บทที่ 2 ข้อตกลง

1948 คำ
สองปีก่อนหน้า... หลังจากขอบคุณ คุณเอื้อ หรือ อธิคุณ ศิริกุลธาดา[1] นักธุรกิจหนุ่มที่บิดามารดาหมายมาดว่าจะให้รสรินทร์เป็นมากกว่าคนรู้จักหลายต่อหลายครั้ง เธอก็ทราบในที่สุดว่าเจ้าหนี้รายใหญ่ของครอบครัวอยู่ที่ไหนและไม่รีรอที่จะเข้าไปในคลับหรู รบกวนการพักผ่อนของชายหนุ่มที่หวงแหนวันหยุดเสียยิ่งกว่าเงินทอง “สวัสดีค่ะคุณปราชญ์” รสรินทร์ไหว้เขาอย่างน่ารัก แม้มองเห็นไม่ชัดเพราะแสงสลัว แต่พอจะจำได้จากแมกาซีนว่าเขาผิวขาวจัด ปากสีชมพูอ่อน หล่อสไตล์หนุ่มลูกเสี้ยวสิงคโปร์ หากมองแล้วก็ต้องมองซ้ำอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าไม่ได้ตาฝาดไป “นายเอื้อบอกว่าคุณมีธุระจะคุยกับผม” เขาโบกมือไล่สาวๆ ที่นั่งคลอเคลียอยู่รอบตัวไปให้พ้นด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ราวกับว่าไม่มีอะไรที่ทำให้เขาตื่นเต้นได้อีกแล้ว “ดิฉัน เอ่อ รินทร์อยากจะรบกวนขอให้คุณเลื่อนการชำระหนี้ไปหน่อยน่ะค่ะ รินทร์ทราบนะคะว่าคุณปฏิเสธคุณพ่อไปแล้ว แต่ตอนนี้...” “ไม่เลื่อน กำหนดชำระเต็มจำนวนตั้งแต่เมื่อสองเดือนที่แล้ว ยี่สิบล้านไม่รวมดอกเบี้ย นี่ผมใจดีแล้วนะที่ยอมรอตั้งสองเดือน ถ้าเป็นลูกหนี้รายอื่นผมคงฟ้องร้องไปแล้ว” ปราชญ์ขยับแก้วเครื่องดื่มสีอำพันจรดริมฝีปาก พยายามเพ่งมองหญิงสาวตรงหน้าเพราะแสงสว่างในคลับมีไม่มากพอ แต่ในเมื่อเพื่อนสนิทอย่างอธิคุณบอกว่าเธอเป็นคนสวย เขาก็ควรเชื่อไม่ใช่หรือ “แต่คุณเร่งรัดตอนนี้ก็ไม่ได้อะไร คุณพ่อคุณแม่ไม่มีทางหาเงินมาคืนได้หรอกนะคะ” “ก็ไม่ยากนี่นา ไปหายืมคนอื่นแล้วค่อยเอามาใช้หนี้ผม ให้นายเอื้อช่วยสิ รวยแถมใจดี ได้ข่าวว่าให้ครอบครัวของคุณหยิบยืมไปตั้งสิบล้าน แถมไม่คิดดอกเบี้ยอีกต่างหาก” ปราชญ์รู้ดีว่าทำไมเพื่อนสนิทถึงได้ใจดีกับครอบครัวนี้มากเป็นพิเศษ ไม่ใช่เพราะรสรินทร์อย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่เป็นสาวน้อยที่อยู่มหาวิทยาลัยปีสอง หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ปราชญ์แซวเพื่อนว่าชอบกินเด็ก แต่ตัวเองก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก “รินทร์ไม่กล้ารบกวนคุณเอื้อหรอกนะคะ แล้วก็ไม่อยากให้คุณพ่อคุณแม่สร้างหนี้เพิ่มด้วย ถ้ามีอะไรที่รินทร์ทำแล้วคุณยอมผ่อนผันหนี้ให้ รินทร์ยินดีค่ะ” “แล้วคุณจะทำอะไรให้ผมได้ล่ะ รสรินทร์” “ได้ยินว่าคุณหาผู้ช่วยส่วนตัวช่วงทำโปรเจกต์อยู่ที่ไทย รินทร์ทำได้นะคะ ก่อนหน้านี้ก็เคยทำงานในบริษัทใหญ่ แต่เพิ่งจะลาออกค่ะ” เธอทำงานที่นั่นได้เกือบสองปีแล้ว แต่พอย้ายไปเป็นผู้ช่วยของประธานบริษัทได้แค่สองสัปดาห์ก็เกิดปัญหา ทำให้อยู่ที่นั่นต่อไม่ได้อีก “ลาออก หรือว่าถูกไล่ออก” เขาสืบประวัติของเธอเรียบร้อย หญิงสาวตรงหน้าไม่ได้ลาออก ทว่าถูกไล่ออกข้อหาชู้สาว แม้ในบริษัทจะทำการสอบสวนกันอย่างลับๆ แต่เขาก็สืบความได้อยู่ดีว่ารสรินทร์ไม่ได้เป็นคนผิด แต่เป็นเจ้านายที่มือไวและฉวยโอกาสกับเธอ “รินทร์ไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นพูดนะคะ” “เรื่องพวกนั้นผมสืบมาหมดแล้ว จริงๆ ผมก็สงสารคุณนะ แต่ผมไม่ใช่คนประเภทที่ยอมขาดทุนเพราะผู้หญิง เอางี้ คุณอยู่กับผมสักสองสามคืน ให้ความสุขกับผม แล้วผมจะพิจารณาเองว่าจะรับคุณเอาไว้ในฐานะอะไรบ้าง” “คุณปราชญ์ นี่คุณหมายความว่า...” “กลางวันทำงานกับผม ผมจะให้เงินเดือนหนึ่งแสนบวกกับเลื่อนการชำระหนี้ให้สิบเดือน คุณต้องเดินทางกับผมทั่วประเทศ คอยอำนวยความสะดวกทุกอย่าง และถ้าคุณผ่านการทดลองงานช่วงกลางคืน ทำให้ผมมีความสุขได้ตลอดเวลาที่อยู่ประเทศไทย ผมจะไม่คิดดอกเบี้ยจนกว่าจะกลับสิงคโปร์ แต่ถ้าไม่ผ่านก็จะงดให้แค่เดือนเดียวเป็นค่าเสียเวลา คุณลองคิดดูดีๆ นะว่าคุ้มหรือเปล่า แล้วก็บอกไว้ก่อนเลยนะว่าผมไม่ได้บังคับใจคุณ” ปราชญ์ยิ้มร้ายกาจ เขาแค่อยากนอนกับเธอสักคืน หรืออาจจะสองคืนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที อย่างน้อยลูกสาวของนักธุรกิจก็น่าจะสะอาดกว่าพวกเด็กๆ ที่มาเอาอกเอาใจเขาเมื่อครู่ หากนอนด้วยแล้วรู้สึกเฉยๆ ก็ให้ช่วยงานระหว่างที่เขาอยู่ประเทศไทย ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย อย่างไรสองสามีภรรยาคู่นั้นก็หาเงินมาจ่ายหนี้จำนวนมากในเวลาสั้นๆ ไม่ได้อยู่แล้ว “ผมให้เวลาคุณคิดนะ ไม่ต้องรีบ” “ช่วงทดลองงานกลางคืน รินทร์ขอเปลี่ยนมาทำในช่วงเย็นได้ไหมคะ พอดีคุณแม่ไม่อนุญาตให้กลับบ้านดึก ถ้าคุณปราชญ์ตกลง...” “ได้เลย เดี๋ยวผมส่งข้อความหาคุณพรุ่งนี้เช้าและถ้าผมถูกใจลีลาของคุณ ผมจะหาวิธีทำให้คุณออกมาอยู่ข้างนอกกับผมเอง” “ขอบคุณค่ะ คุณปราชญ์” เธอพูดจบก็ยกมือไหว้อีกครั้ง ก่อนออกจากห้องวีไอพีของคลับหรู ทิ้งให้เจ้าหนี้มองตามอย่างไม่เข้าใจนัก ปราชญ์ขอให้เธออยู่ในฐานะฮอลิเดย์ เกิร์ลเฟรนด์ นั่นคือเป็นแฟนในช่วงที่เขาอยู่ประเทศไทย แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้โวยวาย ซ้ำยังรับคำราวกับเป็นงานธรรมดาที่ผู้หญิงทั่วไปสามารถทำได้ ดูท่าทางเขาคงประมาทรสรินทร์เกินไปแล้วจริงๆ เมื่อคืนที่ผ่านมารสรินทร์กลับบ้านเกือบสี่ทุ่ม คุณแม่จึงอบรมชุดใหญ่ บอกว่าถ้าคนรู้จะไม่ดีอย่างไรบ้าง ไม่เป็นกุลสตรีอย่างไรบ้าง และลงท้ายด้วยคำว่าอย่าทำอีก เพราะถ้าอธิคุณหรือชายหนุ่มที่นางหมายมั่นว่าจะได้มาเป็นลูกเขยรู้เข้า เขาอาจจะไม่พอใจ เธอจึงแก้ไปว่าที่กลับดึกก็เพราะติดธุระเรื่องงาน ไม่ได้ไปทำเรื่องไม่ดีอย่างที่มารดาคิด พร้อมทั้งบอกว่าในอนาคตอันใกล้อาจได้เปลี่ยนงานเลื่อนตำแหน่ง ต้องเดินทางบ่อยครั้ง ซึ่งมารดาของเธอก็บ่นพึมพำว่าขอให้เงินเดือนเพิ่มขึ้น จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้าน “อย่าไปทำให้เจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานเหนื่อยนะยัยรินทร์ เงินเดือนเด็กจบใหม่มันไม่ได้มาก แต่อย่างน้อยก็ให้ดูแลตัวเองได้ ช่วยค่าใช้จ่ายในบ้านสักหน่อยก็ยังดี” มัทนา โชติกิตติกร บ่นพึมพำออกมาอย่างไม่สบายใจนัก แม้สถานะทางการเงินของบ้านจะไม่ขัดสน แต่ก็ยังไม่สะดวกถึงขั้นใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ยิ่งเจ้าหนี้เร่งรัดให้จ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยคืนในเร็ววัน นางยิ่งต้องวางแผนให้ดีว่าจะทำอย่างไรต่อไป “แล้วที่โรงแรมเป็นยังไงบ้างคะคุณแม่” รสรินทร์หมายถึงโรงแรมขนาดกลางที่บิดาและมารดาเป็นหุ้นส่วน ความจริงเธอต้องไปทำงานที่นั่น แต่สถานการณ์ย่ำแย่เกินไป บิดาจึงไม่อยากให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวจนต้องปวดหัวด้วยอีกคน “แย่ ตั้งแต่โรคระบาดนั่นแหละ พ่อของแกก็ไม่ได้เรื่อง ไม่กล้าเสี่ยงอะไรเลยสักอย่าง ยังดีที่ตอนนี้บริษัทเริ่มมีงานเข้ามาบ้างแล้ว ถ้าเราผ่อนผันหนี้ไอ้ปราชญ์ได้อีกสักปี ทุกอย่างก็คงจะเข้าที่” มัทนาวางแผนว่าจะนำเงินของลูกเลี้ยงมาใช้หนี้สินและดอกเบี้ยที่รุมเร้าไม่หยุดหย่อน แต่ต้องรอให้เธออายุครบยี่สิบปีก่อนจึงจะเบิกทุกอย่างได้ ซึ่งก็ต้องรออีกเกือบปี “บางทีคุณปราชญ์อาจเปลี่ยนใจเลื่อนชำระหนี้ให้เราก็ได้นะคะแม่ รออีกสองสามวันแล้วค่อยไปคุยกับเขาอีกที” รสรินทร์แนะนำได้ไม่เต็มเสียงนัก เธอมั่นใจว่าเขาคงเลื่อนการชำระหนี้ให้ แต่ดอกเบี้ยรายเดือนก็ยังทำให้สถานการณ์ของครอบครัวย่ำแย่มากอยู่ดี “คงยาก ไอ้ปราชญ์หน้าเลือดยิ่งกว่าพ่อมันซะอีก คราวก่อนกว่าจะขอเลื่อนจ่ายหนี้ได้ก็แทบกราบ แม่เกลียดมันจริงๆ นะรินทร์ จองหองไม่มีใครเทียบ อายุแค่สามสิบต้นๆ แต่ทำลอยหน้าลอยตา ไม่เห็นหัวผู้ใหญ่ โตเมืองนอกก็แบบนี้แหละ ไม่มีสัมมาคารวะ ใครได้เป็นลูกเขยนี่ปวดหัวตาย!” มัทนาบ่นพึมพำไปเรื่อย ไม่ได้สังเกตเลยว่าลูกสาวคนเดียวของเธอหน้าซีดเหมือนกระดาษ รอยยิ้มน้อยๆ ที่มักประดับอยู่บนใบหน้านั้นไม่มีเหลือแล้ว “คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะคะ รินทร์ว่าคุณพ่อจะต้องจัดการทุกอย่างได้แน่ๆ ค่ะ อีกอย่างพี่เอื้อเองก็สนิทกับคุณปราชญ์ เขาคงไม่ใจร้ายกับครอบครัวเรามากนัก” “พูดถึงคุณเอื้อ ช่วงนี้เขาหายไปเลยนะรินทร์ ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า” “เปล่านะคะแม่ วันก่อนรินทร์ยังคุยกับพี่เอื้ออยู่เลย เห็นว่าติดงานที่ฮ่องกงน่ะค่ะ กว่าจะกลับก็คงอาทิตย์หน้า” “แล้วไป แม่ละกังวล กลัวว่าคุณเอื้อจะไม่ชอบรินทร์ ยังไงรินทร์ต้องเอาใจเขาให้มากนะลูก ถ้าเขาเอ็นดูรินทร์ พ่อกับแม่ก็จะได้สบาย เรื่องหนี้สินก็ไม่ต้องเครียด พูดง่าย คุยง่าย ไม่เหมือนไอ้ปราชญ์ รายนั้นไม่ไหวจะพูดด้วยจริงๆ” “แต่คุณแม่คะ เราเป็นคนไปขอกู้หนี้ยืมสินเขาไม่ใช่เหรอคะ ที่เขาทวงเพราะเลยกำหนดก็ไม่น่าจะผิดอะไร เราต่างหากที่…” “ยัยรินทร์! นี่แกกล้าเถียงแทนมันงั้นเหรอ!” “เปล่านะคะคุณแม่ รินทร์แค่พูดไปตามความจริง” รสรินทร์หลบสายตาของผู้ให้กำเนิดที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในทุกๆ ครั้งที่เธอพูดจาไม่ตรงใจ ยังดีที่วันนี้ถ้อยคำเผ็ดร้อนและคำขู่ต่างๆ นานาไม่ได้หลุดตามมาด้วย ไม่อย่างนั้นเธอคงเริ่มต้นวันใหม่ได้แย่มากแน่ๆ “ยัยรินทร์! นี่แกจะไปทำงานก็รีบไปเลยนะ เห็นหน้าแล้วรำคาญจริงๆ แล้วก็อย่าลืม โทร. หรือไม่ก็ส่งข้อความหาคุณเอื้อบ่อยๆ ไม่งั้นเดี๋ยวเขาเลิกเอ็นดูแกแล้วเปลี่ยนมาทวงหนี้ พวกเราจะแย่!” มัทนายังไม่รู้ว่าลูกสาวถูกไล่ออกจากงาน จึงสั่งให้รีบออกจากบ้านเพราะกลัวว่าจะสาย ซึ่งรสรินทร์เองก็พยักหน้ารับคำ ก่อนพรมนิ้วตอบข้อความที่เพิ่งเด้งเข้ามาอย่างรวดเร็ว พลางนึกขอโทษมารดาในใจถึงสิ่งที่เธอกำลังจะทำ “คุยกับคุณเอื้อใช่ไหม ยังไงตอบหวานๆ หน่อยนะ หว่านเสน่ห์หน่อย เผื่อเขาจะได้ขอแต่งงานเร็วๆ” มัทนายิ้มอย่างอารมณ์ดีเพราะเข้าใจว่าลูกสาวคุยกับอธิคุณ นักธุรกิจหนุ่มผู้รวบตำแหน่งเจ้าหนี้อีกราย ทว่าความจริงกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม Prach?◽️▪️: ผมจะไปกินมื้อสายข้างนอก คุณมาเป็นเพื่อนผมสิ Rosaline??: ค่ะ รินทร์จะรีบไปนะคะ รสรินทร์ไม่ได้ส่งข้อความหาคนที่มารดาของเธออยากได้เป็นลูกเขย แต่เป็นเจ้าหนี้หน้าเลือดที่นางเกลียดชังมากที่สุด นายปราชญ์ ทิวานันท์! [1] ตรวนรักวิวาห์ร้าว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม