ปึก!
ร่างโปร่งละสายตาออกจากเป้าหมายถูกอีกฝ่ายถีบเข้าเต็มแรงจนเขาเสียหลักล้มลง หญิงสาวที่เห็นเหตุการณ์เดาไม่ออกเลยว่านั่นคือการพลาดท่าหรือตั้งใจกันแน่
“เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ” ดรุณีน้อยวิ่งมาทรุดกายหอบใกล้ ๆ เด็กหนุ่ม เนตรสีอ่อนสำรวจร่างคนโตกว่าว่ามีบาดแผลบริเวณใดหรือไม่ นางถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าเขามิได้บาดเจ็บตรงไหน มือทั้งสองข้างก็ยังอยู่ดีไม่มีแม้รอยขีดข่วน
คุณชายตระกูลเซี่ยชันกายขึ้นนั่ง เขามองไปยังคนเบื้องหน้าและพบว่ารอบกายนางไร้ซึ่งบ่าวไพร่สักคน หลี่รั่วหลานทำทีว่าตนมาพร้อมกำลังพลแต่ที่จริงนั้นนางมาเพียงลำพัง ไม่รู้จะเรียกว่ากล้าหาญหรือโง่เขลาดี หากอีกฝ่ายไม่หลงกลป่านนี้พวกเขาคงได้ตายทั้งคู่แล้ว
“มาที่นี่ได้ยังไง” เขาถาม
“วิ่งมาเจ้าค่ะ” นางตอบไปหอบไป หลี่รั่วหลานไม่ได้มีวรยุทธ์ นางเป็นคนเดินดินธรรมดาที่เดินช้ากว่าคนวัยเดียวกันเพราะวัน ๆ มัวแต่คลุกตัวอยู่ในห้องไม่ไปไหน ความอ่อนแอของร่างอ้อนแอ้นทำให้คนงามตั้งปณิธานว่าพรุ่งนี้นางจะวิ่งรอบจวนวันละสองรอบ!
“เจ้ารู้ได้เช่นไรว่ามีคนลอบเข้ามา” ถึงจะเกิดเรื่องขึ้นเซี่ยซุนเหว่ยก็ไม่แสดงความวุ่นวายใจสักนิด เขายังคงมีสติจดจ่อกับปัจจุบันและคิดว่าต่อให้กระจายกำลังพลไปค้นหาตอนนี้ก็คงคว้าน้ำเหลว
“บังเอิญเห็นเจ้าค่ะ” โม้อย่างไม่ต้องสงสัย
“บังเอิญ?” ดูท่าคนหนุ่มคงไม่ปล่อยนางไปง่าย ๆ เขากำลังจะรัวคำถามมาอีกแต่ก็ถูกหยุดไว้ด้วยบ่าวไพร่ที่กำลังวิ่งเข้ามา
“คุณชาย!” เหล่าบ่าวชายที่จงผินไปตามวิ่งเข้ามา แน่นอนว่าป่านนี้มือสังหารคงหนีไปไกลแล้ว พวกเขารีบเข้ามาประคองร่างคุณชายโดยไม่สนว่ารั่วหลานจะเป็นเช่นไร ส่วนสาเหตุที่มาเอาป่านนี้เพราะพวกเขายืนกรานไม่ฟังคำขอของสาวใช้จนเมื่อได้ยินเสียงคุณหนูหลี่ตะโกนร้องจึงจะโผล่หัวมากันได้
“คุณหนูเจ็บตรงไหนหรือไม่เจ้าค่ะ ให้บ่าวดูเท้าท่านหน่อย” จงผินรีบมาดูเจ้านาย นางเห็นว่ารั่วหลานรีบออกมาโดยไม่ทันได้สวมรองเท้าครั้นจะห้ามก็ไม่ทัน แล้วก็เป็นดังคาดถุงเท้าสีขาวเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงจาง ๆ ระหว่างทางคงไปถูกอะไรตำเข้า
“ข้าไม่เป็นไร” คนตัวเล็กโบกมือไปมาด้วยสีหน้าสบาย ๆ
“ไม่เป็นไรได้ยังไงเจ้าคะ ถ้าคราวนี้หมอไม่ยอมเข้ามาดูอีก บ่าวจะฟ้องใต้เท้าจริง ๆ ด้วย”
“เจ้าไปกินรังแตนที่ไหนมา เรากลับกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ” แม้จะยังโมโหไม่หายแต่จงผินก็ทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้ นางประคองเจ้านายให้ลุกขึ้นทีแรกจงผินขันอาสาจะแบกคนเจ็บขึ้นหลังทว่ารั่วหลานไม่ยอมท่าเดียว
“อ๊ะ!” ร่างบางถูกกายแกร่งช้อนขึ้นอุ้มท่ามกลางสายตานับสิบคู่ บ่าวหลายคนถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อก่อนคุณชายชังหน้าคุณหนูหลี่ชนิดที่ว่าไม่ขอเข้าใกล้โดยเด็ดขาดแต่ภาพที่เกิดขึ้นเวลานี้มันใกล้เสียยิ่งกว่าใกล้อีก
“ถ้าไม่ยอมให้นางพาไปก็ให้ข้าพาไป” ชายหนุ่มเอ่ยพลางออกเดินต่อโดยที่ไม่สนใจว่าคนรอบตัวจะมีสีหน้าเช่นไร เขาให้จงผินเดินนำไปยังเรือนเล็กด้านหลังก่อนที่จะเดินตามไม่ห่าง
“ขอเปลี่ยนเป็นขึ้นหลังจงผินแทนได้รึไม่เจ้าคะ” คนในวงแขนร้องขอ ถ้ารู้ว่ากระเรียนขาวที่วัน ๆ คิดแต่เรื่องของตนเองจะอาสาช่วยเหลือแบบนี้ รั่วหลานคงโดดขึ้นหลังบ่าวคนสนิทไปตั้งแต่ทีแรกแล้ว
“น่าจะไม่ได้” เขาปฏิเสธ ดวงตาเรียวยาวหลุบมองนางครู่หนึ่งจากนั้นจึงเงยขึ้นไปมองทางตามเดิม
‘แล้วตอนแรกจะเสนอทำไมมิทราบ’
“อย่าขยับ ข้าเจ็บมืออยู่ แล้วเจ้าก็ไม่ได้ตัวเบา ๆ” คนตัวโตบ่นเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวเล็กยุกยิกไปมาราวกับพยายามหาทางลง
“ข้าจะโกรธก็ตรงประโยคหลังนี่แหละเจ้าค่ะ ถ้าเจ็บก็ปล่อยข้าได้แล้ว”
“ไม่เอา แบบนั้นมันรู้สึกเหมือนข้ากำลังติดค้างหนี้บุญคุณเจ้า”
“ถ้าคุณชายรู้สึกว่าติดค้างข้าจริง ๆ แค่พูดว่าขอบคุณก็พอแล้วเจ้าค่ะ ไม่ต้องอาสาทำเรื่องให้ตนเองเจ็บตัวแบบนี้เลย มือนั่นสำคัญมากมิใช่หรือเจ้าค่ะ” ในนิยายวันที่มีมือสังหารลอบเข้ามา เซี่ยซุนเหว่ยได้รับบาดเจ็บที่มือทำให้เขามิอาจจับพู่กันได้อีกต่อไป ต่อให้ในเวลาไม่นานชายหนุ่มจะสามารถหัดใช้พู่กันด้วยมืออีกข้างอย่างคล่องแคล่วกระนั้นบาดแผลเรื่องนี้ยังคงติดค้างในใจเขาเรื่อยมา
การเข้าไปช่วยอีกฝ่ายในเวลานี้อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ถึงอย่างนั้นหญิงสาวกลับอดไม่ได้ที่จะขวางไว้ เซี่ยซุนเหว่ยคือตัวร้ายที่ถูกสร้างจากผ้าขาว เขาจะค่อย ๆ โดนความโชคร้ายจากทั่วสารทิศอาบย้อมจนผ้าผืนนั้นเละเทะดูไม่ได้ ในฐานะคนที่สร้างเขาขึ้นมานางทนมองเขาพลาดท่าและพังทลายไม่ลง
“ข้าว่า-” ขณะกำลังจะกล่าวให้คู่สนทนาลืมเรื่องที่นางพูดไปโดยไม่ทันคิดก็ถูกเอ่ยตัดบทเสียก่อน
“ขอบคุณ”
“…เมื่อครู่คุณชายได้พูดอะไรหรือเปล่านะเจ้าคะ”
“ข้าไม่พูดซ้ำแล้ว ช่วยไม่ได้เจ้าไม่ตั้งใจฟังเอง”
‘อ้าว...’
คนตัวโตหัวเราะในลำคอเบา ๆ เมื่อเห็นสีหน้าเหลอหลาของโฉมสะคราญ เขารู้ดีว่านางได้ยินเพียงแค่ไม่เชื่อหูเท่านั้น ทางด้านร่างบางนางมองวงหน้าขาวราวหิมะของชายหนุ่มไม่วางตา แม้สีหน้าคนกล่าวจะฟังดูเรียบเฉยเหมือนทุกทีแต่ประโยคเมื่อครู่นี้ดูเหมือนมันอ่อนโยนขึ้นบ้างรึเปล่านะ
“เอ่อ คุณชายเจ้าคะ ดูเหมือนข้าจะคิดได้ว่ามีเรื่องอยากให้ท่านช่วยขึ้นมา คำพูดเมื่อครู่ข้าไม่ทันฟังถือว่าไม่ได้ยินได้ไหมเจ้าคะ” ดรุณีน้อยประสานมือฉีกยิ้มหวังให้เจ้าของอกแกร่งที่นางกำลังซบอยู่เห็นใจ
“…” คนฟังส่งรอยยิ้มหวานกลับมาแทน ทั้ง ๆ ที่มันดูดีมากเมื่ออยู่บนใบหน้าหล่อเหลาไม่รู้ทำไมกลับทำให้รั่วหลานเกิดกลัวขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
“ข้าขอเรื่องง่ายนิดเดียวเจ้าค่ะ คุณชายลองฟังก่อนเถิด ข้าเชื่อว่าถ้ารู้แล้วท่านจะต้องเปลี่ยนใจมาช่วยเหลือแน่นอนเจ้าค่ะ” นางพยายามหว่านล้อมด้วยคำพูดเจื้อยแจ้วอยู่นาน ขนาดเซี่ยซุนเหว่ยที่เป็นคนมีมารยาทยังแสดงสีหน้าเหนื่อยหน่ายออกมาอย่างไม่ปิดบัง กระนั้นคนงามจะรู้หรือไม่ว่าย่างก้าวของเขาช้าลงจนต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าที่จะพานางไปส่งยังจุดหมาย
................................................................................
โดนว่าตัวหนักแบบนี้โตไปอย่ามาขออุ้มน้องนะ