6
นับตั้งแต่ข้าย้อนกลับมาเพื่อแก้ไขจุดจบของตัวเอง! ข้าก็ไม่ควรสงสัยแล้วว่าทำไมหลายเรื่องที่ข้าเหมือนจะคุ้นเคยมันถึงได้เปลี่ยนแปลงไป แต่ข้าก็รู้ว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่มันยังคงดำเดินไปเฉกเช่นเดิม ซึ่งมันเป็นหน้าที่ของข้าที่จะต้องเปลี่ยนแปลงและเตรียมพร้อมรับมืออย่างมีสติ
“คุณชายหิวไหมขอรับ” เสี่ยวฝานถือโอกาสที่ท่านหัวหน้าองครักษ์เดินไปสั่งความบางอย่างกับลูกน้องเดินมาทรุดตัวลงนั่งใกล้ข้าที่นั่งหมดแรงเองหลังอิงกับต้นไม้ใหญ่
“บ่าวได้เนื้อแห้งกับหมั่นโถวมาเล็กน้อย”
เสี่ยวฝานยื่นของที่บอกมาตรงหน้าข้าและข้าก็รับมันไว้ทั้งที่แม้จะหิวมากเพียงใดและข้าก็คงจะทานอะไรไม่ลง เพราะการขี่ม้าทำให้ข้าเหนื่อย ล้าและเจ็บเสียจนแทบจะไม่มีแรงจะทำสิ่งใดแล้ว หากข้ารู้ว่าจะทำตัวเป็นคนอ่อนแอมิได้ ข้าต้องมีแรงและตื่นตัวอยู่เสมอ ข้าต้องทานอะไรให้ร่างกายมีแรง เพราะหากคืนนี้เกิดสิ่งใดขึ้น จะได้พาเสี่ยวฝานหนีได้ทัน ทำไมข้าถึงคิดเยี่ยงนี้นะรึ...ก็นี่เป็นป่าไง ป่าย่อมไม่ปลอดภัย ยิ่งป่าที่ไร้เสียงสัตว์ร้องยิ่งไม่ปลอดภัยนะสิ!
“เจ้าก็ทานด้วยนะเสี่ยวฝาน เราต้องอิ่ม จะได้มีแรง”
“ขอรับคุณชาย”
“ต่อไปเจ้ามิต้องเรียกข้าว่าคุณชายแล้วนะเสี่ยวฝาน ให้เรียกข้าว่าหนิงเกอ”
“คะ...คุณชาย” เสี่ยวฝานร้องอย่างตกใจและมองหน้าข้าอย่างตะลึงงัน
“มารดาข้าก็ด่วนจากไป มีบิดาก็เหมือนไม่มี เดินทางในครั้งนี้ข้าก็มีเพียงแค่เจ้าเท่านั้นที่ยินดีมา ทั้งที่ไม่รู้ว่าเบื้องหน้าจะดีร้ายเพียงใด ข้ามิอยากอยู่อย่างเงียบเหงาเพียงลำพัง...หรือเจ้ามิยินดีที่จะรับข้าเป็นหนิงเกอ”
“มิใช่ขอรับ...มิได้เป็นเช่นนั้น เอ้ย! หนิงเกอ ข้า...ข้าดีใจขอรับ มิคิดว่าจะได้รับความรักและเอ็นดูจากหนิงเกอเช่นนี้”
เสี่ยวฝานเอ่ยไปพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่รินไหลไปพลาง ใบหน้านั้นแม้จะมอมแมมหากมีรอยยิ้มด้วยความยินดีปรีดามันทำให้ข้าอิ่มใจจนเผลอยิ้มตาม
อดีตที่ข้าจำได้อย่างชัดเจนคือตอนที่ข้ากำลังจะหมดลมหายใจ ข้านอนอยู่บนเตียงแสนเก่าอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย แต่ในวันนี้มันจะไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว ข้ามีน้องชายแล้วและที่สำคัญคือ...ข้าจะไม่ตายด้วย!
“จริงสิเสี่ยวฝาน ของที่เราจัดเตรียมกันไว้ เจ้าได้เอามาหรือเปล่า”
“ข้า...ข้าขอโทษขอรับหนิงเกอ” เสี่ยวฝานบอกเสี่ยงสั่น “ข้าพยายามแล้ว แต่คนพวกนั้น...”
ข้าคิดไว้แล้วเชียว ข้าเลยเซ็งไม่น้อย “ไม่ต้องโทษตัวเองนะเสี่ยวฝาน เจ้าทำดีที่สุดแล้ว เป็นความผิดของคนพวกนั้นที่คอยแต่จะทำร้ายข้ากับเจ้า” ข้าตบบ่าเสี่ยวฝานเบา ๆ “เอาไว้เราไปเริ่มต้นใหม่กันที่นั่นแล้วกัน” ข้าพยักหน้าให้กับเสี่ยวฝานที่รู้สึกผิดจนร้องไห้ไม่ยอมหยุด
“ไม่ขี้แยสิ เป็นน้องชายข้าต้องเข้มแข็ง เข้าใจไหม”
“ขอครับหนิงเกอ” เสี่ยวฝานพยักหน้ารับ ในดวงตาเหมือนกับนกน้อยที่หลงทางแต่ขณะเดียวกันก็เหมือนกับสุนัขที่ซื่อสัตย์กับเจ้าของ
“เจ้ามี...” หากข้าพูดไม่ทันจะจบ หนึ่งในองครักษ์ก็นำกระบอกน้ำยื่นมาให้ ข้าเลิกคิ้วขึ้นมอง
“ข้าลืมไปว่าเดินทางมาไกล พวกเจ้าคงจะหิวและกระหาย นี่เป็นน้ำดื่ม ส่วนอาหาร...เจ้าจะไปทานไก่ย่างปลาย่างร่วมกับพวกข้าก็ได้นะ หรืออยากจะไปทำธุระส่วนตัวก็บอก”
“ข้านึกว่าพวกท่านจะไม่รับรู้ว่ามีพวกข้าสองคนมาด้วยเสียอีก”
ข้าหลุดปากประชดออกไป เพราะพวกเขาเดินทางโดยไม่คิดสนใจคนร่วมทางเช่นข้ากับเสี่ยวฝานเลยว่าจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ไม่คิดจะถามสักคำว่าพวกข้าหิวหรือเปล่า เดินทางตั้งแต่ก่อนสายจวบจนพลบค่ำถึงได้หยุดพัก...ในป่าที่มันช่างเงียบและวังเวง นี่ถ้าพวกเขาไม่บอกว่าเป็นองครักษ์มาคุ้มครองข้าไปเข้าพิธีมงคล ข้านึกว่าพวกเขาไปรับข้ามาฆ่าทิ้งกลางป่าเสียด้วยซ้ำ
“ท่านคงไม่มีปัญหาเรื่องที่พักใช่ไหมขอรับคุณชายหนิงเหอ”
คิ้วข้ากระตุก คำถามเหมือนจะใส่ใจแต่ถ้าฟังให้ดี มันคือการประชดประชัน เมื่อก่อนข้าคงทำได้เพียงแค่หลบสายตาและโต้ตอบออกไปเพียงแค่ว่า... ‘ไม่เป็นไรขอรับ ข้ายังไงก็ได้’ หากตอนนี้...ร้ายมาข้าร้ายตอบ ดีมาข้าก็จะดีตอบ
ข้าคลี่ยิ้มอย่างที่คิดว่ามันหวานที่สุด “ถ้าข้ามีปัญหา ท่านจะเปลี่ยนใจพาข้าไปพักที่โรงเตี้ยมหรือขอรับ หรือถ้าไม่ได้ ท่านจะสร้างกระโจมหลังใหญ่ หาผ้าปูเนื้อนุ่มมารองนอนให้ข้าหรือขอรับ”
ข้าตวัดสายตาเกรี้ยวกราดไปยังบุรุษอีกสี่คนที่นั่งทานไก่กันอย่างเอร็ดอร่อย โดยไม่คิดจะเอ่ยปากชวนข้ากับเสี่ยวฝานและยังจะหลุดเสียงหัวเราะออกมาด้วย
“ถึงข้าจะไม่ได้เป็นอย่างที่พวกท่านคิดและดูแล้วพวกท่านก็คงจะไม่พึงพอใจในตัวข้าสักเท่าใด แต่อย่างไรเสีย ข้าก็ยังเป็นว่าที่อนุภรรยานายของพวกท่าน...มีอะไรเสี่ยวฝาน” ข้าพูดไม่ทันจะจบก็ถูกเสี่ยวฝานจับมือและกระตุกถี่รัว อา...ขี้กลัวจริง ๆ น้องชายของข้า
“ฟังข้านะเสี่ยวฝาน เราคิดว่าการไม่สู้รบตบมือกับใคร เขาอยากทำอะไรก็ทำ จะทำให้เราอยู่อย่างสงบได้ แต่เจ้าก็เห็นแล้ว ยิ่งเราไม่สู้ คนพวกนั้นก็ยิ่งรังแกเรา ตอนนี้เจ้าควรจะทำตัวเสียใหม่ กล้าที่จะบอกกับเขาไปว่า...เราไม่พอใจ เข้าใจหรือเปล่า”
“เจ้าช่างเป็นคนที่พวกข้าคาดไม่ถึงจริง ๆ ”
“คาดไม่ถึง สายรัดเอวท่านสั้นรึ”
สิ้นคำพูดข้า เสียงหัวเราะจากเหล่าองครักษ์ก็ดังกันมาอย่างพร้อมเพรียงกันและยังเอ่ยตามมาอีกว่า...
“ช่างเป็นบุรุษน้อยที่น่าสนใจยิ่งนัก”
ข้าชักจะโมโหคนพวกนี้แล้วนะ ทำไมถึงได้ชอบยั่วโทสะข้านัก หากข้าก็ยังไม่ทันจะได้เอ่ยอันใด ก็รับรู้ว่ามันมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ทำไมข้าถึงได้คิดเช่นนี้นะหรือ ก็เป็นเพราะเหล่าองครักษ์ที่อยู่เบื้องหน้าข้ากำลังเคลื่อนไหวนะสิ!
“รีบหนีเร็วเสี่ยวฝาน” ข้าตะโกนบอกเสี่ยวฝานเมื่อรู้ว่าตอนนี้เกิดอันใดขึ้น หากข้ายังไม่ทันจะเคลื่อนไหวก็มีธนูดอกหนึ่งพุ่งตรงมาหา จะให้หลบก็คงไม่ทันแล้ว ข้าคงทำได้เพียงแค่ยกสองมือปกปิดใบหน้าที่ก้มลงแนบกับอก หากทุกอย่างกลับเงียบกริบจนแม้กระทั่งเสียงลมก็ไม่มี ก่อนข้าจะได้ยินเสียงร้องดังขึ้นแต่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น หากเมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าลูกธนูที่พุ่งตรงมาหาข้านั้นถูกใครบางคน...ท่านองครักษ์หน้ากากเงินจับเอาไว้แล้ว
โอ้...ท่านเก่งสุดยอด หากนี่มิใช่เวลาที่ข้าจะมาชื่นชมเขาอยู่นี่น่า ข้าควรต้องรีบหนีให้ไวต่างหากเล่า แต่...จากที่เมื่อครู่มันเงียบจนแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง ตอนนี้บนปลายยอดไม้กลับมีเสียงดังหวีดหวิว สองในห้าขององครักษ์มายืนเคียงข้าและเสี่ยวฝานที่นอกจากความกลัวแล้วก็ยังมีความงุนงงอยู่ด้วย
“เกิดอะไรขึ้นขอรับหนิงเกอ”
“ไม่มีอะไรหรอกเสี่ยวฝาน โจรแค่ปล้น...” ข้าหุบปากทันที ไม่ใช่! นี่ไม่ใช่โจรปล้น เพราะถ้าปล้นจริงมันก็ควรจะมีกลุ่มคนปิดหน้าหลายคนมายืนห้อมล้อมพวกเราและเอาดาบชี้หน้าข้า พร้อมกับกล่าวว่า...
‘พวกเจ้าส่งทรัพย์สินมีค่ามาให้ แล้วพวกข้าจะไม่ทำอันตรายใด ๆ แก่พวกเจ้า’
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ...ไม่มีใครมาห้อมล้อมพวกเราเลย!
หะ! ข้าไม่ได้จะคิดมากไปใช่ไหม
“เจ้าไม่เป็นอันใดใช่ไหมหนิงเหอ”
เมื่อองครักษ์หน้ากากเงินเอ่ยถาม ข้าก็รีบเหลียวมองไปอย่างเร็ว หือ...ท่านผู้นี้มายืนอยู่ข้างกายข้าตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วน้องชายข้าล่ะ อา...เสี่ยวฝานไปยืนอยู่กับท่านองครักษ์อีกคนแล้ว ช่างทำงานกันรวดเร็วเหลือเกิน แต่ฝีมือขนาดนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ล่วงรู้ว่ามีคนหลบซ่อนตัวอยู่ นอกเสียจาก...
พวกเจ้านี่มัน...! ร้ายกว่าคนที่เรือนข้าอีก ฮึ! คอยดูนะ ถ้าหากข้ารอดไปถึงที่นั่นอย่างปลอดภัย...ในสภาพเช่นไรก็ตามแต่ ข้าจะทำให้พวกเจ้าต้องสำนึกผิดที่ทำเช่นนี้กับข้าไม่ทันเชียวล่ะ
“ถ้าเป็นก็คงจะไม่ได้ยืนฟังท่านไต่ถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใยเช่นนี้หรอกขอรับ” อยากจะตบปากตัวเองนัก อยู่ดีไม่ว่าดีไปปากเสียใส่เขาเสียได้ แต่เกิดเรื่องแบบนี้แล้วมันอดไม่ได้เสียจริง
“ไม่กลัว” หนึ่งในสามคนที่ยังยืนคุมเชิงอยู่ไต่ถามขึ้น
“ลูกธนูกำลังจะฝังเข้าไปอยู่ในกายแล้ว ท่านคิดว่าข้าควรกลัวหรือไม่” ข้าถามอย่างเกรี้ยวกราด เสียดาย...ข้ามันพวกไม่เกิดเรื่องก็ไม่มีสมองคิด มาตอนนี้เลยรู้สึกว่ามันค่อนข้างจะสายไปสักหน่อยที่จะเรียนวรยุทธ์ แต่ไม่เป็นไร เขาบอกกันว่า ไม่มีสิ่งใดสายเกินการปรับตัวเรียนรู้ ให้ข้ารอดพ้นจากการร้ายคราวนี้เถอะ ข้าจะทำให้มันทุกอย่างที่ทำได้
“แต่เจ้าก็ยังปากดี”
“หวังว่าคงจะไม่มีดีเพียงแค่ปาก”