คิดมาถึงตรงนี้ โอวหยางหมิงหลิงพลันกระชับถ้วยชาซึ่งดื่มจนว่างเปล่าตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้แน่นขึ้นอีก ดวงตาสีดำขลับปิดลง ใบหน้าคมเข้มเผยความสับสนและไม่เข้าใจยามรำลึกถึงสตรีอีกนางที่ปรากฏในห้วงฝัน
หากจะกล่าวถึงสกุลฉู่ของสตรีนางนั้น เขาก็ต้องบอกว่าเป็นสกุลที่เปี่ยมด้วยวาสนาไม่แพ้สกุลโอวหยางสักนิด
เดิมทีสกุลฉู่เป็นเพียงขุนพลขั้นห้า มีหน้าที่ดูแลพื้นที่เหนือสุดของชายแดนเหนือ ซึ่งก็คือ 'เมืองหยางคัง' แต่ในช่วงปลายรัชสมัยจักรพรรดิเซิ่งเต๋อ พระอัยกาของจักรพรรดิเซิ่งเหวิน ฉู่ซูเหยียน บุตรชายคนรองของขุนพลฉู่สามารถผ่านการทดสอบเข้าเป็นราชองครักษ์หลวงได้ ต่อมาได้รับหน้าที่คุ้มกันองค์หญิงจิ้งเหอ องค์หญิงตัวประกันจากต่างแคว้นวัยหกขวบที่จักรพรรดิให้ความเอ็นดูมากถึงขั้นรับเป็นพระขนิษฐาบุญธรรม ทั้งที่ทั้งสองมีอายุห่างกันเข้าขั้นเป็นพ่อกับลูกได้
ความสัมพันธ์ระหว่างองค์หญิงจิ้งเหอกับราชองครักษ์คู่กายพัฒนากลายเป็นความรักลึกซึ้ง ถึงรัชสมัยจักรพรรดิเซี่ยหลง พระบิดาของจักรพรรดิซิ่งเหวิน หลังฉู่ซูเหยียนเข้ารับตำแหน่งแทนบิดาที่เสียชีวิตจากไปแล้ว องค์หญิงจิ้งเหอในวัยสิบห้าปีซึ่งได้รับการเลื่อนขั้นเป็นองค์หญิงต้าจ่าง[1]ก็ยินดีลดเกียรติลงมาแต่งงานเป็นภรรยาของเขา โดยหาได้สนใจว่าทั้งสองอายุห่างกันถึงสิบสองปีและจะมีใครพูดจาเสียๆ หายๆ ลับหลังหรือไม่
การแต่งงานครั้งนี้ นอกจากทำให้สกุลฉู่เปลี่ยนจากขุนนางปลายแถวมาเป็นที่นับหน้าถือตาในหมู่ขุนนางราชสำนักแล้ว พระนางยังช่วยส่งเสริมและสนับสนุนหน้าที่การงานของสามีสุดความสามารถ จนกระทั่งเขามีโอกาสสร้างผลงานปราบปรามข้าศึกครั้งสำคัญและได้รับการแต่งตั้งจากจักรพรรดิเซี่ยหลงให้เป็น 'เจิ้นเป่ยโหว' ครองบรรดาศักดิ์ได้สามชั่วรุ่น และดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ฝ่ายเหนือประจำการอยู่ที่เมืองหยางคัง และทรงอนุญาตให้พาครอบครัวมาตั้งรกรากในเมืองหลวงอีกด้วย
แต่สิ่งที่น่าจดจำที่สุดสำหรับสกุลฉู่ กลับกลายเป็นเรื่องที่องค์หญิงจิ้งเหอทรงเป็นผู้คุ้มครองจักรพรรดิซิ่งเหวินจนเติบใหญ่ท่ามกลางความผันผวนแห่งอำนาจของราชสำนัก ทำให้พระองค์ขึ้นครองราชย์ได้อย่างราบรื่น จักรพรรดิซิ่งเหวินทรงรักและเคารพยกย่องของพระอัยยิกาต่างสายพระโลหิตผู้นี้มาก เรียกได้ว่าขอเพียงไม่ผิดกฎหมายบ้านเมืองหรือขัดต่อมโนธรรมจนเกินไป ไม่ว่าองค์หญิงจิ้งเหอปรารถนาสิ่งใด องค์จักรพรรดิล้วนพระราชทานให้ทั้งสิ้น แม้แต่บรรดาศักดิ์ท่านหญิง[2]ขั้นสองชั้นตรีของฉู่ซู่อิ๋งก็เป็นองค์หญิงต้าจ่างจิ้งเหอกราบทูลขอให้จักรพรรดิซิ่งเหวินทรงแต่งตั้งให้
แต่ถึงแม้องค์หญิงจิ้งเหอจะยิ่งใหญ่สักเพียงไหน พระนางกลับอาภัพเรื่องบุตรหลานยิ่งนัก พระนางมีบุตรชายหนึ่งคน บุตรสาวหนึ่งคน น่าเสียดายที่บุตรสาวอายุสั้น เสียชีวิตจากไปในวัยสาว ส่วนบุตรชายเป็นพวกมากรักหลายภรรยา เรือนหลังมีแต่ความวุ่นวาย พอถึงรุ่นหลานชายสายตรงซึ่งเหลือแค่คนเดียวก็มีนิสัยไม่เอาอ่าวและมีหลายภรรยาอีกเช่นกัน
ด้วยเหตุนั้น ชีวิตวัยเยาว์ของฉู่ซู่อิ๋งกับฉู่ซู่อวิ๋น พี่ชายร่วมอุทรจึงไม่ค่อยดีนัก มารดาผู้ให้กำเนิดเสียชีวิตจากอาการป่วยเรื้อรังตั้งแต่ยังสาว อดีตเจิ้นเป่ยโหวฉู่เฉวียนซานผู้เป็นบิดาไม่ชอบภรรยาเอกจึงพาลไม่ชอบบุตรีคนนี้ไปด้วย ต่อมาฉู่ซู่อิ๋งผลักอี้เหนียงคนหนึ่งของเขาตกบันไดตายทั้งกลมอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้เขาชิงชังนางมากยิ่งขึ้น มีข่าวว่าหากมิใช่ฉู่ซู่อวิ๋นที่โดนเสด็จย่าทวดส่งไปฝึกวิชาที่ชายแดนตั้งแต่เด็กไม่กลับบ้านในวันนั้นพอดี บางทีฉู่ซู่อิ๋งคงตายคามือบิดาไปแล้ว
โอวหยางหมิงหลิงจำไม่ได้ชัดเท่าไหร่นักว่า คดีฆาตกรรมอี๋เหนียงของฉู่ซู่อิ๋งจบเช่นไร รู้แต่ข่าวลือว่ามีการสอบสวนแล้วแต่เรื่องเงียบหายไป และหลังองค์หญิงต้าจ่างจิ้งเหอสิ้นพระชนม์ ฉู่ซู่อวิ๋นก็รับน้องสาวไปเลี้ยงดูเอง นอกจากกลับมาจัดพิธีศพให้แก่บิดาที่เสียชีวิตจากอาการป่วยในอีกสามปีถัดมาแล้ว สองพี่น้องคู่นี้ก็อาศัยอยู่ที่เมืองหยางคัง ชายแดนเหนือสุดของต้าหมิงเซี่ยมาตลอด
...และมันคงจะเป็นเช่นนั้นตลอดกาล ถ้าเผ่าโหย่วหลี ชนเผ่าทรงอิทธิพลนอกด่านเผ่าใหม่ไม่โจมตีเมืองหยางคังกะทันหันจนเป็นเหตุให้ฉู่ซู่อวิ๋นหายตัวไปอย่างลึกลับ ฉู่ซู่อิ๋งจึงโดนบ้านรองที่ดูแลเมืองหยางคังแทนส่งตัวกลับเมืองหลวง ครั้งนั้นนางมาพร้อมกับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งอ้างว่าเป็นทายาทของฉู่ซู่อวิ๋นกับหญิงคนรักที่คบหาสนิทสนมอยู่ในเวลานั้น
ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนหลังสตรีนางนี้เหยียบเขตแดนโอรสสวรรค์ ข่าวฉาวเกี่ยวกับนางสะพัดไปทั่วเมืองหลวง ตั้งแต่การกลั่นแกล้งอี๋เหนียงของบิดาจนอยู่ไม่เป็นสุข กดขี่บรรดาพี่น้องต่างมารดาให้อับอายทั้งต่อหน้าและลับหลัง สั่งให้คนโบยตีบ่าวไพร่ในจวนตายไปหลายศพ หนักที่สุดก็คือเรื่องจ่อกระบี่ใส่ 'ฮูหยินผู้เฒ่าฉู่' แค่เพราะผิดใจกันด้วยเรื่องเล็กน้อย ทุกข่าวล้วนบ่งชัดถึงนิสัยโหดเหี้ยมดุดันดั่งแม่เสือของนาง เหล่าบุรุษสตรีทั่วเมืองหลวงล้วนหวั่นเกรงและรังเกียจนางอย่างยิ่ง
แต่หากจะว่าไปแล้ว ทั้งโอวหยางหมิงหลิงกับฉู่ซู่อิ๋งเป็นคนประเภทเดียวกัน ล้วนสูญเสียบิดามารดา นิสัยแย่เพราะการเลี้ยงดูและมีชื่อเสียงไม่ดีกันทั้งคู่ เขาไม่มีสิทธิ์รังเกียจหรือตำหนินาง แต่ชายหนุ่มยามนั้นกำลังหลงใหลจางอวี๋ซินอย่างโงหัวไม่ขึ้น ครั้นเห็นนางไม่ชอบฉู่ซู่อิ๋ง เขาจึงพลอยดูแคลนนางไปด้วย จางอวี๋ซินเล่าวีรกรรมเลวร้ายเกี่ยวกับสตรีนางนี้ให้ฟัง เขาก็เชื่อจนหมดใจและคอยหลบเลี่ยงอีกฝ่ายด้วยความขยะแขยงมิต่างอันใดกับอาจม
ทว่าน่าขัน ชาติก่อนเขาหลบเลี่ยงนางถึงเพียงนั้น สวรรค์ยังประทานโอกาสให้พวกเขามาพบกันจนได้ เหตุการณ์นั้นยังเป็นที่น่าจดจำ...สำหรับคนอื่นเสียด้วย!
อันที่จริง โอวหยางหมิงหลิงก็จำเหตุการณ์ตอนนั้นได้ไม่ครบถ้วนนัก เขาจำได้เพียงว่าไปร่วมงานเลี้ยงบนเรือสำราญของสหายเลวคนหนึ่ง ในจังหวะที่ทุกคนกำลังร่ำสุราอย่างสนุกสนานกันอยู่นั้น ไม่รู้ด้วยเหตุใดเรือจึงไปชนเข้ากับเรือขนส่งสินค้าทำให้ล่มลงกลางคุ้งน้ำเชี่ยว
เดิมทีตัวเขาว่ายน้ำไม่เป็นอยู่แล้ว พอประกอบเข้ากับอาการเมาสุรา เขาจะทำอะไรเชื่องช้าจนหนีออกมาไม่ทัน โดนกระแสน้ำดูดจมตามเรือสำราญไปด้วย ชายหนุ่มจำไม่ได้แน่ชัดนักว่าตัวเองจมอยู่ใต้น้ำนานแค่ไหน มารู้ตัวอีกทีก็หลังจากมีคนลากเขาขึ้นมาจากน้ำแล้ว และคนผู้นั้นก็มิใช่ใครอื่น เป็นฉู่ซู่อิ๋งในวัยสิบแปดปีนั่นเอง
จากปากคำของคนรอบข้าง ฉู่ซู่อิ๋งเพิ่งกลับจากไหว้พระที่วัดไม่ไกลกันนักแล้วมาประสบเหตุเข้าโดยบังเอิญ นางเห็นพวกองครักษ์ของตระกูลต่างๆ กำลังช่วยคนกันวุ่นวายไปหมด นางจึงตัดสินใจนำคนของตนลงไปช่วยเหลือด้วย แล้วก็ดันเป็นนางที่บังเอิญดำน้ำลงไปเจอเขาที่หมดสติอยู่จึงนำตัวขึ้นมา
แต่เพราะก่อนจะลงน้ำไปร่วมช่วยเหลือคน หญิงสาวได้ถอดเสื้อคลุมออก หลังจากนำตัวเขาขึ้นจากใต้น้ำได้ ในระหว่างพาเข้าฝั่งได้ตระกองกอดเขาไว้เต็มอ้อมแขน นางทำถึงขั้นประกบริมฝีปากถ่ายทอดลมหายใจให้เพื่อกู้ชีวิตเขากลับมา สุดท้ายยังเสียสละเสื้อคลุมตัวนอกให้ใช้คลุมตัวเขาไว้ เพราะเห็นว่าเขาแช่น้ำจนตัวเย็นจัด
ผลที่ตามมาคือ ข่าวลือเสียหายระหว่างตัวเขากับฉู่ซู่อิ๋ง ถึงจะบอกว่านางทำทุกอย่างลงไปเพื่อช่วยชีวิตคน โดยไม่เห็นแก่หน้าตาและชื่อเสียงของตนเอง แต่ก็มิอาจหลีกเลี่ยงความด่างพร้อยได้อยู่ดี
เพื่อปกป้องชื่อเสียงที่เริ่มจะดีขึ้นของหลานชาย ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลโอวหยางจึงเชิญแม่สื่อไปสู่ขอฉู่ซู่อิ๋งโดยไม่บอกหลานรัก ขณะเดียวกันทางจักรพรรดิซิ่งเหวินก็กำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ พอทราบเรื่องก็มีพระราชโองการพระราชทานสมรสให้พวกเขาเสียเลย ดูเหมือนว่าพระองค์ตั้งใจจะใช้โอกาสนี้ชดเชยที่ยังตามหาพี่ชายของนางไม่เจอไปพร้อมกันด้วย
ในตอนที่รู้เรื่องนี้ โอวหยางหมิงหลิงทั้งโกรธทั้งอับอาย รู้สึกเหมือนโดนทุกคนหักหลัง คนพวกนั้นรู้ทั้งรู้ว่าเขารักจางอวี๋ซิน แต่กลับยัดเหยียดสตรีชื่อเสียงไม่ดีอีกนางให้กับเขา ทำให้เขามิอาจมอบตำแหน่งภรรยาเอกให้แก่หญิงผู้เป็นที่รักได้ตามสัญญา ความรู้สึกชิงชังในใจอัดแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนเปลี่ยนเป็นแค้นหลังเขารู้ข่าวว่าจางอวี๋ซินหนีไปเพราะเรื่องนี้
โอวหยางหมิงหลิงจำได้ดีว่าตนโกรธจนถึงขนาดละเลยเรื่องการแต่งงานและเรื่องของฉู่ซู่อิ๋งทุกอย่าง ปล่อยให้ท่านย่ากับเจ้าพนักงานจากวังหลวงจัดเตรียมงานแต่งไป หากมิใช่เพราะมีคนจากในวังคอยจับตา เขาก็คงจะแอบหนีไปเฝ้าจางอวี๋ซินที่คฤหาสน์นอกเมืองไปแล้ว ดังนั้นเมื่อถึงคืนวันแต่งงาน เขาจึงแสร้งดื่มสุราจนเมาแล้วลอบหนีมาโดยไม่ได้เปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวด้วยซ้ำ
จากนั้นโอวหยางหมิงหลิงจำได้ว่า ตนเองเอาแต่เฝ้าพัวพันกับจางอวี๋ซินจนมิได้สนใจฉู่ซู่อิ๋งนัก แต่เป็นเพราะโอวหยางลู่เหวยกลับแนะนำให้เขาใช้ภรรยาร่วมผูกผมคนนี้เป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตนใหม่ เขาเองก็เห็นด้วยกับแผนนี้ ดังนั้นในเวลาต่อมาเบื้องหน้าท่านย่ากับบุคคลภายนอก เขาจะแสดงละครแสร้งว่ากลับตัวกลับใจเป็นสามีที่ดีต่อภรรยา ฝ่ายนางก็เหมือนจะให้ความร่วมมืออย่างดี เขาเลยคิดเอาเองว่านางก็คงอยากแก้ไขชื่อเสียงของตนเช่นกัน
ในเวลานั้นชายหนุ่มไม่เคยใส่ใจความเป็นอยู่ของภรรยาเอกเลย ยิ่งพอถูกจางอวี๋ซินที่ยอมตกลงมาเป็นอนุภรรยาของเขาในที่สุดเป่าหูว่า ฉู่ซู่อิ๋งอาจจงใจช่วยชีวิตเขาไว้เพื่อจะจับเขาเป็นสามี เขาก็ยิ่งรังเกียจและละเลยนางมากขึ้น เพียงเห็นแก่ที่อีกฝ่ายกตัญญูต่อท่านย่า และท่านย่าเองก็ดูจะพอใจนางที่ดีต่อตนเอง เขาจึงมิได้หาเรื่องนางมากนัก เวลาสาวใช้ของนางมาขออะไรให้เจ้านายก็ล้วนอนุญาตส่งๆ ไปเสมอ
ต่อมาหลังจากท่านย่าเสียชีวิตไปได้หลายเดือนเดือน มีข่าวลือโจษขานไปทั่วเมืองหลวงว่า หลานชายของฉู่ซู่อิ๋ง เด็กน้อยผู้ได้สืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดา อาจเป็นผลผลิตจากความรักต้องห้ามของฉู่ซู่อิ๋งกับพี่ชายเสียเอง โอวหยางหมิงหลิงไม่แม้แต่จะตรวจสอบว่าเป็นจริงหรือไม่ ไม่เคยแม้แต่จะสอบถามภรรยาร่วมผูกผมสักคำว่าความจริงคืออะไร กลับใช้โอกาสนี้ยึดอำนาจดูแลจวนไปมอบให้จางอวี๋ซิน เสร็จแล้วก็ส่งนางไปเฝ้าบ้านบรรพบุรุษที่เมืองผิงคัง ซึ่งอยู่ทางใต้ห่างจากเมืองหลวงกว่าห้าร้อยหลี่[3] ทำเสมือนนางตายไปจากชีวิตพร้อมกับสั่งคนให้สยบข่าวลือบ้าๆ นี้เสีย
เป็นเพราะปฏิบัตินางอย่างเย็นชา ไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตามาก่อน โอวหยางหมิงหลิงจึงไม่คิดเลยจริงๆ ว่าในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ฉู่ซู่อิ๋งจะฝ่ากองเพลิงมาช่วยเหลือ...แล้วก็ตาย...ไปพร้อมกับเขา
[1] องค์หญิงต้าจ่าง เป็นตำแหน่งองค์หญิงขั้นหนึ่งที่จักรพรรดิแต่งตั้งให้กับป้าหรืออาผู้หญิง
[2] ท่านหญิงในที่นี้ หมายถึง 'จวิ้นจู่' เป็นองค์หญิงขั้นสอง เป็นรองจากกงจู่ ปกติมักแต่งตั้งให้ผู้สืบสายเลือดขององค์หญิงขั้นหนึ่งและผู้มีบรรดาศักดิ์ชินอ๋อง
[3] หลี่ เป็นหน่วยวัดระยะทางจีนโบราณ เทียบสากลประมาณ 500 เมตร