บทที่ 4 ตรอมใจ

2573 คำ
บทที่ 4 ตรอมใจ เวลาทุ่มกว่า ที่บ้านหลิว.. พ่อหลิวนั่งหน้าเครียดขรึม รู้สึกสงสารและเป็นห่วงลูกสาวคนกลาง เมื่อฟังภรรยาพูดถึงลูกสาวคนกลาง เพียงแต่พวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรมากมาย จึงต้องรอลูกชายคนโตกลับมาก่อนถึงจะรู้เรื่องเพิ่มเติม เพราะภรรยาเห็นทันทีว่าคนที่มาส่งลูกสาวก็คือลูกชายคนโต.. และความเงียบของพ่อแม่ที่นั่งถอนหายใจดังเฮือกๆ นั้น ทำให้ หลิวเหม่ยเหมยที่นั่งฟังพ่อแม่คุยกัน ซึ่งเธอจึงเอ่ยพูดขึ้นว่า “เดี๋ยวหนูขึ้นไปดูพี่รองก่อนนะคะ” “อื้อ ขึ้นไปดูพี่เขาหน่อยเถอะลูก” พ่อหลิวพยักหน้าให้ลูกสาวคนเล็ก.. ด้านแม่หลิว เมื่อเห็นลูกสาวคนเล็กเดินขึ้นบันไดไปแล้ว นางก็หันมามองหน้าสามี เพราะตั้งแต่สามีกลับมา นางก็เห็นสีหน้าของสามีไม่ค่อยดีเท่าไร นางจึงถามว่า “ที่โรงงานเป็นยังไงบ้างคะ” “ยังมีคุณที่รู้ใจผมเสมอ” พ่อหลิวหายใจเบาๆ พร้อมเอื้อมมือไปจับมือของภรรยามากุม แล้วก้มจูบบนหลังมือของภรรยา “บอกมาเถอะค่ะ ที่โรงงานมีปัญหาอะไรคะ” แม่หลิวลูบหลังมือของสามี เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเขา ซึ่งนางดูออกว่าโรงงานผ้าของสามีกำลังมีปัญหา แต่นางก็ช่วยไม่ได้ “มีลูกค้ารายใหญ่ยกเลิกผลิตผ้ากับเราน่ะ” พ่อหลิวถึงจะเครียดกับโรงงาน แต่พ่อหลิวก็ยังปรับสีหน้าให้เป็นปรกติ และยิ้มให้ภรรยาเสมอ ด้านแม่หลิวได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ เพราะโรงงานของครอบครัวอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะลูกค้ารายใหญ่ท่านนี้จริงๆ และในเวลานี้มีโรงงานใหม่ ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด และราคาก็ถูกกว่ามาก จึงทำให้ลูกค้าขาประจำของโรงงานเริ่มหายไป นางไม่คิดเลยว่าลูกค้ารายใหญ่ก็ตามไปด้วย “แล้วเราจะทำยังไงกันดีคะคุณ” แม่หลิวถามสามี เพราะถ้าวันหนึ่งโรงงานของครอบครัวจะถูกปิดตัวลง นั่นหมายถึงครอบครัวของนางต้องล้มละลายแน่ “ผมคงต้องหาลูกค้ารายใหม่” พ่อหลิวพูดขึ้น ในตอนนี้เขาให้เลขาส่งใบเสนอราคาไปยังผู้ประกอบการค้า หลายเจ้าและขอนัดพบ แม้จะได้ลูกค้ารายไม่ใหญ่เท่ากับลูกค้ารายก่อน ที่ยกเลิกไป แต่ก็ถือว่ายังมีรายได้มาทดแทนส่วนที่หายไปได้บ้าง “ฉันเป็นภรรยาที่แย่มากเลย ไม่เคยช่วยอะไรคุณเลยตั้งแต่เราอยู่ด้วยกันมา” แม่หลิวทำหน้าเศร้า เมื่อนึกถึงวันเวลาที่อยู่ร่วมกับสามี ก็เข้าสามสิบปีแล้ว แต่นางไม่เคยได้ช่วยงานในโรงงานเลย “ใครว่าคุณไม่ช่วยผม คุณเป็นภรรยาและเป็นแม่ที่ดีของลูกๆ คุณช่วยเป็นกำลังใจและหนุนหลังผม จนผมสร้างโรงงานผ้าได้สำเร็จไง” พ่อหลิวบอกภรรยา เมื่อได้จูบหลังมือของภรรยา “เราจะผ่านมันไปด้วยกันนะคะ” แม่หลิวบอกสามี ซึ่งพ่อหลิวก็พยักหน้า และเอ่ยให้กำลังใจกันไปมา และจับมือกันข้ามผ่านวิกฤตินี้ไปได้… ด้านหลิวเหม่ยเหมยขึ้นมาชั้นบน ซึ่งเธอยืนอยู่หน้าห้องของพี่สาวคนรอง ทีแรกว่าจะเปิดประตูเข้าไปเลย แต่พอนึกได้ว่าพี่สาวไม่ชอบให้ใครเข้าห้องของเธอก่อนได้รับอนุญาต เธอจึงยกมือเคาะประตู ก๊อกกก!!ๆ.. “พี่รองค่ะ นี่ฉันเองนะ” หลิวเหม่ยเหมยเรียกคนด้านใน แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมาเลย และด้วยความเป็นห่วงพี่สาว เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับจากด้านใน หลิวเหม่ยเหมยจึงเคาะประตูห้องอีกครั้งและเรียกหาพี่สาว “พี่รอง ฉันเข้าไปนะคะ” “ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน ออกไป กรี๊ดด!” แล้วก็มีเสียงตะคอกดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงกรีดร้อง ทำให้หลิวเหม่ยเหมยผละออกจากหน้าประตูด้วยความตกใจ.. ด้านพ่อหลิวและแม่หลิวที่อยู่ข้างล่างได้ยินเสียงร้องกรี๊ดของลูกสาว ซึ่งเขาทั้งสองก็มองหน้ากัน แล้วพากันขึ้นมาดู และเมื่อเห็นลูกสาวคนเล็กยืนนิ่งอยู่หน้าห้องลูกสาวคนรอง เขาทั้งสองก็รีบตรงปรี่เข้าไปหา “เหม่ยเหมย เกิดอะไรขึ้น” แม่หลิวถามแล้วมองลูกสาวคนเล็ก เพื่อสำรวจว่าลูกสาวคนเล็กเป็นอะไรหรือเปล่า “คือหนูมาเคาะห้องพี่รอง แต่ว่า…” หลิวเหม่ยเหมยบอกพ่อกับแม่ยังไม่ทันจบประโยค เสียงกรีดร้องอยู่ข้างในห้องก็ดังแทรกขึ้น พร้อมกับเสียงข้าวของที่ถูกรื้อค้นในห้อง กรี๊ดดด!!..เพล้งง!!.. “อ้ายเหริน” แม่หลิวผละจากลูกสาวคนเล็กจะไปหาลูกสาวคนรองที่ส่งเสียงอาละวาดอยู่ในห้องนอน “อย่าเลยคุณ” ด้านพ่อหลิวส่ายหน้าเวลาห้ามแม่หลิว เพราะถ้าขืนเข้าไปหาลูกสาวคนรองในเวลานี้ คงไม่มีประโยชน์ พ่อหลิวจึงเอ่ยห้ามภรรยาไว้ “คุณค่ะ ลูกเรา…” ด้านแม่หลิวมองหน้าสามีแล้วหันไปมองประตูห้องของลูกสาวคนรอง สีหน้าเป็นกังวลและสะดุ้งทุกครั้ง เมื่อเสียงโครมครามดังอยู่ในห้องนอนของลูกสาวคนรอง “ปล่อยให้ลูกอยู่กับตัวเองก่อนเถอะ ขืนเข้าไปตอนนี้ ลูกก็ไม่เชื่อฟังเราหรอก” พ่อหลิวรู้จักอารมณ์เกรี้ยวกราดของลูกสาวคนรองดี พ่อหลิวจึงบอกภรรยาและลูกสาวคนเล็กให้ลงไปข้างล่าง “ค่ะ” แม่หลิวพยักหน้าแล้วจูงมือลูกสาวคนเล็กเดินตามสามีลงไปข้างล่าง ทั้งที่หันไปมองประตูห้องของลูกสาวคนรอง ซึ่งนางคิดคนเดียวในใจว่า ‘รอให้อ้ายเหรินหายโมโหก่อน นางค่อยขึ้นมาคุยกับลูก’… เวลาสองทุ่มครึ่งในห้องรับแขก.. ทุกคนเมื่อลงมาจากข้างบน ก็พากันมานั่งที่ห้องนั่งเล่น ซึ่งเขา ทั้งสามพ่อแม่และลูกต่างเอาแต่เงียบ และจ้องหน้ากันเป็นบางครั้ง จนเวลาผ่านไปนานหลายสิบนาที ทุกคนทั้งสามที่นั่งเงียบต่างก็หันไปมอง.. หลิวจี้หยวนเดินเข้ามาในบ้าน และกำลังจะเดินผ่านห้องนั่งเล่น เขาก็เหลือบไปเห็นพ่อแม่และน้องเล็กนั่งอยู่ เขาจึงถามพร้อมเดินเข้าไปหา “อ้าว คุณพ่อ คุณแม่ น้องเล็ก ทำไมยังไม่นอนกันครับ นี่…” จี้หยวนกำลังจะบอกพ่อแม่และน้องเล็กว่า ‘นี่ดึกมากแล้วนะครับ’ แต่เขาก็ไม่ทันได้พูด “ตาใหญ่มาพอดีเลย มานั่งคุยกันหน่อยสิ” พ่อหลิวกวักมือและชี้ให้ลูกชายคนโตนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้าม “คุณพ่อมีอะไรครับ” หลิวจี้หยวนนั่งแล้วถามพ่อ สายตาสงสัยก็มองแม่และน้องเล็กสลับกันไปมา เพื่อให้แม่หรือน้องสาวคนเล็กเป็นคนตอบ “เกิดอะไรขึ้นกับน้อง” พ่อหลิวมีสีหน้าเครียดมาก เมื่อถามเรื่องราวของลูกสาวคนรองกับลูกชายคนโต “คืออย่างนี้นะครับ น้องรองได้ไป…” หลิวจี้หยวนเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอ้ายเหรินให้ทุกคนฟังด้วย ทีท่าไม่ค่อยดีนัก เพราะในใจลึกๆ ถึงน้องรองจะร้ายกาจและทำนิสัยแย่ๆ ใส่ทุกคน แต่เขาก็สงสารน้องสาวคนกลาง ที่ถูกผู้ชายปฏิเสธเรื่องความรัก “อื้ม” พ่อหลิวเมื่อได้ฟังแล้วเขาก็ชักสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที “พี่รองรักพี่เฉินหลงมาตั้งแต่เด็กแล้วนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเสียใจที่เห็นพี่เฉินหลงปกป้องผู้หญิงอื่น และยังยืนกอดกันต่อหน้าต่อตาด้วย เป็นฉัน ฉันก็ต้องเสียใจค่ะ” หลิวเหม่ยเหมยพูดขึ้นเมื่อเห็นพ่อกับแม่เอาแต่เงียบ ซึ่งทุกคนรู้ว่าอ้ายเหรินนั้นรักฉางเฉินหลงมากแค่ไหน และไม่แปลกเลย ที่หญิงสาวจะร้องไห้และอาละวาดหนักขนาดนั้น “แต่อ้ายเหรินก็ไม่ควรไปทำร้ายคนอื่นแบบนั้น” แม้จะสงสารลูกสาวคนรองมากแค่ไหน แต่พ่อหลิวก็มองว่าเรื่องนี้ ลูกสาวของเขาทำไม่ถูก “อ้ายเหรินทำไมทำตัวอย่างนี้นะ ทำไมไม่รักเกียรติรักศักดิ์ศรีของตัวเองบ้างเลย” แม่หลิวหน้าเครียดมากในเวลานี้ จึงบ่นให้ลูกสาวคนรอง “อย่าคิดมากเลยคุณ เดี๋ยวผมจะจัดการลูกสาวเราเอง” พ่อหลิวบอกภรรยา ที่ผ่านมาเขาปล่อยผ่านจนอ้ายเหรินได้ใจ ไป ก่อเรื่องไปทั่ว จนทำให้พ่อแม่พี่น้องอับอาย ซึ่งเขาไม่เคยห้ามปราม แต่ครั้งนี้คงต้องพูดคุยกันเสียหน่อยแล้ว เพราะลูกสาวไปก่อเรื่องถึงในกองทัพ ถ้าเกิดมีคนร้องเรียนขึ้นมา ลูกชายคนโตของเขาต้องเดือดร้อนแน่นอน เพราะนิสัยชอบทำอะไรไม่คิดของลูกสาวคนรอง “คุณจะจัดการยังไงคะ” แม่หลิวยิ่งเป็นกังวลจึงถามสามี เพราะรู้ว่าสามีเวลาใจดีก็ใจดีจนใจหาย แต่พอได้ร้ายก็ร้ายจนน่ากลัว “นั่นสิครับ คุณพ่อจะจัดการยังไงกับน้องรองครับ” จี้หยวนก็ถามพ่อ เพราะอยากรู้ว่าพ่อจะทำอะไรน้องรองได้ เพราะปรกติแล้วไม่ว่าพ่อหรือแม่เคยเตือนน้องรองแล้วก็ตาม แต่น้องรองเชื่อฟังเสียที่ไหน เอาจริงๆ ยิ่งเตือนเหมือนยิ่งยุให้ทำ นี่คือนิสัยชอบรองของน้องรอง “นี่ก็ดึกมากแล้ว เหม่ยเหมยขึ้นไปนอนไป จี้หยวนด้วยไปพักผ่อนไป”พ่อหลิวไม่ตอบคำถามของลูกชายคนโต แต่พ่อหลิวกลับบอกลูกๆ ให้ขึ้นไปพักผ่อน “ครับ/ค่ะ” ด้านจี้หยวนและเหม่ยเหมยก็ขานรับ แล้วทั้งสองคนก็ลุกขึ้นพร้อมกันแล้วพากันเดินขึ้นไปชั้นบน แยกย้ายเข้าไปในห้องของใครของมัน… ในห้องนอนของอ้ายเหริน.. หลังจากที่อาละวาดอย่างหนัก และทำลายทุกอย่างในห้องจนเหนื่อยหมดแรงแล้ว อ้ายเหรินก็ล้มตัวลงนอนร้องไห้เสียใจในสิ่งที่เจอมาวันนี้ เธอหลงรักฉางเฉินหลงตั้งแต่เด็ก เพราะตระกูลหลิวกับตระกูลฉางนั้นรู้จักกันมานาน และมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แม้จะรู้ว่าชายหนุ่มไม่ได้รักได้ชอบเธอ แต่เธอก็ยังดึงดันตามตื๊อตามอาละวาด เวลาที่เห็นเขาอยู่กับผู้หญิงคนอื่น “ฮืออ” หลิวอ้ายเหรินนอนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนเตียง เจ็บปวดหัวใจจนไม่รู้สึกว่าเท้าของตัวเองนั่นมีบาดแผลเจ็บปวดจนเลือดไหลไม่หยุด ซึ่งเท้าของเธอถูกแจกันบาดตอนที่ตัวเธอทำแจกันดอกไม้แตก แล้วเธอเหยียบมันโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ… ห้าวันต่อมา.. อ้ายเหรินขังตัวเองและหมกตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ยอมออกจากห้อง ไม่ยอมกินอะไรเลยตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้น นั่นทำให้ทุกคนในบ้านเป็นห่วงมาก โดนเฉพาะแม่หลิวนั้นได้ยืนเกาะบันไดมองขึ้นไปชั้นบน ซึ่งนางได้แต่ถอนหายใจแรงๆ เมื่อเห็นเด็กรับใช้ถือถาดอาหารที่ยังมีอาหารเหมือนเดิมเดินลงมา “คุณอ้ายเหรินไม่ยอมเปิดประตูค่ะ” ‘เหลียน’ เด็กรับใช้บอกแม่หลิวด้วยท่าทีหวาดกลัว ซึ่งเมื่อครู่ตอนเธอเคาะห้องนอนของอ้ายเหรินไม่มีเสียงตอบรับ เพราะเมื่อวานและ วันก่อนที่เธอเคาะห้องยังมีเสียงตอบรับ เฉกเช่นคนในห้องจะโยนของใส่ประตูห้องเสียงโครมๆ แต่วันนี้กลับเงียบจนน่าใจหายมาก “อือ เอาไปเก็บไว้ในครัวไป เดี๋ยวอีกสักพักค่อยอุ่นใหม่แล้วเอาขึ้นไปให้คุณอ้ายเหริน” แม่หลิวสั่งเสียงเหนื่อยๆ เวลามองถาดอาหาร แล้วนางก็มองขึ้นไปชั้นบนและกำลังจะก้าวขึ้นบันได “คุณนายค่ะ” เหลียนเรียกแม่หลิว “มีอะไร” แม่หลิวถาม แต่สายตายังจ้องขึ้นไปชั้นบน “คือว่า…” เหลียนกำลังจะบอกแม่หลิวเรื่องอ้ายเหริน แต่เธอก็ไม่ได้บอก พ่อหลิวที่กลับจากทำงานเดินเข้ามาในบ้าน และเห็นภรรยาที่มีสีหน้าเครียด พร้อมทั้งยืนคุยกับเด็กรับใช้ เขาจึงถาม “มีอะไร” “คุณผู้ชาย” เหลียนชะงักเท้าเมื่อเกือบจะชนประมุขของบ้านที่เดินเข้ามาในบ้านตอนไหนไม่รู้ “นี่อะไร” พ่อหลิวถามเด็กรับใช้ พร้อมสายตาดุดันมองถาดอาหารสลับกับมองหน้าเด็กรับใช้ และมองขึ้นไปชั้นบน “อาหารของคุณอ้ายเหรินค่ะ” เหลียนเปลี่ยนเรื่อง รีบบอกเจ้านาย แล้วขยับถอยหลังเพื่อหลีกทางให้พ่อหลิวเดินไปหาแม่หลิว “คุณค่ะ” แม่หลิวที่กำลังจะขึ้นไปดูลูกสาวนั้น นางต้องเดินย้อนลงมาหาสามี “อ้ายเหรินยังไม่ยอมออกจากห้องอีกเหรอ” พ่อหลิวมองภรรยาอย่างสงสัย “ยังเลยค่ะคุณ ลูกยังขังตัวเองอยู่ในห้องนี่ก็จะเข้าวันที่ห้าแล้วนะคะคุณ ข้าวปลาลูกก็ไม่ยอมกิน ฉันเป็นห่วงลูกจังค่ะ” แม่หลิวทำหน้าเครียดบอกพ่อหลิว “อื้ม” พ่อหลิวพยักหน้ารับรู้ แล้วเดินนำหน้าแม่หลิวขึ้นบันไดไปชั้นบน และเมื่อมายืนตรงหน้าห้องของลูกสาวพ่อหลิวก็มองหน้าแม่ ซึ่งเป็นแม่หลิวเองที่เคาะประตูห้อง และเรียกลูกสาว “อ้ายเหริน” และไม่มีเสียงตอบกลับมาจากข้างใน พ่อหลิวก็เรียกและเคาะประตูเสียงดัง “อ้ายเหรินเปิดประตู นี่พ่อกับแม่นะลูก” “…” เงียบไม่มีเสียงตอบจากข้างใน นั้นยิ่งทำให้แม่หลิวและพ่อหลิวร้อนใจมาก และเป็นพ่อหลิวเองที่ใช้เท้าถีบประตูห้อง จนประตูห้องเปิดกว้าง และเมื่อเข้ามาอยู่ในห้อง พ่อหลิวและแม่หลิวก็ต้องตกใจ เมื่อห้องทั้งห้องมืดสนิท แม่หลิวจึงรีบไปเปิดหน้าต่าง แสงแดดจากข้างนอกส่องเข้ามาในห้องทำให้เห็นลูกสาวนอนไม่ไหวติงอยู่บนเตียง “อ้ายเหริน! นี่ลูกเป็นอะไร ทำไมที่เท้ามีแต่เลือดอย่างนี้” แม่หลิวยืนช็อก เมื่อเห็นสภาพห้องนอนและบนพื้นห้องก็มีคราบเลือด และที่เท้าของลูกสาวก็มีเลือดแห้งกรังติดอยู่ “อ้ายเหรินลูกพ่อ ลูกเป็นอะไร” ด้านพ่อหลิวเข้าไปจับแขนขอ งลูกสาวสะกิดให้ตื่น แต่พ่อหลิวก็ชักมือกลับ เพราะลูกสาวตัวร้อนมาก และดูว่าอ้ายเหรินจะไม่รู้สึกตัวเลย แม่หลิวเห็นสามียืนนิ่งมองลูกสาว นางก็เข้าไปนั่งขอบเตียง แล้วอุทานเสียงตกใจ เมื่อแตะเพียงแขนเล็กของลูกสาวที่ร้อนเป็นไฟ “คุณค่ะ ลูกตัวร้อนมาก” “ลูกไม่สบายนะ ตัวร้อนมากเลย เราต้องพาแกไปโรงพยาบาลแล้ว” พ่อหลิวดึงสติกลับมาแล้วบอกภรรยา แล้วพ่อหลิวเองที่เป็นคนอุ้มลูกสาวขึ้นแนบอก “ฉันจะรีบไปบอกลุงจือให้เตรียมรถนะคะ” ด้านแม่หลิวก็ลนลานเดินตามสามีที่อุ้มลูกสาวออกจากห้องลงไปข้างล่าง เพื่อจะพาลูกสาวคนรองไปโรงพยาบาล…
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม