หลังจากนั้นคุณชายตระกูลเซี่ยจำเป็นต้องเข้าไปใช้หอนอนที่อยู่ถัดไปแทนเนื่องจากความเสียหายที่เกิดขึ้นทำให้ต้องซ่อมส่วนที่พังซึ่งใช้เวลาหลายวันกว่าจะเสร็จ เขาเดินออกมาด้านนอกโดยแจ้งบ่าวไพร่ว่ามิต้องติดตามมา
“ได้ตัวหรือไม่” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยท่ามกลางความมืดของรัตติกาล คนในจวนอาจมองว่าคุณชายหนุ่มมิได้ทำอะไรเลยทว่าอันที่จริงเขาออกคำสั่งกับผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไว้ใจได้ไปเรียบร้อยแล้ว
“ถูกสังหารไปก่อนขอรับ อีกฝ่ายเป็นพวกเดียวกันน่าจะมาเพื่อเก็บกวาดมิให้ตามกลิ่นไปถึงตัวการ นอกจากนี้ยังมีคนของท่านเสนาธิการตามไป ข้าเกรงว่าคนจะเห็นจึงมิได้เปิดเผยตัวขอรับ” ร่างโปร่งในเงามืดตอบกลับ
“ตัดสินใจถูกแล้ว” สำหรับซุนเหว่ยการแกล้งทำเป็นสัตว์ป่าที่ไร้เขี้ยวคือหนทางเดียวที่จะมีชีวิตรอด
การลอบสังหารครั้งนี้เป็นเขาเองที่เปิดทางเอาไว้ด้วยอยากรู้ว่าคนที่หมายเอาชีวิตตนเป็นผู้ใด จริงอยู่ว่าตระกูลเซี่ยสร้างศัตรูไว้มาก ตำแหน่งเสนาธิการที่พวกเขาสืบทอดกันมาไม่เพียงสร้างความโกรธแค้นจากฝ่ายศัตรูที่ต้องพ่ายแพ้ในสงคราม ยังสร้างความบาดหมางให้พวกเดียวกันเองอีกด้วย หากคนพวกนั้นหมายตาทายาทเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของเสนาธิการเซี่ยก็ไม่ผิด เพียงแต่มันแปลกตรงที่ศัตรูดูจะไม่สนใจเรื่องของตระกูลเลยสักนิด พวกนั้นต้องการเพียงแค่ชีวิตของเขาเท่านั้น น่าเสียดายที่คราวนี้ก็พลาดอีก
“คุณชาย ข้าเจอคนที่ท่านตามหาแล้ว นางทำงานปะชุนเสื้อผ้าให้สตรีในหอโคมแดงขอรับ” บุรุษในเงามืดแจ้ง เขาได้รับคำสั่งจากนายเหนือหัวให้ตามหาคนผู้หนึ่ง แม้จะพอรู้หน้าตาคร่าว ๆ เวลาที่ล่วงเลยไปกว่าสิบปีรูปโฉมของเป้าหมายก็เปลี่ยนไปไม่น้อยทำให้การติดตามยากเย็นยิ่งนัก
“ที่แท้ก็ซ่อนตัวอยู่ใต้จมูกท่านพ่อนี่เอง” บิดาของเขาค้างหอโคมแดงบ่อยกว่านอนบ้าน คณิกาคนไหนเป็นเช่นไรเขาล้วนรู้ทั้งสิ้น ถ้าชายผู้นั้นรู้ว่าคนที่ตามหาแทบพลิกแผ่นดินอยู่แค่เอื้อมคงโมโหจนแทบบ้า
“คืนพรุ่งนี้ข้าจะไปด้วยตัวเอง เจ้าเฝ้านางไว้อย่าให้เล็ดลอดสายตาไปได้” เสียงทุ้มเฉยชาออกคำสั่ง
“ขอรับ” ชายปริศนารับคำก่อนจะหายตัวออกจากจวนตระกูลเซี่ยในพริบตา
แม้เรื่องราวทั้งหมดจะจบลงแต่มีสิ่งหนึ่งยังคงติดอยู่ในใจของกระเรียนหนุ่ม สองสามวันมานี้หลี่รั่วหลานแปลกไปราวกับมิใช่คนเดิมที่เขารู้จัก ยอมรับว่านางดึงความสนใจของเขาไปได้หลายครั้ง จนถึงตอนนี้หลี่รั่วหลานกลายเป็นคนที่เขาไม่สามารถอ่านออกได้โดยง่ายเสียแล้ว
วันรุ่งขึ้นแม้จะมีการรายงานเรื่องเมื่อคืนให้เจ้าตระกูลทราบ ไป่หานกลับนิ่งเฉยประหนึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นหาใช่เรื่องใหญ่อันใด นั่นก็เพราะเขามิต้องการถูกสืบค้นถึงสิ่งที่ซ่อนไว้ภายใต้ชื่อสกุลเซี่ย ชายวัยกลางคนจึงเลือกออกคำสั่งกำลังพลในสังกัดเพื่อให้ดำเนินการอย่างลับ ๆ และออกจากจวนไปโดยไม่ดูดำดูดีบุตรชายแม้แต่น้อย
“ใต้เท้าเซี่ยใจร้ายจังเลยนะเจ้าคะ อย่างน้อยก็น่าจะถามไถ่คุณชายบ้างว่าเป็นอะไร เจ็บตรงไหนบ้างไหม” หากการนินทาเจ้านายเป็นบาปเชื่อได้ว่าลั่วจงผินน่าจะอยู่ขุมที่ลึกที่สุด แต่ด้วยนิสัยน่าเอ็นดูของนางคงโดนใจเหล่าพนักงานเงินเดือนที่ต้องกัดฟันให้เจ้านายดุด่า
“ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าเจ้าจะลำบากเอานะ”
“ก็มันจริงนี่เจ้าคะ” น้ำเสียงของลั่วจงผิงอ่อนลงคล้ายเข้าใจที่เจ้านายพูดแต่มันก็อดไม่ได้จริง ๆ
เดิมทีในนิยาย นักอ่านมากมายต่างก็พากันแสดงความคิดเห็นว่า ‘มีพ่อเมื่อพร้อม’ ทุกครั้งที่เซี่ยไป่หานมีบท เรียกได้ว่าเป็นตัวละครที่ไม่ต้องหวังว่าเขาจะเป็นบัวพ้นน้ำขึ้นมา แน่นอนว่ามีสาเหตุที่เรื่องเป็นเช่นนี้
ฟางหลิงเซียง หรือแม่ของซุนเหว่ยเป็นภรรยาที่ไป่หานได้รับพระราชทานสมัยที่เขากอบกู้บ้านเมืองจากศัตรูต่างแคว้น นางคือสตรีที่งดงามยิ่งกว่าบุปผาดอกใดในเมืองหลวง แต่ก่อนที่ไป่หานจะรับไม้งามดอกนี้มา เขาไม่รู้เลยว่านางถูกเด็ดดมจากชายที่อยู่สูงสุดบนแผ่นดินซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนมีเมล็ดพันธุ์หนึ่งถือกำเนิดขึ้นเงียบ ๆ โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้
เสนาธิการหนุ่มมารู้ความจริงหลังจากที่เด็กคลอดออกมาได้สองปี บุตรชายผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับบุรุษสูงศักดิ์ผู้นั้นทำให้รู้ได้ในทันทีว่า ‘นี่ไม่ใช่ลูกของเขา...’
เซี่ยไป่หานเค้นความจริงจากภรรยารักอยู่นานจนในที่สุดก็ได้คำตอบ หญิงสาวก็เป็นหนึ่งในของเล่นชิ้นโปรดที่อดีตฮ่องเต้เสพสุขจนเบื่อหน่ายและโยนมันมาให้เขาในฐานะของรางวัล ความเสียใจและผิดหวังเหล่านั้นก่อตัวขึ้นเป็นกลุ่มก้อนความแค้นขนาดใหญ่ ไป่หานสาบานว่าจากนรกถึงสวรรค์เขาจะลงทัณฑ์ชายชั่วคนนั้นให้จงได้!
เพียงไม่นานหลังจากนั้นดุจดั่งฟ้ามีตา ฮ่องเต้ชั่วช้าผู้นั้นถูกกำจัดลงโดยพระอนุชา ความแค้นของเซี่ยไป่หานได้รับการชำระโดยที่มือเขามิได้เปื้อนเลือดสักหยด ทั้งที่เป็นเช่นนั้นความชิงชังในใจชายหนุ่มกลับมิได้เลือนหายไป เขาที่ไม่รู้จะทำเช่นไรจึงระบายมันออกมากับเด็กที่เขาเคยเข้าใจว่าเป็นบุตรชายมาโดยตลอด
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ต่อให้เรื่องราวจะผ่านมานับสิบปี ยิ่งซุนเหว่ยเติบโตมากขึ้นเท่าใดความเกลียดชังของไป่หานก็มากขึ้นเป็นเท่าทวี เขามิอาจรักสตรีนางใดได้อีกด้วยเกรงว่าจะทำให้ตนต้องเจ็บเป็นครั้งที่สองและในขณะเดียวกันก็ทำใจรักเด็กคนนี้ไม่ลง
“แล้วนี่คุณหนูจะออกไปทั้ง ๆ ที่เจ็บอยู่แบบนี้หรือเจ้าคะ” จงผินเอ่ยถาม เมื่อเช้านางเพิ่งเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เจ้านายไป แม้เลือดจะไม่ไหลแล้วแต่ก็ใช่ว่าควรออกไปใช้ชีวิตตามปกติ แผลบนหน้าเพิ่งจะดีขึ้นคราวนี้มีแผลที่เท้าอีก ไม่รู้หลังจากนี้เจ้านายคนดีจะไปซุกซนจนได้แผลเพิ่มรึไม่
“นี่เป็นโอกาสที่อาจไม่เกิดขึ้นอีกแล้วก็ได้ ถือเสียว่าช่วยข้าหน่อยเถอะ”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
ทั้งสองเดินออกจากจวนเล็กทางประตูหลังที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว กุญแจที่ปิดผนึกอยู่เก่ากร่อนแค่ทุบเบา ๆ ก็พังออกโดยง่าย พวกนางมองซ้ายขวาอย่างดีจากนั้นจึงรีบเดินออกไป เมื่อพ้นประตูจวนรั่วหลานเห็นรถม้าคันหนึ่งจอดโดยมีคนให้สัญญาณอยู่ไม่ห่าง ทั้งสองเร่งรีบขึ้นรถม้าเพื่อมิให้โดนพบเห็น
................................................................................
ปมฝั่งท่านพ่อก็หนักหนาเอาการเลยนะคะเนี่ย