บทที่ 5 ที่นี่ที่ไหน

2288 คำ
บทที่ 5 ที่นี่ที่ไหน สองชั่วโมงต่อมาที่โรงพยาบาล.. หลิวอ้ายเหรินได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน และไม่ถึงชั่วโมงหมอ ก็ออกมาบอกข่าวดีว่าเธอพ้นขีดอันตรายแล้ว ซึ่งทำให้ทุกคนในบ้านหลิว ที่ยืนรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินนั้นต่างพากันดีใจ เพียงแต่ว่าใครจะไปคิดว่า ในช่วงระหว่างทางที่พาหลิวอ้ายเหรินมาโรงพยาบาลนั้น หลิวอ้ายเหรินได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว โดยมีวิญญาณเร่ร่อนมาเข้าร่างของเธอ.. “ขอบคุณค่ะคุณหมอ ที่ช่วยลูกสาวของฉัน” แม่หลิวเอ่ยขอบคุณหมอทั้งน้ำตา นางโล่งใจจริงๆ และมีความรู้สึกผิดต่อลูกสาวขึ้นมา นี่ถ้านางเข้าไปดูลูกตั้งแต่วันแรก ลูกสาวของนางคง ไม่เป็นแบบนี้แน่… สามวันต่อมา.. หญิงสาวร่างบางนอนอยู่บนเตียงในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล มือของเธอขยับเล็กน้อย แล้วหน้าซีดๆ รวมทั้งหัวคิ้วของเธอก็ขมวดคิ้วจนหน้าผากเป็นรอยหยักทั้งที่ยังหลับตา เธอคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่แล้ว.. “นี่เรายังไม่ตายเหรอ” จางอ้ายเหม่ยพยายามกะพริบตาหลายครั้งเพื่อลืมตาขึ้น และพยายามยกแขนขึ้นเพื่อกุมหน้าอกข้างซ้าย ‘ตัวเธอนั้นได้ตายไปแล้วนี่ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว แล้วทำไมตอนนี้ เธอถึงหายใจได้ มันหมายความว่าไง นี่เธอยังไม่ตายใช่ไหม..’ จางอ้ายเหม่ยในร่างของอ้ายเหรินลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ แล้วหันมองไปรอบด้านของห้อง ซึ่งเธอแปลกใจมาก ที่ห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล ไม่เหมือนห้องที่เธอนอนรักษาตัวเลย ‘หรือว่าคุณพ่อคุณแม่จะเปลี่ยนห้องให้ แต่ไม่น่าใช่ เพราะห้องพักห้องนี้ดูไม่ค่อยมีสิ่งของทางการแพทย์และ สิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยเลย’ จางอ้ายเหม่ยนึกในใจ.. แต่ทันใดนั้น “อ้ายเหรินลูกแม่ ยังไงบ้าง” แม่หลิวที่ยืนอยู่ข้างเตียง นางถามแล้วจับมือของลูกสาวมากุมไว้ เมื่อลูกสาวคนกลางยกมือขึ้นเหมือนจะไขว่คว้าอะไรสักอย่าง เสียงของผู้หญิงที่ไม่คุ้นหูทำให้จางอ้ายเหม่ยหันมามอง เธอ ขมวดคิ้วเข้าหากันอีกครั้ง เมื่อเห็นหญิงวัยกลางคนอายุประมาณแม่ของเธอ ซึ่งเธอเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ในความฝัน “คะ คุณ” จางอ้ายเหม่ยทำเสียงตะกุกตะกักเรียกคนตรงหน้า “พี่รอง เป็นยังไงบ้างคะ” เสียงเล็กของหลิวเหม่ยเหมยดังขึ้น ก็ทำให้จางอ้ายเหม่ยหันไปมอง เธอก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ ‘ที่นี่ที่ไหนกัน และคนพวกนี้เป็นใคร ทำไมถึงเรียกเราว่าอ้ายเหริน’ นี่คือคำถามที่เธอถามตัวเอง และก็หาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้เช่นกัน และถ้าถามคนพวกนี้ พวกเขาก็คงตอบเธอไม่ได้แน่นอน “อ้ายเหริน ลูกเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ปวดหัวไหม บอกแม่สิ” แม่หลิวใจคอไม่ดีเลยที่เห็นลูกสาวมีทีท่าแปลกๆ ซึ่งลูกสาวคนรองทำท่าทางไม่รู้จักนาง แม่หลิวจึงถามเพราะความเป็นห่วง “อึกก” จางอ้ายเหม่ยที่มาเข้าร่างของหลิวอ้ายเหริน ตอนนี้เธอสับสนจนใจเต้นแรงระรัว หายใจแทบไม่ทัน จึงเป็นเหตุให้เธอกระตุกหนึ่งครั้ง ก่อนที่จะช็อกหมดสติไปอีกครั้ง “อ้ายเหริน ลูกเป็นอะไร” แม่หลิวรีบกอดลูกสาวแล้วเขย่าให้จางอ้ายเหม่ยที่อยู่ในร่างของ หลิวอ้ายเหรินเพื่อให้ตื่น แต่ดูว่าเธอยิ่งกระตุกชักหลายครั้งมากขึ้น ด้านเหม่ยเหมยก็ตกใจรีบไปจับแขนพี่สาว “พี่รอง” “เหม่ยเหมยไปตามมาหมอเร็ว” แม่หลิวร้องไห้สะอึกสะอื้นพร้อมบอกลูกสาวคนเล็กให้ไปตามหมอ “ค่ะแม่” ด้านเหม่ยเหมยทำตามคำสั่งของแม่หลิว ซึ่งเธอจึงรีบวิ่งออกไปตามหมอ เพราะอาการของพี่สาวนั้นไม่ค่อยจะดีเลยในตอนนี้.. ไม่ถึงสิบนาที หมอก็เข้ามาตรวจอาการ เธอก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย หมอบอกกับแม่หลิวว่าหลิวอ้ายเหรินไม่เป็นอะไรมาก อาการที่เป็นตอนนี้อาจจะเพราะพบเจอสิ่งที่ทำให้ผิดหวังและเสียใจมาก จึงเป็นแบบนี้… เช้าวันต่อมา.. เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้งอ้ายเหม่ยในร่างอ้ายเหริน ก็พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เธอก็หาข้อสรุปไม่ได้ ‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่’ จางอ้ายเหม่ยพูดคนเดียวในใจ ว่าเธอมาทำอะไรที่นี่ ซึ่งภาพเหตุการณ์ในอดีต ความทรงจำของร่างนี้ ที่หลั่งไหลเข้ามาในหัว ทำให้จางอ้ายเหม่ยรับรู้ทุกอย่าง และรู้สึกเสียดายแทนหลิวอ้ายเหรินที่ตายไป ทั้งที่เกิดมามีร่างกายสุขภาพแข็งแรงดีเพียบพร้อม ไหนจะมีครอบครัวที่รักใคร่กัน แต่เธอกลับทำตัวไม่ดี นิสัยก็แย่ ชอบดูถูกและทำตัวสูงส่งกว่าคนอื่น และยิ่งไปกว่านั้น ที่จางอ้ายเหม่ยรับไม่ได้ที่สุดเลย คือสาเหตุการตายของหลิวอ้ายเหริน ‘เธอตายเพราะตรอมใจเรื่องผู้ชายนี่นะ บ้าไปแล้ว’ จางอ้ายเหม่ยบ่นในใจให้กับความโง่ และนิสัยแย่ๆ ของหลิวอ้ายเหริน.. จางอ้ายเหม่ยไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงต้องมาอยู่ในร่างนี้ พอมองไปยังคนในครอบครัวของอ้ายเหรินแล้ว ความอบอุ่นก็เกิดขึ้นในหัวใจของเธอ ครอบครัวนี้รักใคร่กันดี รวมถึงความรักที่หลิวอ้ายเหรินได้รับจากพ่อแม่ พี่และน้องด้วย ช่างเหมือนครอบครัวของเธอเหลือเกิน.. พอคิดถึงพ่อแม่ พี่ชาย น้องสาว จางอ้ายเหม่ยก็น้ำตาคลอเพราะความเสียใจ เธอคงไม่มีโอกาสได้กลับไปหาพวกเขาอีกแล้ว และไม่มีโอกาสได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตกับพี่น้องแท้ๆ ของเธอ ไหนจะร้านอาหารของเธอ โปรเจคใหม่ๆ ที่จะสร้างแบรนด์กระเป๋า ก็ยังไม่เสร็จ และมีอีกตั้งหลายอย่างที่เธอยังไม่ได้ทำ แม้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ เธอไม่เคยโทษฟ้าโทษดิน ที่ทำให้เธอเกิดมามีโรคประจำตัวแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่เสียใจ เพียงแต่เธอไม่แสดงออกให้ใครเห็นว่าตัวเองเสียใจ เพราะกลัวคนในครอบครัวจะคิดมาก แล้วในหัวของเธอก็นึกขึ้นได้ว่า.. หรือการที่สวรรค์ประทานชีวิตใหม่ให้เธอ ให้เธอมาเข้ามาอยู่ร่างของหลิวอ้ายเหริน...นี่คือการชดใช้หรือไม่นะ และในเมื่อยังหาเหตุผลไม่ได้ว่าเธอมาทำอะไรที่นี่ ซึ่งเป็นประมาณ ปี 1979 ทำไมเธอถึงรู้ว่าเป็นยุค 1979 น่ะเหรอ ก็เพราะเธอดูจากทีวีขาวดำที่ส่งเสียงดังอยู่ข้างหน้านั้นไงล่ะ อีกอย่าง เธอก็ชื่นชอบการอ่านนิยายจีนในยุค 70-80 มากเลยทีเดียว ‘เอาละหลิวอ้ายเหริน ขอให้เธอสบายใจได้ ฉันจะใช้ชีวิตของเธอให้มีค่า และทำดีกับคนรอบข้าง แม้แต่ครอบครัวและทุกคนที่เธอทำร้ายๆ ใส่ ฉันจะทำดีกับทุกคนแทนเธอเอง’… จางอ้ายเหม่ยฝากบอกหลิวอ้ายเหรินไปกับสายลมที่พัดวูบมาจากที่ไหนสักแห่ง เมื่อเธอทำใจยอมรับการย้อนเวลากลับมาได้แล้ว.. ตอนเช้าวันใหม่ในห้องพักฟื้น.. ครอบครัวหลิวก็อยู่พร้อมหน้ากัน มีพ่อหลิว แม่หลิว พี่ชายใหญ่ และน้องสาวคนเล็ก ซึ่งทุกคนยืนล้อมเตียงมองคนป่วยที่ตอนนี้ที่มีร่างบางของหลิวอ้ายเหรินกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง “อ้ายเหริน เจ็บตรงไหนไหมลูก” แม่หลิวถามอาการของลูกสาว พร้อมทั้งบอกให้ลูกชายปิดโทรทัศน์ที่ส่งเสียงดังเจื้อยแจ้ว “ตาใหญ่ ปิดโทรทัศน์เลยลูก น้องไม่ชอบให้มีเสียงดังแบบนี้ เดี๋ยวน้องปวดหัว” แม่หลิวรีบให้ลูกชายปิดโทรทัศน์เพื่อเอาอกเอาใจลูกสาวรองที่นอนป่วยอยู่บนเตียง “ว่าไงลูก เจ็บไหม อ้ายเหริน” แม่หลิวถามขึ้นอีกครั้ง “.…” จางอ้ายเหม่ยไม่พูด เธอทำเพียงแค่ส่ายหน้าและยิ้มเล็กน้อยให้ทุกคน เพราะเธอยังไม่คุ้นเคยกับผู้หญิงรุ่นแม่ ที่แสดงตัวตนว่าเป็นแม่ของเธอ แม้ว่าเธอจะรับรู้ว่าใครเป็นใคร จากความทรงจำของร่างนี้ “ถ้าเจ็บตรงไหนก็บอกนะลูกพ่อ เราจะได้บอกหมอให้มาดูแลอาการของลูก” พ่อหลิวบอกลูกสาวคนรอง พร้อมทั้งยกมือลูบหัวของลูกสาวปอยๆ เพราะรักและสงสารลูกสาวจับใจ “…” จางอ้ายเหม่ยไม่พูด เธอแค่พยักหน้ารับฟังอยู่เงียบๆ ซึ่งท่าทีของพวกเขาที่เอาแต่จ้องมองเธอนั้น ทำให้จางอ้ายเหม่ยทำอะไรไม่ถูก เธอรู้ว่าพวกเขาเป็นห่วงเธอ แต่เธอยังไม่ชินที่จะเรียกคนพวกนี้ว่าพ่อแม่ เธอจึงปล่อยไปก่อน และขอทำใจให้ชินอีกสักพัก และเธอต้องยอมรับให้ได้ก่อน ว่าตัวเองในตอนนี้คือหลิวอ้ายเหริน ไม่ใช่จางอ้ายเหม่ย อีกต่อไปแล้ว… หนึ่งอาทิตย์ต่อมา.. จางอ้ายเหม่ยนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลได้ประมาณหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ โดยมีแม่หลิวและเหม่ยเหมยมาเฝ้าทุกวัน และวันนี้ก็เป็นวันที่เธอต้องออกจากโรงพยาบาล แม่หลิวที่ช่วยลูกสาวคนเล็กเก็บของใช้ของลูกสาว คนรองใส่กระเป๋า นางเห็นอ้ายเหรินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำนานเกินไป จึงเดินไปยืนแนบหน้าตรงประตู แล้วถามลูกสาวว่า “อ้ายเหริน เป็นอะไรหรือเปล่า ให้แม่เข้าไปช่วยไหมลูก” “ไม่ต้องค่ะ หนูไม่เป็นไรค่ะ เสร็จแล้วค่ะ” อ้ายเหม่ยบอก พร้อมทั้งรีบเปิดประตูห้องน้ำแล้วเดินออกจากห้องน้ำ “งั้นไปนั่งรอที่เตียงนะลูก” แม่หลิวบอกอย่างอ่อนโยน ถึงจะสงสัยในท่าทางของลูก แต่เมื่อนึกได้ว่าลูกอาจจะกำลังเบลอหรือดื้อยาที่หมอจัดให้กิน ถึงได้มีอาการแปลกๆ นางจึงเลิกคิด “ค่ะ” จางอ้ายเหม่ยพยักหน้า ทีแรกเธอฝืนตัวไม่ยอมให้แม่หลิวจับ แต่พอนึกได้ว่าตอนนี้เธอเป็นหลิวอ้ายเหริน ลูกสาวคนรองของแม่หลิวแล้ว เธอจึงปล่อยให้แม่หลิวประคองพาไปนั่งที่เตียง ด้านเหม่ยเหมยที่เก็บของใช้ของพี่สาวคนรองเสร็จแล้ว เธอก็รีบบอกแม่ว่า “แม่ค่ะ หนูเก็บเสื้อผ้าของพี่รองเสร็จแล้วนะคะ” “อื้อ แล้วอ้ายเหรินละลูก พร้อมกลับบ้านของเราหรือยัง” แม่หลิวพยักหน้าให้ลูกสาวคนเล็ก แล้วหันมายิ้มและถามลูกสาวคนรอง “…” ด้านจางอ้ายเหม่ยไม่ตอบ แต่เธอยิ้มตอบให้แม่หลิว ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จางอ้ายเหม่ยยังคงรักษาระยะห่างกับครอบครัวหลิว แต่ตอนนี้คงถึงเวลาที่เธอต้องรับ เอาความรัก และความเอาอกเอาใจอย่างอบอุ่นของครอบครัวหลิวได้แล้ว จางอ้ายเหม่ยเริ่มจะทำใจและตัดใจจากครอบครัวจางได้เสียที ‘เอาละ ต่อไปนี้เธอคือหลิวอ้ายเหริน ไม่ใช่จางอ้ายเหม่ยแล้ว’ จางอ้ายเหม่ยในร่างของหลิวอ้ายเหรินแอบถอนหายใจหลายครั้ง เมื่อพูดคนเดียวในใจ.. “งั้นกลับบ้านกันนะ” แม่หลิวบอกแล้วช่วยพยุงลูกสาวคนรองลงจากเตียง “ค่ะ” อ้ายเหม่ยพยักหน้าให้แม่หลิว “พี่รองเดินไหวไหมคะ” ด้านเหม่ยเหมยถามพร้อมเดินมาหา และกำลังจะช่วยประคองพี่สาวรอง เพราะเท้าของพี่รองยังมีผ้าสีขาวพันอยู่ “ไหว ขอบใจน้องเล็กมากนะ พะ พี่เดินเองได้” อ้ายเหม่ยพูดเสียงตะกุกตะกัก เพราะยังไม่ชินที่จะเรียกคนอื่น ว่าน้องเล็ก แต่จางอ้ายเหม่ยในร่างหลิวอ้ายเหรินก็ยิ้มให้เหม่ยเหมย “งั้นหนูถือกระเป๋าให้นะคะคุณแม่” เหม่ยเหมยถึงจะสงสัยในตัวพี่สาวคนรองมาก แต่เธอคิดว่าพี่สาวคงป่วยถึงได้มีกิริยาเปลี่ยนไป พี่รองเปลี่ยนไปในทางที่ดี พี่สาวพูดเพราะ และเรียกเธอว่าน้องเล็ก ซึ่งความจริงแล้วพี่รองไม่เคยเรียกเธอแบบนี้เลย และยังไม่ก้าวร้าวใส่อารมณ์เกรี้ยวกราดกับเธอเหมือนเมื่อก่อนด้วย “ไป อย่ามัวแต่ยืนคุยกันเลย รีบกลับบ้านกันดีกว่า พี่เราจะได้กลับไปพักที่บ้านของเรา” แม่หลิวบอกลูกสาวคนเล็ก แล้วพยุงแขนลูกสาวคนรองให้เดินตามลูกสาวคนเล็ก ที่ถือกระเป๋าเสื้อผ้าเดินลงบันได “ค่ะ” จางอ้ายเหม่ยขานรับอย่างว่าง่าย แล้วให้แม่หลิวประคองพาเดินออกจากห้อง ตามน้องเล็กไปยังบันไดลงไปที่ลานจอดรถ เพื่อขึ้นรถ กลับบ้าน ซึ่งไม่ใช่บ้านที่มีพ่อแม่จาง แต่เป็นบ้านที่จางอ้ายเหม่ยไม่คุ้นเลย เพราะเป็นบ้านหลิวนั้นเอง…
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม