Chapter 5 แค่แซวเรื่องขึ้นคาน พาลเลยเหรอ

1464 คำ
เพลิงตบหน้าขาตัวเองดังฉาด คนเป็นพี่ถึงกับสะดุ้งตกใจ “พี่อย่าบอกนะ! ว่าพี่แอบกินกันเองเป็นฉิ่งฉาบกับพี่รินจริงๆ ผมว่าอยู่แล้วเชียว มีอย่างที่ไหนคนเราจะรักเพื่อนและสนิทสนมได้มากขนาดนั้น อายุจะปาไปใกล้คานเข้าไปทุกที ปากก็บอกว่ามีแฟน แต่ก็ไม่เคยพามาเปิดตัวสักครั้ง” ปลัดเพลิงยังคงจ้อไม่หยุด เดินหน้าแซ็วพี่สาวต่อ เพลินวานฟาดฝ่ามือตบไหล่น้องชายกลอกตาค้อนเหน็บอาการเยอะของเขา “ไม่ต้องมาพูดแบบนี้อีกนะ พี่ไม่ขำ” “โห! แค่เรื่องขึ้นคานก็พาลเลยเหรอ ไอ้เรารึ! ก็อุตส่าห์ขับรถมาไกลตั้งหนองคาย” น้องชายโอดหน้าง้ำให้พี่สาวเพราะต้องการจะแกล้งเธอต่อ จนนางเพลินไหมต้องเป็นฝ่ายห้ามทัพเหมือนอย่างทุกครั้ง “ไม่ต้องเถียงกันเลยสองคน เจอกันที่ไรเป็นอย่างนี้ทุกทีสิน่า ไปเพลิน… เข้าบ้านได้แล้วลูก เพลิงก็เหมือนกัน พี่มาเหนื่อยๆ แทนที่จะได้พัก มาแหย่พี่อยู่นั่นแหละ” นางบอกตัดบทแยกลูกทั้งคู่ออกจากกัน ถึงแม้ว่านางจะรู้ดีว่าทั้งสองแค่แหย่กัน แต่นางก็เห็นว่าลูกสาวเดินทางมาเหนื่อย ก็ควรที่จะได้พักผ่อน นางเพลินไหมหันกลับมาถามหาคนมาส่งลูกสาวอีกครั้ง “เพื่อนไม่เข้ามาบ้านก่อนหรือเพลิน” “ช่อต้องรีบกลับไปร้านค่ะแม่เลยไม่เข้ามา แม่ขา… พ่อไม่มาด้วยหรือค่ะ” หญิงสาวอดที่จะถามถึงบิดาไม่ได้ เพราะรู้ว่าทั้งคู่ตัวติดกันไม่เคยห่าง เมื่อมารดารู้ว่าเธอกลับ บิดาของเธอก็ต้องรู้เช่นกัน “คุณพ่อติดงานด่วนนะลูก ที่จริงก็อยากลงมารับลูกเหมือนกันนะ...” คนเป็นแม่ให้กำลังใจ นางเห็นลูกสาวชะเง้อมองหาคนเป็นพ่อตั้งแต่เห็นแม่กับน้องแล้ว นางเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยประสานรอยร้าวระหว่างสองพ่อลูกคู่นี้อย่างไร คนเป็นพ่อก็ใจแข็งเหลือเกิน ด้วยความที่เป็นผู้นำครอบครัวและเป็นผู้ว่าฯ ที่มีผู้คนนับหน้าถือตามากมาย ก็คงไม่แปลกที่จะรู้สึกเสียหน้าที่ลูกสาวคนเดียวขัดคำสั่งเส้นทางที่คนเป็นพ่อขีดเส้นเอาไว้ให้ แต่คนเป็นลูกก็เชื่อมั่นในตัวเองสูง นางรู้ดีว่านิสัยของลูกสาวเหมือนคนเป็นพ่ออย่างกับแกะออกจากพิมพ์เดียวกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น “แม่ไม่ต้องให้กำลังใจหนูหรอกค่ะ หนูก็แค่หวัง… ว่าสักวันคุณพ่อจะมาชื่นชมและแสดงความยินดีกับความสำเร็จที่หนูมานะฝ่าฟันมาบ้างก็เท่านั้นเอง” “เพลินกลับแม่ฮ่องสอนกับแม่ไปเยี่ยมพ่อกันนะ ไม่ได้เจอลูกตั้งนานพ่อคงดีใจ คุณพ่อไม่ได้โกรธลูกหรอกนะ แม่คิดว่าเขาแค่รู้สึกเสียหน้าเท่านั้นเอง หนูไปง้อคุณพ่อเสียหน่อย… แม่ว่าคงยิ้มแก้มแทบปริละ” “น้าก็คิดเหมือนแม่เรานะเพลิน นานนับสิบปีแล้วที่น้าเห็นเรากับพ่อห่างเหินกันแบบนี้ น้ารู้ดีว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาหนูเองก็ไม่ได้มีความสุขกับการตัดสินใจของหนู ถึงแม้ว่าน้าจะรู้ดีว่า… หนูมีความสุขมากกับการได้ทำในสิ่งที่หนูรัก แต่ถ้าหนูได้ปรับความเข้าใจกับพ่อ หนูจะเป็นคนที่มีความสุขมากที่สุด” “ค่ะแม่...” หญิงสาวตอบรับมารดา ก่อนจะหันไปหาผู้ปกครองอีกคน ถึงแม้ว่าจะเพิ่งเดินทางกลับมา และตอบรับมารดากลับไปเยี่ยมบ้านที่ไม่ได้กลับมานานหลายปี แต่เธอก็ยังห่วงงานอยู่ดี “แล้วเพลินต้องเริ่มงานวันไหนค่ะน้ารตี” “ยังไม่ต้องเริ่มก็ได้จ้า น้าให้เวลาเพลินพักก่อน” “จะดีเหรอคะ” หญิงสาวบอกอย่างเกรงใจ เพราะก่อนที่เธอจะตัดสินใจกลับมา มารตีเกลี้ยกล่อมและให้เหตุผลว่าที่ร้านกำลังขาดคน ต้องการให้เพลินวานกลับมาช่วยด่วน แต่พอกลับมาถึงเธอกลับได้อภิสิทธิ์พิเศษแบบนี้ “หยุดพักสักอาทิตย์สองอาทิตย์ร้านก็คงไม่เจ๊งหรอกมั้ง” “เพลินคงใช้เวลาไม่นานขนาดนั้นหรอกค่ะ ไม่อยากหยุดนาน” มารตียิ้มให้หญิงสาวอย่างอ่อนโยน เพราะนางรู้จักนิสัยของเพลินวานเป็นอย่างดี เธอจริงจัง ขยันและเด็ดเดี่ยวไม่ต่างจากผู้ว่าฯ พาทินผู้เป็นพ่อ แววตาของเพลินวานมีริ้วรอยแห่งกังวลเล็กน้อยเมื่อนึกถึงใบหน้าของบิดา รอยร้าวยาวนานที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับพ่อทำให้หญิงสาวรู้สึกกลัว แต่ตอนนี้เธอก็ต้องเผชิญกับความจริง ไม่ใช่เด็กๆ ที่จะเอาแต่วิ่งหนีอีกต่อไป ผู้ว่าฯ พาทิน บิดาของเพลินวานเป็นคนพื้นถิ่นแม่ฮ่องสอน ตอนนี้ยังดำรงตำแหน่งพ่อเมืองบ้านเกิดก่อนที่จะเกษียณอายุราชการในอีกไม่กี่ปี ถึงแม้ว่าจะต้องเดินทางไปรับราชการหลายจังหวัด แต่บั้นปลายของชีวิตก่อนที่เกษียณอายุราชการ ท่านก็เลือกที่จะย้ายกลับมาพัฒนาบ้านเกิด และเพลินวานก็รักที่นั่นไม่แพ้บิดา ถึงแม้ว่าเธอจะจากมานานมากแล้วก็ตาม ชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาหล่อเหลาจับรถแท็กซี่มาถึงบ้านของตัวเอง เขาเป็นผู้ชายเจ้าของนัยน์ตาสีเข้มอย่างชายเอเชียแท้ หากแต่หุ่นสูงใหญ่เกินไซซ์มาตรฐานของหนุ่มไทยไปเล็กน้อย เสื้อเชิ้ตสีขาวและถูกสวมทับด้วยเจ็คเก็ตตัวหนาสีน้ำตาลเข้ม เข้ากับรองเท้ามันปลาบที่เขาสวมอยู่ มือข้างหนึ่งของชายหนุ่มถูกยกขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลย้อยบนหน้าผาก ความไม่คุ้นชินกับอากาศที่ร้อนจัดกับการแต่งตัวที่ไม่เหมาะสมกับเมืองไทยทำให้ชายหนุ่มหงุดหงิด นี่ถ้าไม่คิดจะกลับมาเซอร์ไพรส์พี่สาว เขาก็คงไม่ต้องทนลำบากเดินทางมาเอง เห็นแบบนี้เขาคงต้องใช้เวลาปรับตัวอีกนานกว่าจะชินกับอากาศ เพราะชีวิตของเขาเกือบทั้งหมดที่ผ่านมาอยู่ในต่างประเทศ ตั้งแต่เริ่มเรียนเกรดหนึ่ง ภูริชเรียนจบด้านวิศวกรรมการบิน เขาทำงานในบริษัทผลิตเครื่องบินยักษ์ใหญ่ของโลกที่รู้จักกันดี หน้าที่การงานมั่นคงจนเขานึกไม่ถึงว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้เขาถูกเรียกตัวกลับ แต่ถึงจะกลับมาแบบไม่เต็มใจ ความทะเล้นและความรักของเขาที่มีต่อพี่สาวก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ชายหนุ่มค่อยๆ ย่องมาที่ห้องโถง คนเป็นพี่สาวกำลังตั้งหน้าตั้งตาสนใจทีวีจนไม่รู้สึกตัวว่ามีคนแอบเข้าบ้าน จนกระทั่งชายหนุ่มเข้าไปถึงตัวทางด้านหลัง “เซอร์ไพรส์!” ชายหนุ่มหอมแก้มพี่สาวฟอดใหญ่ อย่างเอาใจ คนที่สนใจหน้าจอทีวีหันกลับมามองตามเสียงด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไม่ได้มีอาการตื่นเต้นดีใจแม้แต่น้อย ถามกลับด้วยน้ำเสียงดุอย่างไม่จริงจังนัก “กลับมาได้แล้วเหรอพ่อตัวดี นึกว่าจะกลับมางานศพพี่เลยทีเดียว...” ภูริชญาอดเหน็บน้องชายไม่ได้ ในสายตาของเธอภูริชยังคงเป็นนายขี้อ้อนจอมทะเล้น เขายังเป็นน้องที่เธอต้องคอยดูแลเสมอ ถึงแม้อายุจะล่วงเลยวัยสามสิบมานานหลายปี ทั้งหน้าที่การงานดีจนเขาก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำทางด้านวิศวกรรมในบริษัทชั้นนำระดับโลก แต่เธอก็ยังไม่วายต้องห่วงตามความเคยชิน “โห… ดูน้ำเสียงกับคำพูดเข้าสิ แทนที่จะดีใจที่น้องชายสุดที่รักกลับมา ไอ้เรารึ! ยอมแม้กระทั่งลาออกจากงานตามคำสั่ง รู้ไหมว่ากลัวคำสั่งประกาศิตมากแค่ไหน” “หนอย… นี่กลัวแล้วหรอ” “กลัวจนหงอแล้วเนี่ย” ชายหนุ่มโอบรอบคอพี่สาว กอดประจบและหอมแก้มพี่สาวฟอดใหญ่ เธอเป็นคนเดียวที่ชายหนุ่มตรงหน้าแสดงออกแบบนี้ให้เห็น อารมณ์ทะเล้นขี้อ้อนแบบหนุ่มน้อยเขาไม่เคยแสดงออกเพราะภาระหน้าที่การงานของเขานั่นเอง “ยะ! ยังมีหน้ามาพูดอีกนี่ขนาดว่ากลัวนะ เรียนจบแล้วพี่ให้กลับบ้านแกก็ยืดเวลามาเรื่อยๆ ขอทำงานต่อ นี่มันกี่ปีเข้าไปแล้วละ พอสั่งให้กลับด่วน แกก็ไถลไปได้อีกตั้งหลายเดือน ยังมีหน้ามาขอความเห็นใจที่ออกจากงานอีกหรือ” ภูริชญาเงยหน้ามองน้องชายนิ่งและบ่นต่อยืดยาว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม