“แม่...หนูไปก่อนนะ คืนนี้เจอกันที่บ้านนะคะ”
“เดินทางปลอดภัยนะลูก อย่าไปมีเรื่องกับใครเขาอีกล่ะ”
“คร้าบบบ” และร่างสูงของอัลฟ่าก็เดินปลีกตัวออกจากบ้านในทันทีพร้อมกับที่ปากของเธอคาบขนมปังแผ่นเอาไว้ด้วยอย่างสบายใจ
การเดินทางที่ฮันส์เลือกใช้ก็เป็นรถจักรยานยนต์คันโปรดของเธอ แม้ว่าบ้านของเธอจะหลังใหญ่โตและมีรถมากมายให้เลือกสรร แต่คนติดดินอย่างเธอก็เลือกที่จะใช้วิธีเดินทางด้วยรถที่มันขับเคลื่อนง่ายและเหมาะกับการเดินทางในระยะสั้น ๆ อย่างการไปที่โรงเรียนไฮสคูลที่เธอกำลังศึกษาอยู่
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการสอบแล้ว เธอกำลังจะจบชั้นปีการศึกษาสูงสุดของโรงเรียนแห่งนี้ และกำลังจะก้าวขึ้นไปอีกขั้นของการเรียนต่อในรั้วของมหาวิทยาลัย
คุณย่าของเธอก็ดีใจมากที่เธอจะย้ายไปเรียนต่อที่เมืองหลวงอย่างที่เจ้าหล่อนเคยตั้งใจอยากจะให้มันเป็นแบบนั้นตั้งแต่ที่เธอยังเด็ก และแม้เธอจะไม่อยากไปแต่ในเขตเมืองชนบทเล็ก ๆ ที่เธออยู่ไม่มีมหาวิทยาลัยให้เธอได้เข้าศึกษาต่อ
และด้วยคะแนนของเธอที่สูงลิ่วจนน่าตกใจแม้ภายนอกจะดูเหมือนเป็นเด็กเกเรก็ทำให้มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศนี้ถึงกับส่งหนังสือมาเชิญชวนให้เธอไปศึกษาต่อที่นั่นและเสนอทุนให้เธอจนจบปริญญา แม้ว่าเธอจะไม่ได้ขัดสนในเรื่องเงินทองแต่ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของเธอก็ต่างเห็นดีเห็นงามด้วยไปเสียอย่างนั้นเพราะมันเป็นมหาวิทยาลัยที่คนในตระกูลของเธอจบมาแล้วรุ่นต่อรุ่นไม่เว้นแม้กระทั่งคุณพ่อของเธอเอง
❣︎❣︎❣︎
“ไอฮันส์ เวลาอยู่ในห้องสอบ ก็บอกคำตอบกูบ้างดิ อาจารย์เขารักมึงจะตายเขาไม่ว่าหรอกไอเพื่อนรัก” บิลล์เพื่อนสนิทที่เป็นอัลฟ่าเหมือนกับเธอแต่สมองของเรานั้นต่างกันลิบลับ
เพราะบิลล์มันไม่เคยสนใจอะไรแม้กระทั่งการเรียน มันสนใจแค่อย่างเดียวก็คงเป็นพวกผู้หญิงทั้งโอเมก้าและเบต้าที่มันเอาแต่หลอกฟันเขาไปวัน ๆ ไม่เลือกหน้า ที่มันรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็ต้องขอบคุณตระกูลของมันที่มีชื่อเสียงและก็ร่ำรวยไม่ต่างจากเธอ
“ทำเองดิวะ กูไม่บอกมึงหรอก” และฮันส์ก็เดินหน้าหนีไปในทันทีเพราะไม่อยากจะสนทนาปราศรัยกับมันสักเท่าไหร่
“ไอเพื่อนเวร! นี่เรายังต้องเห็นหน้ากันอีกนานเลยนะเว้ย!”
“เหมือนกูอยากเห็นมึงตายล่ะ!” และเธอก็เลือกที่จะไม่สนใจมันที่เดินตามหลังมาทั้งยังบ่นกระปอดกระแปดให้เธอยิ่งรู้สึกรำคาญใจ
ก็อย่างที่บอกว่ามันรวย มันจึงไม่ใช่เรื่องยากเลยหากมันจะใช้วิธีสกปรกเพื่อเข้าไปเป็นปลิงเกาะเธอต่อในรั้วของมหาวิทยาลัยน่ะนะ...
❣︎❣︎❣︎
การสอบในวันนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี ฮันส์ทำข้อสอบเสร็จก่อนเวลา และยังมีเวลาเหลือมากพอที่จะมานั่งเล่นอยู่ในสวนของโรงเรียนเพื่อลำลึกถึงความทรงจำเก่า ๆ และบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นมากับตัวของเธอแม้มันจะผ่านมาแล้วหลายปีแต่มันก็ยังคงเดิม
หลังจากในวันนั้นที่ฮันส์เลือกที่จะวิ่งหนีไปเพราะยังไม่พร้อมสู้หน้ากับพวกผู้หญิงที่ไอเพื่อนตัวดีของเธอนั้นเอ่ยเรียกเอาไว้ และเธอก็ไม่ทันได้สงสัยหรือเอะใจกับเสียงนาฬิกาปลุกที่ดังขึ้นมาจากตัวของเธอ
วันนั้นฮันส์รีบกลับบ้านในทันทีอย่างไม่มีรีรอ และมาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวของเธอให้แม่ของเธอได้ฟัง และนั่นก็ทำให้เธอสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่ส่องสว่างขึ้นมาอยู่บนข้อมือของเธอ มันเป็นตัวเลขที่เริ่มขึ้นมาอยู่ที่เลข 100 และไม่มีใครสามารถมองเห็นมันได้แม้กระทั่งแม่ของเธอเอง
ตอนนั้นเธอตกใจมากกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น เพราะเธอไม่เคยเชื่อมาก่อนแม้ว่าคุณแม่ของเธอจะเคยเล่าให้เธอฟัง เป็นเพราะว่าเธอไม่ได้เห็นมันกับตาเหมือนกับที่ตอนนี้ตัวเองกำลังเห็นอยู่ เพราะบนข้อมือของคุณแม่ก็มีเลขขึ้นมาเหมือนกันแต่เธอเองก็ไม่สามารถมองเห็นมันได้ และคนที่จะสามารถมองเห็นมันได้ก็เป็นเจ้าตัวเองกับคู่โซลเมทของคน ๆ นั้นเท่านั้น
และนั่นก็เป็นอีกครั้งที่ฮันส์เลือกจะเปิดใจและรับฟังคำบอกเล่าจากปากของคุณแม่เธอทุกสิ่งอย่าง และมันก็ทำให้เธอตื่นเต้นมากจนอยากจะพบเจอกับคู่โซลเมทของเธออีกครั้ง ฮันส์จึงตัดสินใจวิ่งกลับไปที่โรงเรียนที่ไม่ได้ห่างจากบ้านของเธอมากนัก แต่มันก็สายไปเสียแล้วเพราะหล่อนเองก็จากออกไปไกลพร้อมกับรถบัสคันนั้น
และหลังจากนั้นไม่นานรอยแผลเป็นที่อยู่บนหน้าอกของเธอก็เริ่มเด่นชัดมากขึ้น มันเป็นดอกไม้บางชนิดอย่างดอก ทานตะวัน ซึ่งจนแล้วจนรอดถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่เข้าใจความหมายของดอกทานตะวันนั้นเลยอยู่ดีว่ามันหมายถึงสิ่งใดกันแน่ แต่แม่ของเธอก็เคยบอกกล่าวเอาไว้ว่ามันเป็นลักษณะและนิสัยของคน ๆ นั้นที่เป็นคู่โซลเมทของเธอ
“อ้าวฮันส์...ยังไม่กลับเหรอ?” เสียงหวานนุ่มหูของใครบางคนดังขึ้นมาให้ฮันส์นั้นมีสติและรีบเงยหน้าขึ้นไปสบมอง
“เบริน...” ฮันส์ยกยิ้มให้กับเพื่อนร่วมรุ่นเบต้าตรงหน้าของเธอ ก่อนที่เจ้าหล่อนจะถือวิสาสะนั่งลงตรงข้ามกันและสบมองกันอย่างน่ารัก
เบรินเป็นคนสวย น่ารัก ทั้งยังอ่อนหวาน เจ้าหล่อนเป็นถึงดรัมเมเยอร์ไม้หนึ่งของโรงเรียน มีดีทั้งด้านกีฬาและด้านวิชาการจนกระทั่งได้รับการยกย่องจากเพื่อน ๆ ร่วมรุ่นหลาย ๆ คน แต่กลับแปลกที่คนสวยน่ารักอย่างเบรินไม่เคยเคียงคู่กับผู้ใดเลย หล่อนมักจะปฏิเสธความสัมพันธ์กับผู้อื่นเสมอจนหลาย ๆ คนต้องคอตกกลับไปเพราะคำปฏิเสธที่แสนอ่อนโยนของเจ้าหล่อน
“มานั่งทำอะไรอยู่คนเดียวตรงนี้”
“พอดีว่าอยากจะมาเก็บความทรงจำก่อนน่ะ ถ้าเบรินจำได้...เรากับไอบิลล์ชอบโดดเรียนมาอยู่ที่นี่บ่อย ๆ”
“แต่อย่างน้อยฮันส์ก็เรียนเก่งนะ” เจ้าหล่อนยกยิ้มออกมาอีกครั้งอย่างอารมณ์ดี รอยยิ้มของหล่อนเฉิดฉายมันเจิดจ้าราวกับดอกทานตะวันที่จ้องมองแต่เพียงดวงอาทิตย์
แต่มันไม่ได้ทำให้เลขที่อยู่บนข้อมือของเธอขยับไปต่อได้เลย ฮันส์จึงทำได้เพียงแต่ข่มใจเอาไว้...ไม่ให้รู้สึกกับเบรินไปมากกว่านั้น
“เบริน”
“ฮันส์” ทั้งสองเผลอเรียกชื่อออกมาพร้อม ๆ กันทำให้เรานั้นยกยิ้มออกมาอีกครั้ง รอบกายสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านอยู่รอบตัวของเรา หัวใจของเธอกำลังเต้นเสียงดังโครมคราม แต่มันก็ไม่ใช่เสียงนาฬิกาที่เธอเคยได้ยินจากเจ้าหล่อนคนนั้น
“เธอพูดก่อนเลย” ฮันส์ผายมือเปิดทางให้เจ้าหล่อนได้พูดก่อน ซึ่งเบรินก็ยกยิ้มออกมาอีกครั้ง
“เราแค่จะถามว่าคืนนี้ฮันส์จะมางานบายเนียร์ไหม?”
“แน่นอนสิ แน่นอนว่าเราต้องไป” เจ้าหล่อนหลุบตาลงต่ำทันทีที่เธอพูดจบ หัวใจของฮันส์เต้นระรัวและเม้มปากแน่นเพราะคิดว่าควรจะพูดมันออกไปดีหรือไม่ เพราะเธอเองก็อยากจะชวนเบรินไปงานกับเธอมาก ๆ แต่มันก็ติดอยู่ที่ความรู้สึกของเธอนี่เอง...
“แล้วฮันส์...มีคู่เต้นรำหรือยัง?” วินาทีที่ดวงตาสอดขึ้นมาประสานกันนั้น หัวใจของฮันส์แทบจะหยุดเคลื่อนไหว
เบรินจ้องมองมาที่เธอเพื่อต้องการคำตอบ แต่ตอนนี้เธอปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอกำลังรู้สึกกับเบรินมากเกินกว่าที่ควรจะเป็น...แต่ผิดที่เราไม่ใช่คู่โซลเมทกัน และเธอกำลังรู้สึกผิดกับคู่ของเธออยู่ แม้ว่าตอนนี้เราจะยังไม่ได้เจอหน้ากันแบบจริงจัง แต่ความรู้สึกโหยหาและความรู้สึกผูกพันนั้นก็ทำให้อันส์รู้สึกจุกอยู่ที่อกจนพูดไม่ออก
“ฮันส์ไม่ต้องรีบให้คำตอบกับเราก็ได้นะ” เบรินรีบเอ่ยเพราะเธอกำลังสัมผัสได้ถึงความหนักใจของคนตรงหน้า “ถ้าหากตกลง...คืนนี้หนึ่งทุ่มเราจะรออยู่ที่หน้าทางเข้านะ เราพาเพื่อนจากโรงเรียนในเมืองมาด้วย เราหวังว่าฮันส์จะมานะ” ก่อนที่เจ้าหล่อนจะยกยิ้มให้เธออีกครั้งและเดินจากออกไปพร้อมกับหัวใจของฮันส์ที่กำลังเต้นสั่นระรัว
เธอควรจะทำเช่นไรกับความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ ปฏิเสธเรื่องความผูกพันนั่นไปแล้วค่อยไปว่ากันทีหลัง...หรือจะยังคงมั่นคงรอจนวันที่จะได้เจอคู่โซลเมทของตัวเองดีนะ?