บทที่ 13
แบบเสื้อผ้าของอ้ายเหริน
หลิวอ้ายเหรินเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง และเธอจะออกจากห้องก็ต่อเมื่อออกมากินข้าวและพูดคุยกับคนในครอบครัวเพียงเล็กน้อย แล้วเธอก็กลับเข้าไปเก็บตัวอยู่ในห้องเหมือนเดิม
แม้ทุกคนในบ้านจะเป็นห่วง และมีทีท่าอยากรู้และอยากช่วย แต่อ้ายเหรินก็ไม่ยอมให้ใครเข้าไปยุ่งวุ่นวายในห้องนอน
แม้แต่หลิวเหม่ยเหมยที่รู้มาบ้าง ว่าพี่สาวกำลังทำอะไรอยู่ในห้อง ซึ่งเธอเป็นห่วงและอาสาไปช่วยพี่สาว ทั้งรบเร้า ขอร้อง แต่หลิวอ้ายเหรินก็ ไม่ยอมให้ใครเข้าไปในห้องและช่วยอะไรเธอ…
และเช้าวันที่สี่ ซึ่งเป็นวันสำเร็จของอ้ายเหริน..
“ในที่สุดก็เสร็จสักที” อ้ายเหรินยิ้มอย่างพอใจ ขอบตาดำคล้ำเพราะอดหลับอดนอนมาหลายวัน แต่มีแววสุกประกายวาววับ มองผลงานที่เธอทำสำเร็จกองอยู่บนโต๊ะ
“ต้องเอาไปให้เหม่ยเหมยลองใส่ดูดีกว่า”
อ้ายเหรินพูดคนเดียวด้วยความดีใจ แล้วเธอก็เดินออกมาจากห้องพร้อมกับชุดที่เธอตัดเย็บด้วยตัวเอง ไหนจะเอาแบบชุดที่อยู่ในกระดาษ ถือติดมือออกมาด้วยอีก..
ช่วงเวลาที่เดินตามหาน้องเล็กนั้น อ้ายเหรินก็เจอพี่ชายใหญ่พอดี
“อ้ายเหริน นั่นถืออะไรมาเยอะแยะเชียว” หลิวจี้หยวนเห็นน้องสาวหอบของพะรุงพะรัง เขาก็ถามพร้อมรีบเดินเข้าไปหา
“พี่ใหญ่เห็นเหม่ยเหมยไหมคะ” อ้ายเหรินไม่ตอบคำถามของพี่ชาย แต่เธอกลับถามหาน้องเล็ก
“อยู่ในห้องรับแขกกับคุณพ่อคุณแม่มั้ง” จี้หยวนบอก พร้อมมองหน้าตาอิดโรยแต่ดูมีความสุขของน้องสาว
“อื้อ ขอบคุณนะคะ” อ้ายเหรินพยักหน้าให้พี่ชาย แล้วกำลังจะเดินนำหน้าพี่ชายเข้าไปในห้องนั่งเล่นเพื่อไปหาน้องสาว
เป็นเพราะเสียงคุยกันดังเกินไป จึงทำให้พ่อหลิว แม่หลิว และ เหม่ยเหมยได้ยิน และเขาทั้งสามก็พากันเดินออกมาดู
เหม่ยเหมยที่พยุงแม่หลิวเดินตามพ่อหลิวออกมาดู เมื่อเห็นพี่ๆ เธอก็รีบปล่อยแม่หลิวแล้วเดินไปหาพี่สาว
“พี่รอง”
“เหมยเหมย คุณพ่อ คุณแม่” ด้านอ้ายเหรินยิ้มให้ทุกคนเล็กน้อย แล้วหันไปก้มหัวทักทายพ่อและแม่
“ฉันช่วยค่ะ”
หลิวเหม่ยเหมยเห็นพี่รองหอบผ้าเยอะแยะ เธอก็รู้ทันทีว่าเป็นอะไร จึงรีบช่วยพี่สาวถือของอีกแรง
“ขอบใจเหม่ยเหมย พี่ใหญ่ด้วยค่ะ” หลิวอ้ายเหรินจึงยื่นชุดให้น้องสาว ส่วนพี่ชายของเธอก็ช่วยถือแบบกระดาษ..
เมื่อเข้ามานั่งในห้องรับแขก ซึ่งอ้ายเหรินนั่งกลางที่มีพ่อและแม่หลิวนั่งขนาบข้าง
“นี่มันอะไรอ้ายเหริน”
และก็เป็นพ่อหลิวเองนั่นแหละที่ถาม แล้วละสายตาจากลูกสาว คนรอง มองของในมือของลูกสาวคนเล็กและลูกชายคนโต
“นี่เป็นชุดที่หนูออกแบบเองค่ะ”
อ้ายเหรินบอกพ่อและแม่ เมื่อพี่ใหญ่วางกระดาษออกแบบบนโต๊ะ และน้องเล็กวางชุดที่เธอตัดเย็บไว้บนโต๊ะเช่นกัน
“ออกแบบเอง”
พ่อหลิว แม่หลิว และจี้หยวน อุทานเสียงดังพร้อมกัน แล้วพากันมองหน้าอ้ายเหริน สลับมองชุดที่ลูกสาวคนเล็กชูให้ดู ซึ่งจี้หยวนก็ทำหน้างุนงง ตามองแผ่นกระดาษที่เขาวางไว้บนโต๊ะเมื่อครู่นี้
“หนูตัดให้เหม่ยเหมยค่ะ” อ้ายเหรินบอกพ่อและแม่หลิว พร้อม ลุกขึ้นยืน ซึ่งเธอไม่ลืมหยิบเอาชุดที่วางอยู่บนโต๊ะมาถือไว้
“ของฉันเหรอพี่รอง” เหม่ยเหมยถามพลางลุกขึ้น เมื่อพี่สาวกวักมือให้ไปยืนตรงหน้าพี่สาว
ใช่แล้วละ” อ้ายเหรินยิ้มพร้อมเอาชุดที่เธอถืออยู่ทาบบนตัวน้องสาว
“ทั้งหมดนี้เลยเหรอพี่รอง” เหม่ยเหมยถามอย่างดีใจ
เพราะชุดที่พี่สาวตัดให้เธอนั้น มีแต่ชุดสวยๆ และดูทันสมัยมาก
“นึกแล้วไม่มีผิด ไม่ต้องลองก็รู้เลยว่าต้องใส่ได้”
อ้ายเหรินมองชุดที่เธอทาบบนตัวน้องสาวด้วยสายตาภาคภูมิใจ และดีใจเป็นที่สุด ที่เธอตัดชุดพวกนี้ โดยที่ไม่ต้องลองและต้องแก้อะไรเลย
“คุณแม่ ดูสิคะ นี่มีแต่ชุดสวยๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ” เหม่ยเหมยยิ้มจนแก้มจะแตก เมื่อเอาชุดมาทาบตัว แล้วหันไปให้แม่หลิวดู
“นะ นี่ลูกทำเองทั้งหมดเลยเหรออ้ายเหริน”
แม่หลิวมองชุดในมือของลูกสาวด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ ว่าชุดพวกนี้เป็นฝีมือของลูกสาวคนรอง ที่ตัดเย็บขึ้นมาเองทั้งหมด
“ค่ะ หนูทำเองทั้งหมดเลยค่ะ” อ้ายเหรินพยักหน้าให้แม่หลิว เพื่อย้ำความเข้าใจของคนในครอบครัว
เธอรู้ว่าพ่อ แม่ พี่ชาย และน้องสาว ไม่ค่อยเชื่อเธอเท่าไร ว่าชุด พวกนี้เธอเป็นทำเอง แต่เธอจะต้องทำให้พวกเขาเชื่อให้ได้ ว่าเธอทำได้ เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นของงานเธอ ที่จะเผยแพร่ให้ทุกคนรู้แบรนด์ของเธอ
“แล้วแบบในกระดาษนี่ น้องรองก็วาดเองเหรอ” จี้หยวนถาม พร้อมหยิบแบบกระดาษขึ้นมาดู
เขามองสลับกันไปมาระหว่างกระดาษออกแบบกับดวงหน้าสวยหวานของน้องรอง น้องรองเปลี่ยนไปมาก จากที่เคยแต่งหน้าจัดจ้านดูเป็นสาวกร้านโลก แต่ในตอนนี้น้องรองแต่งหน้าบางเบา ดูสวยน่ารักอ่อนโยนมากกว่าเมื่อครั้งก่อน
“ใช่ค่ะพี่ใหญ่ ภาพพวกนี้ฉันก็วาดออกแบบเองค่ะ” อ้ายเหรินยิ้มให้พี่ชาย
“อ้ายเหริน นี่ลูกไปเรียนจากที่ไหนมา ทำไมแม่ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
แม่หลิวหยิบชุดเสื้อผ้าบนโต๊ะขึ้นมาดูด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ออก เพราะนางอยู่บ้านตลอด และมั่นใจว่าลูกสาวคนรองไม่เคยคิดที่จะใฝ่เรียนด้านนี้เลย
“หนูดูในหนังสือออกแบบที่ซื้อมานะคะ”
อ้ายเหรินจำใจโกหกแม่หลิว เพราะถ้าจะให้พูดเรื่องจริงว่าลูกสาวเธอตายแล้ว แต่มีคนยุคอนาคตมาเกิดในร่างของอ้ายเหริน ซึ่งเธอรับรองว่าทุกคนคงคิดว่าเธอบ้าแน่
“ฝีมือดีและสวยมาก” แม่หลิวละเมอพูดขึ้น พร้อมทั้งหยิบชุดที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาสำรวจการเย็บ
“แบบนี้ก็สวยครับคุณพ่อ” ทางด้านหลิวจี้หยวนเองก็มองแบบชุด ในมือของตัวเอง ด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นก็รีบเอาไปให้พ่อหลิวดู
“อ้ายเหริน ลูกคงไม่คิดที่จะเปิดร้านขายเสื้อผ้าหรอกนะ” พ่อหลิวมองแบบในมือด้วยสายตาชื่นชม แล้วเงยหน้ามองลูกสาวเมื่อเอ่ยถาม
“หนูอยากเปิดร้านเสื้อผ้าค่ะ แต่หนูรู้ว่าตอนนี้คุณพ่อคงไม่มีทุนให้หนูเอาเงินไปเปิดร้านใช่ไหมคะ”
อ้ายเหรินเห็นสีหน้าเป็นกังวลของพ่อ เธอก็รู้ว่าพ่อกังวลเรื่องอะไร
“พ่อ…” พ่อหลิวทำหน้าเคร่งเครียด และกำลังจะบอกลูก..
“คุณพ่อไม่ต้องกังวลเรื่องเงินหรอกค่ะ หนูมีวิธีหาเงินเองได้ค่ะ”
อ้ายเหรินยิ้มให้พ่อ ซึ่งเธอรู้ว่าสถานการณ์ทางการเงินของโรงงานในตอนนี้ คงไม่มีทางที่พ่อหลิวจะเปิดร้านขายเสื้อผ้าให้เธอได้แน่นอน แต่เธอก็หาทางออกให้ตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“อ้ายเหรินจะไปเอาเงินที่ไหนมาลงทุนละลูก”
พ่อหลิวรู้สึกผิด ที่ไม่มีเงินให้ลูกสาวคนรองเอาไปลงทุนเลย
“คุณพ่ออย่าทำหน้าอย่างนั้นสิคะ” อ้ายเหรินรีบบอกพ่อ และหันไปมองทุกคนที่ทำหน้าอมทุกข์เหมือนกัน
ด้านแม่หลิวที่นั่งเงียบและครุ่นคิดจนหัวคิ้วย่นเข้าหากัน ก็ถามลูกสาวคนรองว่า
“ลูกจะไปหาเงินจากที่ไหนเหรอ”
“แม่ค่ะ ตอนนี้หนูยังเปิดร้านไม่ได้ แต่ใช่ว่าหนูจะขายเสื้อผ้าที่หนูออกแบบเองไม่ได้นี่คะ” หลิวอ้ายเหรินจับมือแม่มากุม แล้วยิ้มให้แม่
“ลูกหมายถึงอะไรอ้ายเหริน” แม่หลิวถามแทนทุกคน ที่เอาแต่มองหน้าอ้ายเหริน เพื่อรอฟังคำตอบจากลูกสาว
“แค่เหม่ยเหมยใส่ที่หนูตัดให้ ก็เป็นการค้าอย่างหนึ่งค่ะ”
อ้ายเหรินบอกแม่แล้วชี้ไปที่น้องสาว เธอคิดให้น้องสาวคนเล็กเป็น พรีเซนเตอร์แบรนด์เสื้อผ้าของเธอ และเสื้อผ้าของเธอที่เย็บด้วยอย่างประณีตจะต้องขายดีแน่
“พี่รองคิดเงินมาได้เลยค่ะ ฉันชอบมาก ฉันพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้าง และพอจ่ายค่าชุดพวกนี้ค่ะ”
เหม่ยเหมยเข้าใจว่าชุดพวกนี้พี่สาวคงจะทำมาขายให้กับเธอ เธอจึงรีบพูดขึ้นทันที และจะไปเอาเงินเก็บของตัวเองมาให้พี่รองอีกแรง
“…” ส่วนทุกคนในครอบครัวต่างก็เงียบและครุ่นคิด เพราะไม่คิดว่าหลิวอ้ายเหรินจะเก็บเงินกับเหม่ยเหมยจริงๆ
“พี่ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น” อ้ายเหรินรีบบอกน้องสาว
“อ้าว แล้วยังไงคะ” เหม่ยเหมยทำหน้าสงสัย ไม่เข้าใจสิ่งที่พี่รองพูด
“ชุดที่พี่ตัดให้เหมยเหม่ยใส่นี่ พี่ทำให้เธอจริงๆ ไม่คิดเงิน เพียงแต่มีข้อแม้…” อ้ายเหรินไม่ทันได้พูดอะไร เธอก็ต้องหยุดพูด เมื่อเหม่ยเหมยพูดแทรกขึ้นว่า
“ข้อแม้อะไรคะ”
“เหม่ยเหมยต้องใส่ชุดพวกนี้ เพื่อเป็นนางแบบหาลูกค้าให้พี่น่ะสิ”
อ้ายเหรินอธิบายให้น้องเล็กและคนในครอบครัวฟังถึงแผนการใน หัวของเธอ ว่าถ้าการค้าขายเสื้อผ้าสำเร็จ เธอก็จะทำอาหารปิ่นโตส่งขายอีก
“ถ้าให้พี่เข้าใจในสิ่งที่อ้ายเหรินพูด ก็หมายถึงเหม่ยเหมยต้องใส่ชุดพวกนี้ไปให้คนอื่นเห็น เพื่อให้คนที่เห็นสนใจแบบชุดพวกนี้ แล้วก็พากันมาถามเหม่ยเหมยใช่ไหม” จี้หยวนถามในสิ่งที่เขาเข้าใจ
“ใช่ค่ะพี่ใหญ่” อ้ายเหรินดีดมือใส่พี่ชาย ที่เป็นคนขยายความให้ พ่อ แม่และน้องเล็ก เข้าใจมากขึ้น
“ถ้าฉันใส่ไปมหาวิทยาลัย ชุดของพี่รองต้องมีคนสนใจแน่นอน”
เหม่ยเหมยยิ้มมุมปาก ดวงตาคู่โตเป็นประกาย เมื่อนึกถึงสังคมมหาวิทยาลัย เพราะที่นั่นก็มีการชิงดีชิงเด่นกันอยู่แล้ว รวมถึงค่านิยม ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา และบ่อยครั้งที่เพื่อนๆ ชอบใส่ชุดใหม่มาโอ้อวดกัน
และถ้าเธอใส่ชุดพวกนี้ไปมหาวิทยาลัย เธอมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่า ต้องมีคนสนใจงานของพี่สาวของเธอแน่ และทีนี้พี่รองก็จะมีรายได้และ มีเงินเปิดร้านเสื้อผ้าแน่
“ใช่ หลังจากนี้พี่คงต้องฝากความหวังไว้กับเธอแล้วนะ เหม่ยเหมย”
อ้ายเหรินพยักหน้าให้น้องสาว
“ฉันจะทำให้ดีที่สุดเลยค่ะพี่รอง” เหม่ยเหมยก็พยักหน้ารับ
ด้านพ่อหลิวที่นั่งฟังลูกๆ คุยกันและวางแผนทำนั้นทำนี้ ซึ่งเขาก็ พยักหน้าให้ลูกๆ เมื่อลูกหันมาถามความคิดเห็นด้วยสายตาอบอุ่น ซึ่งเขาเอ่ยชมลูกสาวคนรองว่า “เก่งมากลูกพ่อ”
“ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่มากค่ะ ที่ให้ผ้ากองนั้นกับหนู” อ้ายเหริน จับมือพ่อและแม่มากุมไว้
ซึ่งเธออยากจะบอกพ่อกับแม่เหลือเกิน ว่าหลังจากทำร้านเสื้อผ้าสำเร็จแล้ว เธอยังอยากจะเปิดร้านอาหาร และก่อนที่จะทำร้านอาหาร เธอต้องหาลูกค้าโดยการทำอาหารปิ่นโตขายก่อน
‘ใช่! อาหารปิ่นโตส่งขายตามโรงงาน หรือจะเป็นสำนักข้าราชการ หรือไม่ก็ตามบ้านคุณหญิงคุณนาย หึๆ สงสัยครั้งนี้เราต้องพึ่งพี่ใหญ่แล้ว ซินะ’
อ้ายเหรินยิ้ม เมื่อนึกถึงงานที่เธอรักจะเป็นผลสำเร็จ…