้หัวเราะ”
“ฉันเข้าใจ ตอนนี้เธอคงจะมีปัญญาชีวิตอยู่สินะ”
“ก็นิดหน่อยน่ะ...แต่เดี๋ยวก็จะผ่านไปเองแหละ”
“ถ้าเธอมีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็บอกฉันได้นะ ฉันยินดีที่จะช่วยเหลือเธอเสมอ”
“ไม่เป็นไรค่ะ...นี่มันเป็นเรื่องในครอบครัวของฉัน ฉันไม่อยากทำให้คุณต้องมาเดือดร้อนหรือปวดหัว คุณไม่รู้นั่นแหละดีแล้วค่ะ ฉันจะได้มาคุยเล่นสนุกกับคุณไง”
“อ...อืม เข้าใจแล้ว” ผมหันหลังให้เธอก่อนที่จะแอบยิ้มออกมาด้วยความสะใจ หึหึ!
พรึบ!
เพล๊ง!
“ว...ว๊าย! ขอโทษนะคะฉันซุ่มซ่ามไปหน่อย” ร่างบางร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ หลังจากที่ผมหันหลังไปแอบยิ้มเมื่อกี้ พอหันกลับมามือของผมก็ปัดแก้วไวน์ของเธอหกพอดี “เลอะเทอะไปหมด...เดี๋ยวคุณถอดถุงมือออกก่อนนะคะ”
พรึบ!
“ไม่ต้อง!!!” ผมตวาดขึ้นเสียงใส่เธอไปอย่างดุดันเมื่อร่างบางพยายามจะถอดเอาถุงมือของผมออกไป เมื่อถูกตวาดเสียงดุแบบนั้น เธอก็หงอยเลยทันที
“แต่ว่ามันเลอะไวน์นะคะ...ถอดออกก่อนก็ได้ ไม่เกินสิบนาที ฉันจะให้พนักงานไปเอาถุงมืออันใหม่มาให้คุณนะคะ แต่ถ้า...มันสำคัญทางจิตใจหรือราคาแพง ฉันยินดีจะชดใช้ค่าเสียหายให้นะคะ”
“อย่าแส่!” ผมสะบัดมือออกพร้อมกับดึงถุงมือของตัวเองกลับใส่เข้าที่เดิมให้เหมือนเดิม “มันไม่ใช่เรื่องของเธอ!”
“เอ่อ...เข้าใจแล้วค่ะ ขอโทษนะคะที่ฉันซุ่มซ่ามมากเกินไป” ร่างบางก้มหัวขอโทษเล็กน้อย ก่อนที่พวกเราทั้งสองจะยืนดูแฟชั่นโชว์กันอยู่ ณ จุดนี้
แต่แม้ว่าจะยืนอยู่ข้างกันแต่เมื่อถูกตวาดไปแบบนั้น เธอก็ยืนเงียบไม่พูดไม่จาอะไรกับผมอีกเลย
อ่า...ผมรู้สึกผิดยังไงก็ไม่รู้
“...” สะกิด
“คะ?” ร่างบางหันใบหน้ามามองตามแรงสะกิดของผม ร่างสูงถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะยื่นนิ้วก้อยออกไปจ่อหน้าเธอ “หมายความว่ายังไงคะเนี่ย?”
“ขอโทษที...เห้อ! ฉันชอบปากเสียอยู่เรื่อยเลย”
“ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ คุณมีสิทธิ์ที่จะโกรธเพราะฉันทำถุงมือคุณเลอะ ฉันเข้าใจค่ะ” เธอยังคงยิ้มให้ผมไม่ขาดสายรอยยิ้มของเธอค่อยๆ กัดกินหัวใจของมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วล่ะ
ถ้าเกิด...เธอเป็นภรรยาของผม
ผมคงหลงเธอจนโงหัวไม่ขึ้นแน่ๆ
แต่อย่างอื่นอะ...จะขึ้นแทน
555!
“ฉัน...รู้สึกผิดจริงๆ นะ ถ้าไม่ได้โกรธเคืองอะไรจริงๆ ก็ช่วยเกี่ยวก้อยกลับคืนมาเถอะ”
“555 โอเคค่ะๆ” เธอหัวเราะคิกคักเบาๆ ก่อนที่จะยื่นนิ้วเรียวมาเกี่ยวก้อยตอบรับคำขอโทษจากผม “ไม่ได้โกรธอะไรค่ะ สบายใจได้นะ”
“อื้ม...ขอบใจเธอนะ แล้วเมื่อกี้มันก็ไม่ใช่ความผิดเธอหรอก มันเป็นความผิดของฉันเองที่หันไปหันมาโดยไม่ระวังน่ะ”
“สรุปโง่ทั้งคู่สินะคะ”
“อ...เอ่อ”
“เอิ่ม” เกิดอาการเดดแอร์ขึ้นอีกครั้งสำหรับเราทั้งสองฝ่าย ก่อนที่ความเงียบจะเปลี่ยนมาเป็นเสียงหัวเราะแสน
“5555!”
ตั้งแต่ที่เธอเจอผมก็รู้สึกว่าตัวเองจะไร้สาระและปัญญาอ่อนเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม มากกว่าแต่ก่อนแต่อย่างน้อยภายในความไร้สาระนี้
มันก็ทำให้ผมมีความสุขและได้หัวเราะ
อ่า...ผมไม่ได้หัวเราะแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ