“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเสื้อผ้าฉัน” ฉันถามขึ้นทันทีในขณะที่พี่คิมหันต์กำลังจะพาฉันไปเอาเสื้อผ้าที่บ้าน
“ใส่ไปก็ต้องถอดสู้ไม่มีไม่ใส่ไม่ดีกว่าหรอ”
“นายมันไอ้โรคจิตวิปริต” อดไม่ได้ที่จะพ่นคำด่าใส่เขาเพราะคำพูดแต่ละคำที่ออกจากปากของเขาทำฉันไม่ชอบใจ
“ด่าฉันแบบนี้ระวังเธอจะเจอเซ็กซ์ที่วิปริต” ทุกวันนี้มีตรงไหนบ้างที่เซ็กซ์ของเขามันดีสำหรับฉัน
“สำหรับฉันนายก็เป็นคนที่วิปริตและโคตรชั่วอยู่ดี” เพราะตอนนี้ฉันไม่มีแม้แต่ความกลัวอีกแล้ว
“ระวังคำพูดของเธอหน่อยก็ดี ฉันซื้อเธอแล้วจำใส่หัวของเธอไว้ด้วย” พูดจบก็ใช้นิ้วของเขาผลักหัวของฉัน
“ไม่พอใจหรอ ถ้านายไม่พอใจก็เลิกยุ่งกันฉันไปซะ” ฉันพูดขึ้นอีกครั้งก่อนจะเลิกสนใจเขา ไม่อยากจะพูดอะไรกับเขามาก ยังไงตอนนี้เขาก็คือคนชั่วในสายตาฉันอยู่ดี
“หนูออกไปอยู่ข้างนอกกับเพื่อนนะ” ฉันพูดขึ้นเมื่อเข้ามาในบ้านหลังโตที่มีชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อของฉันนั่งอยู่กลางบ้าน
“บ้านใคร”
“เพื่อน” ฉันตอบสั้นๆ ก่อนจะเลี่ยงขึ้นมาเก็บเสื้อผ้า เพราะถ้าฉันช้าแน่นอนเขาต้องเข้ามาแน่ๆ
“ทำไมต้องไปอยู่บ้านเพื่อน บ้านเราก็มี” พ่อถามขึ้นอีกครั้งเมื่อฉันหอบหิ้วกระเป๋าและของต่างๆลงมา
“แลกกับเงินใช้หนี้ของพ่อไง” พูดจบฉันก็เดินออกมาทันทีโดยไม่สนใจพ่ออีกเลย
อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เจอเรื่องอัปรีย์แบบนี้ก็คือพ่อ ถ้าพ่อไม่ติดการพนันจนหนี้ท่วมหัว เขาก็ไม่เข้ามาหาฉันแบบนี้
“ฉันคิดว่ากำลังจะไปตามเธอพอดี” เขาพูดขึ้นทันทีที่ฉันขึ้นรถ
“อย่าสะเออะเข้าไปในบ้านฉัน” เขาไม่ควรเข้าไปในบ้านของฉันและไม่ควรจะไปเสนอหน้าให้พ่อของฉันเห็น
“อย่าลืมว่าฉันซื้อเธอมา พูดดีๆกับฉันด้วย”
“แล้วยังไง” ฉันตอบกลับอย่างไม่สนใจ
“เตรียมตัวให้ดีเธอพูดกับฉันยังไง ฉันก็จะเอาเธอแบบนั้น”
ควับ !
ฉันหันหน้าไปมองเขาอย่างเร็วด้วยความไม่พอใจ
“ฉันรู้ว่าเธอก็ชอบสัมผัสจากฉัน” มั่นหน้า
“สัมผัสที่น่าขยะแขยงนะหรอ” ใครจะชอบสัมผัสของเขากัน หลงตัวเองเป็นที่สุด
“ถ้าเธอไม่ชอบเธอคงไม่ครางลั่นห้อง”
ฉันไม่ตอบอะไรกลับไปเพียงแค่นั่งเฉยๆ ฉันไม่เคยชอบสัมผัสของเขา ทุกครั้งที่เขาโดนตัวของฉันร่างกายมันเตือนฉันเสมอว่าเขาคือคนที่โคตรชั่วและสารเลว
วันต่อมา
“ช่วยทำเหมือนว่านายกับฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน” ฉันพูดขึ้นเพราะตอนนี้เราอยู่บนรถเช่นเคยและกำลังมุ่งหน้าตรงไปยังมหาลัย
แน่นอนฉันไม่มีทางให้เพื่อนของฉันให้รู้เรื่องนี้เด็ดขาด ไม่อยากให้ใครรู้ว่าฉันเจอเรื่องอัปรีย์แบบนี้
“ทำไมฉันต้องทำ”
“เพราะฉันขอ”
“ถ้าเธอทำตัวดีๆแน่นอนว่าจะไม่มีใครรู้แต่ถ้าเธอพยศ เชื่อสิ เพื่อนเธอรู้แน่ยิ่งไอ้พายุเป็นแฟนกับน้องโมจิ เราต้องเจอกันบ่อยๆด้วยสิ” เขาพูดขึ้นต่อทั้งที่ไม่ได้หันมามองฉันเพราะสายตากำลังจับจ้องไปยังท้องถนน
“ฉันไม่เคยพยศ” ถ้าเขาไม่ทำอะไรฉันก่อน
“แล้วใครกันนะ”
“ถ้านายไม่ทำระยำกับฉันก่อน” ฉันพูดขึ้นต่อพร้อมพ่นคำด่าใส่เขาไปด้วย
“ก็เธอมันพยศ”
“จอด ฉันจะลงตรงนี้” ฉันพูดขึ้นอีกครั้งเมื่อเขากำลังเลี้ยวรถเข้ามหาลัย
“กลัวเพื่อนรู้ขนาดนั้นเลยหรือไง”
“แน่สิ เรื่องนี้มันต้องไม่มีใครรู้”
“งั้นก็ลงไป” ฉันลงจากรถทันทีเมื่อเขาพูดจบพร้อมกับเดินไปขึ้นรถรางของมหาลัยเข้าไปที่คณะ
แน่นอนว่าตอนนี้เพื่อนๆของฉันก็มาแล้วและที่สำคัญวันนี้เป็นวันที่โมจิต้องไปเดินให้พี่พอลล่าดู เนื่องจากมันได้รับเลือกให้เป็นดาวคณะ
พูดแบบนี้ก็ไม่ถูกเพราะวันนั้นมันดันไม่มา ฉันกับแพรก็เลยยกตำแหน่งนี้ให้มันไปเลย
“มึงจะไปดูอิโมไหมน้ำขิง” แพรถามฉันขึ้นทันทีซึ่งตอนนี้โมจิได้วิ่งหายออกไปจากห้องแล้วเพราะมันรีบที่จะไปหาพี่พอลล่า
“ไปดิ” เพราะเคยรับปากมันไปแล้วว่าจะมาซ้อมด้วย
หลังจากนั้นฉันกับแพรเดินตรงไปยังห้องซ้อมทันที
“สวัสดีค่ะพี่ๆ” ฉันกับแพรพูดขึ้นพร้อมก่อนจะส่งยิ้มสวยๆ ไปให้เพื่อนสาวว่าที่ดาวมหาลัยที่นั่งอยู่
“หายหัวเลยนะพวกมึง” โมจิว่าขึ้นก่อนจะนั่งทำหน้าบึ้งตึงใส่พวกฉัน
“ก็มาแล้วนี่ไง” ฉันพูดขึ้นทันทีเพราะดูท่าทางของมันก็รู้ว่าแอบไม่พอใจที่พวกฉันตามมาช้า
“สองคนมาก็ดีแล้วช่วยโมจิคิดเลย จะโชว์อะไรเป็นความสามารถพิเศษ”
“มันไม่มีหรอกความสามารถพิเศษ” ฉันพูดขึ้นอย่างติดตลกพร้อมกับโดนสายตาดุๆจากคนที่ถูกพูดถึงจ้องเขม็ง
“อีผี”
“เอาดีมึงทำอะไรเป็นบ้าง” คราวนี้เป็นแพรที่พูดขึ้นด้วยท่าทางจริงจัง
“ไม่เป็นสักอย่าง” โมจิพูดขึ้นทันทีที่แพรพูดจบ
เห็นไหมล่ะ ฉันบอกแล้ว
“รำไทย” ฉันถามขึ้นทันทีเพราะหลายคนต้องเคยผ่านวิชานาฏศิลป์มาอยู่แล้ว
“จะให้กูรำไทยหรอ เต้นแก้วหน้าม้าคงง่ายกว่าอีก” โมจิพูดขึ้นต่อทันที
อย่าว่าแต่ฉันที่ติดตลกมันก็ติดตลกไม่ต่างจากฉัน
“เอารำไทยเดี๋ยวกูซ้อมให้” ฉันเสนอตัวเองทันทีเพราะฉันก็พอมีฝีมือด้านนี้อยู่บ้าง
“พี่พอลล่าของอิโมรำไทยค่ะ” ไม่รีรอที่จะให้โมจิมันคิด ฉันก็เอ่ยปากบอกพี่พอลล่าทันทีเพราะไม่งั้นให้คิดเป็นวันมันก็คิดไม่ออก
“ของโมจิเป็นรำไทยของพร้อมเป็นเล่นดนตรี พี่ให้เวลาหนึ่งอาทิตย์ในการเตรียมตัว พฤหัสหน้ามาเจอกันที่นี่พร้อมกับการแสดงนะ วันนี้ทุกคนเก่งมาก” พี่พอลล่าพูดขึ้นอีกครั้งจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันทันที
“น้ำขิงกูรำไม่เป็น” ทันทีเมื่อออกจากห้องซ้อมโมจิก็พูดขึ้นมา
“กูเป็นเด็กนาฏศิลป์ตัวท็อปโรงเรียน” เพราะแบบนี้ฉันถึงอาสาจะซ้อมให้มันเอง
“ทำไมไม่มาเป็นเองโยนใส่กูทำไม”
“ในหนึ่งอาทิตย์กูจะซ้อมให้มึงทุกวัน” ฉันเมินคำพูดของมันพร้อมกับพูดขึ้นทันที
“กูช่วยด้วย” แพรที่เงียบอยู่นานพูดขึ้น
“ก็ต้องแบบนั้น” โมจิพูดขึ้นอีกครั้งก่อนที่มันจะเดินหนีพวกฉันตรงไปหาพี่พายุที่จอดรถอยู่ไม่ไกล
“เอายังไงดีมึงกับกู” แพรถามฉันขึ้นอีกครั้ง
“วันนี้ไหมแกล้งมัน” ฉันพูดขึ้นพร้อมเสนอไอเดียแผนชั่วขึ้นเพราะวันนี้เราจะไปเซอร์ไพรส์โมจิที่คอนโดพี่พายุ
“สักเย็นๆค่อยไป” จากนั้นฉันก็แยกย้ายตัวกลับโดยที่ฉันก็ตรงกลับไปที่คอนโดของพี่คิมหันต์
“เย็นนี้ฉันไม่อยู่” ฉันพูดขึ้นเมื่อเปิดประตูห้องเขามาเจอเขานั่งอยู่กลางห้อง
“พอดีฉันก็ไม่อยู่ห้องเหมือนกัน” ฉันภาวนาว่าเขาจะไม่ไปห้องพี่พายุเหมือนกับที่ฉันจะไปเพราะสายตาของเขามันฟ้อง
“หวังว่านายจะไม่ไปที่เดียวกับฉัน”
“โทษที พอดีคืนนี้ฉันมีดูบอล” ฉันยกเลิกนัดกับแพรตอนนี้จะทันไหม คิดได้แบบนั้นฉันก็รีบกดโทรศัพท์โทรหาแพรทันที
“กูไปไม่ได้แล้ว” ฉันพูดขึ้นทันทีเมื่อแพรรับสาย
“ไปไม่ได้เหี้ยอะไรกูออกมาแล้ว รีบมาค่ะไม่เกินครึ่งชั่วโมงกูถึง” มันพูดขึ้นทันทีก่อนจะตัดสายฉันไปเสียดื้อๆ
“ฉันหวังว่านายจะไม่ลืมที่ฉันบอกเมื่อกลางวัน” ฉันพูดกับพี่คิมหันต์ที่นั่งอยู่เพื่อเป็นการย้ำเตือน
“ถ้าเธอไม่พยศ ก็จะไม่มีใครรู้เรื่องของเรา”
“เอาไงขึ้นไปเลยไหม”
“อีขิง อีขิง อีน้ำขิง”
“หะ...ห่ะ” ฉันเอ่ยขึ้นอย่างตกใจเมื่อได้ยินเสียงของแพรตะโกนขึ้นมา
“เป็นอะไรเหม่อขนาดนี้”
“เปล่าๆ ขึ้นไปกันเหอะ” ฉันว่าขึ้นก่อนจะรีบตรงเข้าในไปที่ลิฟต์
ที่ฉันเหม่อเพราะฉันมัวแต่คิดถึงเรื่องของฉันถ้าเขามาแน่นอนเขาไม่มีทางปิดมันไว้แน่
“มึงโทรดิ” ฉันบอกแพรขึ้นทันทีส่วนมันก็กดโทรศัพท์โทรหาเจ้าของห้อง
“ไม่รับวะ”
“อีกที”
“เอากับผัวอยู่ไหมไม่รับแบบนี้อะ” แพรพูดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับฉันที่กำลังเอาหูแนบประตู
“มึงก็เกิน เปิดลำโพงด้วยนะเผื่อมันรับ” ฉันพูดขึ้นทันทีเพราะอยากรู้เหมือนกันที่ไม่ออกมาเปิดประตูแบบนี้กำลังทำอะไรอยู่
“อ่าาา…ช้าหน่อย” เสียงโมจิดังออกมาจากโทรศัพท์ของแพรที่กำลังถืออยู่
“ช้าเหี้ยไรของมึงอีโม มาเปิดประตูสักทีกูอยู่หน้าห้องมึง” ทันทีเมื่อโมจิพูดจบ เจ้าของโทรศัพท์อย่างแพรก็สาดคำด่าออกไป
“รอก่อน” เสียงของพี่พายุพูดขึ้นมาก่อนที่สายจะถูกตัดไป
“เขาจะปล่อยให้กูกับมึงยืนอยู่แบบนี้หรอ” แพรพูดขึ้นต่อทันทีก่อนจะลงมือเคาะประตูห้องอีกครั้ง
“ถ้าพี่พายุออกมาฆ่ามึง กูไม่เกี่ยวนะ” ฉันพูดพร้อมยกมือขึ้นเป็นการบอกว่าฉันไม่เกี่ยวและไม่รับรู้อะไร
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“อีโมจิถ้ามึงยังไม่ออกมา กูกับน้ำขิงจะเปิดเข้าไปดูหนังสดมึงกับผัว” เสียงแพรพูดตะโกนขึ้นทันที
“เบาๆ อีห่า” ฉันพูดขึ้นเพราะต่อให้ทั้งชั้นจะเป็นของพี่พายุแต่เราก็ควรเก็บเสียงไว้หน่อย
“มาทำไม” โมจิออกมาพร้อมสภาพผมยุ่งเหยิงและผ้าขนหนูพันรอบตัวผืนเดียว
“มาให้มึงเลือกเพลงไง” แพรพูดขึ้นทันที
“มึงดูเวลาบ้าง” มันพูดขึ้นพร้อมชูโทรศัพท์ให้พวกฉันดูเวลาแค่เกือบสองทุ่มมันยังไม่ดึกไหม
“ทำไมกูมาขัดเวลามึงเอากับผัวหรอ” แพรพูดขึ้นต่ออีกครั้ง
“เออ” มันตอบกลับทันที
“มึงเป็นไรอะน้ำขิง” อาการฉันออกขนาดนั้นเลยหรอที่โมจิมันทักฉันขึ้นแบบนี้
“ไม่ได้เป็นไรสักหน่อย” ฉันรีบตอบกลับทันทีโดยไม่ทำให้ตัวเองเลิ่กลั่กเพราะพวกมันจะสงสัยเอาได้
“เดี๋ยวพวกเพื่อนพี่พายุจะตามมาด้วย” แพรพูดขึ้นต่ออีกครั้งแต่มันรู้เรื่องนี้ได้ยังไง
“พวกพี่เขาตามมาทำไม” โมจิถามขึ้นอีกครั้ง
กูกับน้ำขิงมาให้มึงเลือกเพลงส่วนพี่ๆเขามาดูบอล” แพรพูดตอบกลับไปทันที
“ขึ้นมายังไงกัน” พี่พายุที่เดินออกมาถามขึ้นทันที
“หนูเก่งค่ะต้องขอโทษพี่พายุด้วยนะคะที่มาขัดจังหวะ รอบหน้าสัญญาจะบอกก่อนมา” แพรพูดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับยกมือไหว้ขอโทษส่วนฉันก็ต้องรีบยกมือไหว้ขึ้นทันที
“ได้ยินว่าพวกเพื่อนพี่จะมา” พี่พายุพูดขึ้นอีกครั้ง
“เห็นบอกว่าจะมาดูบอลและจะซื้อของกินเข้ามาด้วย ยังไงคืนนี้หนูกับน้ำขิงฝากท้องไว้ที่นี่นะคะ”
ยิ่งได้ยินแบบนี้ฉันก็ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรหรือแม้แต่พูดอะไรเพราะฉันกลัวว่าคนอย่างเขาจะปิดปากไม่มิดในเรื่องของเรา
“ตามสบาย ไปแต่งตัวได้แล้ว” ประโยคแรกพูดกับพวกฉันส่วนประโยคที่สองหันไปพูดกับโมจิ
เราทั้งหมดเดินเข้าห้องมาในห้องของพี่พายุหลังจากโมจิแต่งตัวเสร็จเพื่อที่จะเลือกเพลง
“เป็นอะไรก็บอกมานะ มึงเงียบแปลกๆ ตอนแรกก็บอกกูว่าจะไม่มา” แพรถามฉันขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
กูไม่สบาย” ฉันพูดโกหกออกไปเพราะดูเหมือนอิพวกนี้จ้องจะจับผิดฉันอยู่ตลอดเวลา
“ตอแหลตอนบ่ายยังดีๆ” โมจิพูดขึ้นอย่างไม่เชื่อและฉันก็ดูออกว่ามันไม่เชื่อจริงๆเพราะหน้าตาของมันมีแต่ความสงสัย
“ตกลงเลือกเพลงได้ยัง ชาบูพร้อมกินแล้ว” พี่พายุที่เปิดประตูเข้ามาก็พูดขึ้น
ถ้าชาบูพร้อมกินแบบนี้แน่นอนว่าเพื่อนของพี่พายุต้องมากันแล้ว
“ไปค่ะ พร้อมกิน” โมจิพูดขึ้นพร้อมกับรีบลุกออกมาคนแรกตามด้วยฉันกับแพรที่เดินตามออกมา
“อีแพรมึงไปนั่งตรงนู้น” ฉันพูดขึ้นทันทีและชี้ให้แพรไปนั่งตรงที่ว่างข้างพี่คิมหันต์เพราะฉันไม่อยากนั่งข้างเขา
“กูได้ที่แล้วมึงอะไปนั่งเลย” แพรพูดขึ้นต่อพร้อมกับดันฉันไปทางที่ว่างข้างพี่คิมหันต์
“น้ำขิงทำไมมึงนั่งข้างพี่คิมหันต์ไม่ได้ นั่งๆไปเหอะเขาไม่กัดมึงหรอก” กัดแน่นอน
“กูไม่อยากนั่งตรงนี้” ฉันพูดขึ้นพร้อมแสดงออกอย่างชัดเจนว่าฉันไม่ต้องการนั่งข้างผู้ชายที่ชื่อคิมหันต์
“นั่งเถอะครับพี่ไม่กัดหรอก” เขาพูดขึ้นอีกครั้งพร้อมขยับให้มีที่ว่างมากกว่าเดิม
“เป็นอะไรถึงนั่งไม่ได้” คราวนี้เป็นแพรที่พูดขึ้น
“กูนั่งก็ได้วะ” สุดท้ายฉันก็จำใจนั่งลงอย่างขัดไม่ได้เพราะทุกคนกำลังมองมาที่ฉัน
“เธอเกือบทำทุกคนไม่ได้กินเพราะความเรื่องมากของเธอ”
“เพราะฉันไม่อยากนั่งข้างนาย แค่นี้ทุกคนก็สงสัยมากพอแล้ว”
“เพราะเธอทำตัวเรื่องมากเอง”
❤️
ก็คนเขาเกลียด เขาก็ไม่อยากนั่งข้าง