หญิงสาวซึ่งถูกรายล้อมเมื่อครู่ขยับก้าวถอยหลังแต่กลับสะดุดตอไม้ล้มลง นางเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็เห็นประกายเงาวับสะท้อนจากปลายดาบของชายหนุ่มที่ตวัดไปมาปะทะคมดาบของชายทั้งสามเสียงดังสนั่นหวั่นไหวก่อนคนเลวทั้งหมดจะถูกปลายดาบคมกริบตวัดลงกลางหลังและกลางลำตัวล้มลุกคลุกคลานวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงทั้งที่ตามร่างกายเปื้อนเปรอะด้วยโลหิตแดงฉานหายไปคนละทิศคนละทางในความมืด
“แม่นาง...เป็นอย่างไรบ้าง”
เฉิงจิ้นเหอปราดเข้าไปประคองร่างของสตรีที่นั่งตกตะลึงบนพื้น นางเงยหน้าขึ้นและจ้องบุรุษหนุ่มผู้ซึ่งเข้ามาช่วยได้ทันเวลา
“ข้าไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณท่านผู้กล้าที่มาช่วยข้าไว้”
“ดึกดื่นเช่นนี้ใยจึงเข้ามาในป่าเพียงผู้เดียว รู้หรือไม่ว่ามันอันตรายมาก”
“ข้าเดินทางมาจากอีกหมู่บ้าน กำลังจะเข้าไปในเมืองเพื่อหาที่พักก็มาพบคนพวกนี้เสียก่อน ช่างโชคดีเหลือเกินที่ท่านผ่านมาพอดี”
“เจ้าชื่ออะไร?”
“ข้าชื่อ...ฟางซิน”
บทที่ 2 นางมารเร้นกาย
เสียงใสทว่ากังวานกว้างของนางมิได้ทำให้คนฟังฉุกนึกว่ามันคือทำนองเสียงอันทรงพลังแม้ฟางซินพยายามเก็บเร้นสิ่งที่ต้องการแอบซ่อนหากสิ่งที่นางทำได้คือการเปิดเผยความอ่อนช้อยของความเป็นอิสตรีซึ่งดูภายนอกเสมือนอ่อนแอและเป็นคุณสมบัติประการหนึ่งที่มิว่าชายใดก็ต้องแพ้พ่าย หากแต่ชายแปลกหน้ากลับมิยอมฉวยโอกาสตอนที่นางล้มจับต้องเรือนกายอ่อนช้อยงดงามราวนางหงส์มากไปกว่าผละจากและลุกขึ้นยืนขณะเก็บคมดาบกลับลงฝักข้างลำตัว
แว่บหนึ่งที่เห็นก็ทำให้ฟางซินฉุกนึกว่าบุรุษแปลกหน้าผู้นี้คงมิใช่ชาวบ้านธรรมดาเป็นแน่ คนเดินทางธรรมดาสามัญทั่วไปคงไม่พกพาดาบนอกจากจะเป็นผู้ฝึกฝนวิชาการต่อสู้ อาจมาจากสำนักใดสำนักหนึ่งในแคว้นนี้ เพราะดูจากการแต่งกายอันรัดกุม จะว่าเขาเป็นจอมยุทธ์พเนจรก็ไม่เหมือนเสียทีเดียวเพราะดูเหมือนเขามาอย่างมีจุดหมาย ในเวลานั้นเองหวังซื่อก็รีบลงจากหลังม้าวิ่งเข้ามาสมทบ
“เป็นอย่างไรบ้างจิ้นเหอ ท่านบาดเจ็บตรงไหนบ้าง”
“ข้าไม่เป็นไร”
เขาตอบเสียงเบาลงและหันกลับไปยังหญิงสาวที่ยังนั่งบนพื้นหญ้า ในห้วงขณะนั้นเองที่แสงไฟจากคบเพลิงในมือหวังซื่อสาดลงบนใบหน้าสวยงามหมดจดของนาง เฉิงจิ้นเหอชะงักงันไปชั่วลมหายใจ ขุนศึกผู้เกรียงไกรมิใช่ว่าไม่เคยเห็นนางสนมในราชวัง หญิงเหล่านั้นแต่งกายด้วยแพรพรรณและเครื่องถนิมพิมภางดงาม หากก็ไม่เคยเห็นหญิงชาวบ้านใบหน้าสวยซึ้งผุดผาดและมีผิวขาวผ่องราวดั่งหยกเปล่งประกายเช่นนี้ และนอกจากเว่ยซูฉี คู่หมายของเขาแล้วเฉิงจิ้นเหอแทบไม่เคยละสายตาไปมองหญิงใด ขุนพลหนุ่มสงบความคิดของตัวเองลงชั่วขณะก่อนจะกล่าวเสียงเย็น
“ลุกขึ้นเถิดแม่นาง”
“ข้า...ข้า...อะ...”
ฟางซินนิ่วหน้าเมื่อพยายามจะลุกขึ้นแต่ก็ลุกขึ้นไม่ได้ นางจับข้อเท้าตัวเองและทำให้เฉิงจิ้นเหอประหลาดใจ
“มีอะไรหรือ...โอ...ที่ข้อเท้าของเจ้ามีเลือดออก”
เขาก้มลงดูที่เท้าขาวผ่องของนางและเห็นว่าข้างที่มีลูกกระพรวนเงินเล็ก ๆ ห้อยอยู่เป็นรอยช้ำมีเลือดซึมออกมา ฟางซินก้มลงมองข้อเท้าตัวเอง แท้จริงบาดแผลเพียงเท่านี้มิได้สร้างความเจ็บปวดให้นางแต่อย่างใดหากเพื่อมิให้เป็นที่สงสัยนางจึงแสร้งทำสีหน้าตกใจเมื่อเห็นหยาดโลหิตอาบแผล
“นี่เจ้าเดินได้หรือไม่?”
ขุนศึกหนุ่มเอ่ยถาม ยามเขาก้มหน้าลงไปใกล้กลับทำให้นางมารบังเกิดความหวั่นไหวในฉับพลัน ซึ่งไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน ในกายของนางร้อนรุ่มด้วยพลังปราณแปรปรวนซึ่งโดยปกติมันจะเกิดขึ้นเมื่อนางบังเกิดความตื่นเต้นหากก็สงบความปรวนแปรนั้นลงได้ในชั่วไม่ถึงหนึ่งลมหายใจ ฟางซินสกัดพลังฟุ้งซ่านนั้นไว้ด้วยการกดปลายนิ้วเพียงเบา ๆ ร่างกายของนางผ่อนคลายลงแต่จะสำแดงความเข้มแข็งว่ามิได้เป็นเช่นไรเลยตอนนี้ไม่ได้ นางพยักหน้า
“ได้...ข้าคิดว่าได้”
“แต่เลือดของเจ้าออกมาก เห็นทีว่าเจ้าจะเดินไม่ไหว เอาอย่างนี้ข้าจะรัดปากแผลให้เจ้าก่อน ว่าแต่...เจ้ากำลังจะไปไหน”
“ข้าเดินทางมาหาญาติของข้าในหมู่บ้าน”
“เขาอยู่ที่ไหนรึ”
“ข้าไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน คิดว่าจะมาหาที่พักนอนก่อนสักราตรีแล้ววันพรุ่งจึงจะออกไปถามคนในหมู่บ้าน ว่าแต่...ท่านล่ะ เอ้อ...ข้ายังไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของท่านเลย”
“เรียกข้าว่าจิ้นเหอ”
“ท่านมาทำอะไรที่นี่”
“ข้ากำลังจะเดินทางไปยังวัดโค้วอิงยี่ ข้ามีธุระสำคัญที่นั่น...หากเจ้าเดินไม่ไหวจริง ๆ ข้าจะให้เจ้านั่งบนหลังม้าของข้าเข้าไปในหมู่บ้านพร้อมกัน”
เฉิงจิ้นเหอไม่กล่าวอันใดมากไปกว่านั้น เขาให้หวังซื่อหยิบผ้าและยาจากถุงย่ามบนหลังม้าเพื่อทำแผลให้หญิงสาวอย่างว่องไวแต่ก็เรียบร้อยดีก่อนจะอุ้มนางขึ้นไปนั่งบนหลังอาชาสีเผือกโดยยอมเป็นผู้จูงม้าเดินเข้าไปยังหมู่บ้าน ท่าทีของเขาสงบเยือกเย็นดุจน้ำใต้ขุนเขา แววตากล้าแข็งของเขาบ่งบอกอะไรบางอย่างที่นางคาดการว่าบุรุษงามสง่าดุจเทพผู้นี้หาใช่ชาวบ้านธรรมดาสามัญทั่วไป และสิ่งที่จุดความสงสัยแก่นางอย่างยิ่งคือจุดประสงค์ของการเดินทางไปยังอารามบนยอดเขาหวงซาน