"ซู่อิ๋ง!!!"
ทั่วทั่งร่างกระตุกตึงจนแข็งเกร็ง กระชากสติที่หลุดลอยหายไปกลับคืนมาอีกครั้ง ภาพแรกที่ปรากฏแก่สายตาคือม่านมุ้งสีเหลืองหม่น ซึ่งเป็นผลจากการใช้งานมาอย่างยาวนาน ตามด้วยโสตประสาทแว่วยินเสียงริ่งเรไรร่ำร้องจากที่ไกลๆ ฆานประสาทสัมผัสกลิ่นสดชื่นของไอน้ำที่ลอยอ้อยอิ่งท่ามกลางความมืดมิด
มันต้องใช้เวลาสักครู่กว่าโอวหยางหมิงหลิงจะสามารถผ่อนคลายร่างกายและลมหายใจลงได้ และยามนั้นเองที่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
"นายท่านขอรับ ข้าน้อยโม่เซิงขอรับ" สุ้มเสียงแหบต่ำที่เอ่ยเจือความกังวลเล็กน้อย บ่งบอกว่าคนที่รอด้านนอกกำลังเป็นห่วงเจ้านายของตน
"เข้ามา"
เมื่อได้ยินเสียงเรียกที่แหบพร่ากว่าปกติ โม่เซิง...บุรุษหน้าตาคมดุดันร่างใหญ่สูงเก้าฉื่อ[1]ก็เปิดประตูเข้ามาข้างใน เขาเห็นเงาร่างของชายหนุ่มที่มีไหล่กว้างและอกผึงผายนั่งชันเข่าอยู่หลังม่านเตียงเนื้อบาง เจ้าของเงานั้นดูเหมือนจะกำลังจ้องมองมือของตัวเองเงียบๆ ทว่าโม่เซิงไม่รีบร้อนสอบถาม เพียงจุดเทียนบนโต๊ะกลมกลางห้องให้สว่าง เผยภาพห้องพักกลางเก่ากลางใหม่ให้เห็นชัดๆ จากนั้นก็ไปหยิบกาน้ำร้อนจากเตาอุ่นตรงมุมห้องมาชงน้ำชา เสร็จแล้วก็ยกถ้วยชาไปยืนตรงหน้าม่านเตียงนั้น
"เชิญดื่มชาขอรับ" โม่เซิงยื่นถ้วยชาไปทางรอยแยกม่าน ท่าทางอ่อนน้อม
โอวหยางหมิงหลิงเหลือบตามองเล็กน้อย แล้วค่อยสูดลมหายใจลึกๆ พร้อมกำหมัดไล่อาการมือสั่น จนเมื่ออารมณ์ที่พลุ่งพล่านสงบลงแล้ว เขาค่อยยื่นมือออกไปรับน้ำชามาดื่มดับกระหาย โดยมีโม่เซิงคอยมองอยู่
"นายท่าน ท่านฝันอีกแล้วหรือขอรับ" ในที่สุดองครักษ์ร่างใหญ่ก็เอ่ยถามหลังเห็นเจ้านายดื่มชาถ้วยแรกเสร็จ มือก็รีบเติมน้ำชาให้ทันทีที่อีกฝ่ายยื่นถ้วยชาออกมาเติม
"อืม" โอวหยางหมิงหลิงส่งเสียงตอบเบาๆ พลางดื่มชาอีกถ้วยช้าๆ
"สองปีแล้วนะขอรับ"
โม่เซิงมีท่าทีกระสับกระส่ายเล็กน้อย เขาอยากแนะนำให้นายท่านเชิญแพทย์หลวงที่เชี่ยวชาญด้านจิตใจมาให้คำแนะนำอีกสักครั้ง จะได้ไม่ต้องฝันและเผลอละเมอเรียกหาชื่อบุตรีบ้านอื่นออกมาอีก พวกเขาองครักษ์ได้ยินบ่อยจนชินแล้วก็แล้วไปเถิด แต่ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าคงเอาไปลือกันสนุกปากเป็นแน่ ยิ่งยามนี้พวกเขาพำนักในโรงเตี๊ยมนอกเมืองหลวง ถ้ามิใช่เพราะเหมาห้องพักทั้งชั้นเพื่อป้องกันปัญหานี้ไว้ล่วงหน้า บางทีแขกท่านอื่นอาจจะได้ยินกันทั้งชั้นก็เป็นได้ ถึงเวลานั้นไม่รู้จะเกิดข่าวลืออันใดบ้าง
"อืม..."
เจ้าของความกังวลภายในใจโม่เซิงกลับส่งเสียงออกมาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว มือได้รูปที่มีแต่รอยหยาบกร้านหมุนถ้วยชาใบเล็กๆ ที่ถืออยู่ไปมา นัยน์ตาสีดำขลับจ้องมองของเหลวภายในนั้นด้วยแววเหม่อลอย
สองปีแล้ว...เวลาผ่านมาสองปีแล้วจริงๆ นับจากวันที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับความฝัน...ความทรงจำอันโหดร้ายที่เฝ้าหลอกหลอนเขาเกือบทุกวันคืน มันเป็นความทรงจำจากอดีตชาติของเขาเอง!
โอวหยางหมิงหลิงยังคงจดจำได้รายละเอียดชีวิตได้เกือบทุกอย่าง เขาเป็นทายาทหนึ่งเดียวของตระกูลโอวหยาง ตระกูลของแม่ทัพที่มีความชอบใหญ่หลวงมาแล้วหลายรุ่น
เริ่มจากต้นตระกูลของเขา 'โอวหยางซางหยวน' เคยติดตามปฐมกษัตริย์ปลดแอกประชาชนจากการปกครองอันโหดร้ายของอดีตราชวงศ์จนสามารถก่อตั้งแคว้นหมิงเซี่ยได้สำเร็จ เขาเป็นแม่ทัพผู้ซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อนายเหนือหัวอย่างยิ่ง ความสามารถก็เป็นที่โจษขานทั้งแผ่นดิน ปฐมจักรพรรดิซาบซึ้งพระทัยยิ่ง พระองค์จึงแต่งตั้งจอมทัพพิทักษ์แผ่นดิน พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น 'เฉิงกั๋วกง[2]' โดยตำแหน่งตกทอดแก่ลูกหลานโดยไม่ต้องลดขั้นไปจนตราบสิ้นแผ่นดิน ทั้งยังพระราชทานพระธิดาองค์ใหญ่ให้เป็นภรรยาของเขาอีกด้วย
หลังจากนั้นตระกูลโอวหยางทำงานเพื่อแผ่นดินมาตลอด ลูกหลานบุรุษทุกคนมีความสามารถโดดเด่นเป็นที่ยอมรับ อีกทั้งสกุลของเขายังมีโอกาสได้สมรสกับองค์หญิงและเชื้อพระวงศ์หญิงอีกถึงสองคนด้วยกัน
ในบรรดาลูกหลานเหล่านั้นคนที่โดดเด่นที่สุดก็คือ 'โอวหยางจิ้งสือ' ท่านปู่ของโอวหยางหมิงหลิง ท่านรับตำแหน่งเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้น ควบคุมกองทัพนับแสนของต้าหมิงเซี่ย อีกทั้งยังยืนโรงค้ำบัลลังก์ให้จักรพรรดิถึงสองรัชสมัย ยังมีบิดาของเขา 'โอวหยางเหอเซี่ย' แม่ทัพใหญ่ฝ่ายตะวันตกผู้สามารถทำลายเผ่าจิ้งหลีที่บังอาจยกทัพมาโจมตีต้าหมิงเซี่ยได้อย่างราบคาบ แม้ชัยชนะครั้งนั้นจะต้องแลกด้วยชีวิตของเขาเองก็ตาม
เกียรติยศ ชื่อเสียง อำนาจ และทรัพย์สินศฤงคารที่ได้รับมีมากมายเสียจนขอเพียงไม่ก่อเหตุร้ายแรงอันใด ตระกูลโอวหยางก็ไม่มีทางล่มสลายโดยง่ายอย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่พอมาถึงรุ่นของโอวหยางหมิงหลิง ชายหนุ่มกลับไม่ใช่ลูกหลานที่ดีนัก สาเหตุอาจเป็นเพราะเขาเป็นบุตรชายคนเดียวของสายหลัก อีกทั้งยังสูญเสียบิดามารดาไปตั้งแต่ยังไม่รู้ความ ท่านย่าผู้เป็นญาติเพียงคนเดียวจึงเลี้ยงดูเขาอย่างตามใจ แม้เขาจะได้รับการศึกษาที่ดี ทว่ากลับขาดการอบรมอันเข้มงวด เขาจึงเป็นคนนิสัยเอาแต่ใจ ชอบเที่ยวสำมะเลเทเมากับสหายเลวกลุ่มใหญ่ตั้งแต่เด็ก หากมิใช่เพราะมีบุญเก่าที่บรรพบุรุษสร้างไว้ก่อนหน้า เขาคงไม่อาจรักษาไว้ได้แม้กระทั่งตำแหน่งราชองครักษ์สังกัดกองทัพหลิงอวิ๋น ซึ่งเป็นตำแหน่งลอยที่จักรพรรดิซิ่งเหวินพระราชทานให้เพราะเห็นแก่หน้าบรรพบุรุษของเขา
เลวเท่านั้นเหมือนจะไม่พอ นรกยังบันดาลให้เขาเป็นคนหูเบา หลงเชื่อความปากหวานของโอวหยางลู่เหวย ญาติผู้น้องจากบ้านลูกชายคนรองของท่านปู่จนยอมเก็บไว้ช่วยงานข้างตัว โดยไม่รู้ตัวสักนิดว่ามันเป็นอสรพิษเลี้ยงไม่เชื่อง เหนืออื่นใด...เขายังหน้ามืดตามัวไปหลงรักหญิงชั่วเช่นจางอวี๋ซิน หลานสาวห่างๆ ของท่านย่าอย่างหัวปักหัวปำ
โอวหยางหมิงหลิงในเวลานั้นหลงใหลนางจนยอมเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น เห็นนางเป็นดอกฟ้าควรค่าแก่การเฝ้าถนอม นางบอกอะไรก็เชื่อไปเสียหมด ไม่เคยไตร่ตรองเลยสักครั้งว่าถูกต้องมากน้อยแค่ไหน เขาทุ่มเทให้กับนางทุกอย่าง รักนาง ให้เกียรตินาง ยกย่องเชิดชูนางจนละเลยภรรยาเอกที่ได้รับพระราชทานสมรสเข้ามาอย่างถูกต้อง ทำเสมือนนางผู้มีฐานะเพียงภรรยารองเป็นภรรยาเอกของเขา ส่วนสตรีอีกคนเป็นแค่ไม้ประดับที่มีหน้าที่ทำให้ภาพลักษณ์เขาดูดีขึ้นและเขี่ยนางทิ้งไปหลังท่านย่าเสียชีวิตจากไป
และเพื่อจางอวี๋ซิน...เขาถึงกับยอมสวมเกราะรบลงสู่สมรภูมิหมายแย่งชิงบัลลังก์มาให้องค์ชายหก เนื่องจากจักรพรรดิซิ่งเหวินทรงประสบอุบัติเหตุตกจากหลังม้าสิ้นพระชนม์โดยมิทันได้แต่งตั้งรัชทายาท เขาทำเพื่อแลกเปลี่ยนกับการหย่าร้างกับภรรยาหลวง หวังตบแต่งนางเป็นภรรยาเอกอย่างถูกต้อง...หวังแม้แต่จะขอพระราชทานยศฮูหยินขั้นหนึ่งเพื่อเป็นเกียรติแก่มารดาของบุตรในอนาคตของเขาด้วย
สุดท้ายก็เพื่อนาง...เขาถึงยอมชิงบัลลังก์มาเป็นของตนเสียเอง เมื่อจู่ๆ องค์ชายหกที่เดิมทีก็ร่างกายอ่อนแออยู่แล้วสิ้นลมกะทันหันหลังครองราชย์ได้เพียงสิบกว่าวัน คาดหวังเพียงว่าจะมอบตำแหน่งจักรพรรดินีแก่นางให้สมกับที่เคียงข้างเขา คอยช่วยปกป้องและดูแลเขาในยามบาดเจ็บ ตลอดจนให้กำเนิดและเลี้ยงดูบุตรีให้เขา
เวลานั้นโอวหยางหมิงหลิงปักใจว่าจางอวี๋ซินคือ สตรีที่ดีที่สุดในชีวิต นางอาจมิได้งดงามที่สุด แต่ก็อ่อนหวาน รู้จักเอาอกเอาใจ แม้ต้องเผชิญกับการขัดขวางของพวกขุนนาง เนื่องจากชาติกำเนิดอันต่ำต้อยของนางเอง เขาก็ยังวางแผนถ่วงเวลาด้วยการดึงบุตรีของขุนนางบางคนเข้ามาคานอำนาจ ยอมเป็นโล่กันภัยร้ายให้กับนางอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ยอมแม้แต่แบกชื่อเสียงย่ำแย่ เพราะสังหารสนมชั้นเฟยนางหนึ่งฐานทำให้บุตรสาวที่เกิดกับนางตายอย่างน่าสงสาร ชายหนุ่มตั้งใจทำทุกอย่างอย่างรอบคอบเพื่อส่งนางสู่ตำแหน่งมารดาแผ่นดินให้ได้
ทว่า...สุดท้ายทุกสิ่งกลับกลายเป็นเพียงความว่างเปล่า สองปีหลังจากครองราชย์ หกเดือนก่อนเขาจะตาย...จางอวี๋ซินได้ร่วมมือกับโอวหยางลู่เหวยวางแผนชั่วใส่ม้าของเขา ทำให้มันเกิดคลุ้มคลั่งในระหว่างที่กำลังล่าสัตว์ ชายหนุ่มโดนเหวี่ยงจากหลังของมันไปกระแทกกับต้นไม้โดยแรง ไม่เพียงแค่นั้นดินบนภูเขาซึ่งอุ้มน้ำจนชุ่มหลังฝนตกอย่างหนักถึงสองวันสองคืนยังถล่มลงมาทับกลุ่มของเขา ถึงเขาจะรอดชีวิตจากกองดินได้ ทว่าก็กลายเป็นจักรพรรดิพิการไปเสียแล้ว
ในเวลานั้นโอวหยางหมิงหลิงไม่เพียงสูญเสียการเคลื่อนไหวช่วงล่างไป ยังสูญเสียองครักษ์และทหารฝีมือดีไปกับเหตุการณ์ดินถล่ม จากนั้นไม่นาน...จางอวี๋ซินก็เปิดเผยธาตุแท้กับเขา ทำให้ได้รู้เรื่องราวที่น่าตกใจที่สุดในชีวิต
จางอวี๋ซินลอบคบชู้สู่ชายกับโอวหยางลู่เหวยมาลับหลังเขามานานหลายปีแล้ว หญิงโฉดชายชั่วทั้งสองคนวางแผนทำร้ายเขาในครั้งนี้ ทางหนึ่งก็เพื่อแย่งชิงบัลลังก์ไปครองเสียเอง อีกทางหนึ่งก็เพื่อปกปิดเรื่องการตั้งครรภ์ของนางหญิงชั่ว เพราะพวกมันดันสืบรู้ว่าโอวหยางหมิงหลิงบาดเจ็บจากการทำสงครามจนมิอาจมอบทายาทให้แก่สนมนางใดได้อีก ถ้าหากเรื่องการตั้งท้องมารหัวขนของจางอวี๋ซินแดงขึ้นมา สุดท้ายมิพ้นหัวจะหลุดจากบ่าด้วยกันทั้งคู่
พวกมันเล่นละครตบตาเขา แสร้งว่าเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตาย เป็นภรรยาผู้อ่อนหวานเห็นสามีเป็นผืนฟ้า หลอกลวงว่าบุตรีที่เกิดมาเป็นผลผลิตจากความรักที่เขาและนางมีร่วมกัน
ใช่...บุตรสาวที่โอวหยางคิดว่าเป็นผลผลิตจากความรักอันบริสุทธิ์ระหว่างเขากับจางอวี๋ซิน ผู้ซึ่งต้องตายอนาถจากน้ำมือของสนมชั้นเฟยคนนั้น แท้จริงแล้วก็เป็นมารหัวขนเช่นกัน ที่สำคัญยังเป็นตัวหมากที่มารดากับชายชู้ตั้งใจกำจัดทิ้ง เพื่อหลอกใช้ความเสียใจของเขาในการกำจัดศัตรูอย่างไม่ละอายแก่ใจ จวบจนวันนี้เขายังจดจำคำพูดของหญิงชั่วชายโฉดคู่นั้นตอนพบกันในคืนสุดท้ายได้ดี
[1] ฉื่อ เป็นหน่วยวัดความสูงของจีน 1 ฉื่อเท่ากับ 10 นิ้ว (โดยประมาณ)
[2] บรรดาศักดิ์ของเชื้อพระวงศ์ หรือขุนนางระดับสูงในยุคจีนโบราณแบ่งออกเป็น 5 ระดับชั้นคือ กง โหว ป๋อ จื่อ หนาน โดยระดับกั๋วกงเป็นลำดับสูงสุดของบรรดาศักดิ์กง