“แค่คิดจะท้าประลองหมากกับข้าก็ผิดถนัดแล้ว” ตั้งแต่เยาว์วัยไป่หานเชี่ยวชาญหมากล้อมมากที่สุด นิ้วยาวหมุนหมากสีดำในมือไปมาอย่างคุ้นชิน
“ข้าจะทำให้ท่านเชื่อในความสามารถได้อย่างไร หากไม่ท้าทายด้วยสิ่งที่ใต้เท้าไม่เคยพ่ายแพ้ต่อผู้ใด” ดวงหน้าขาวเผยรอยยิ้มสดใส รู้ทั้งรู้ก็ยังกล้าท้าชน หลี่จ่างเกิงคนหัวอ่อนผู้นั้นเลี้ยงลูกมาได้แย่ยิ่งนัก
“อวดดี…” จบคำหมากสีดำก็เริ่มวางตัวอย่างมั่นคงยังจุดหนึ่งของกระดาน ครู่ต่อมาหมากสีขาวก็วางลงในจุดตรงข้ามกัน กติกาของเกมกระดานนี้ง่ายแสนง่าย ขอเพียงวางหมากของตนเองในช่องว่างเพื่อกลืนกินฝ่ายตรงข้าม จำนวนหมากที่ได้รับการคำนวณมาให้พอดีกับที่ว่างเหล่านั้น เมื่อหมากขาวดำหมดจากมือของแต่ละฝ่ายเมื่อไหร่ฝ่ายที่มีจำนวนสีของตนเองมากกว่าก็ชนะไป
แม้จะมิได้ซับซ้อนหนักหนาแต่ก็นับเป็นการตัดสินแพ้ชนะเพียงก้าวเดียวที่พลาด
เสียงไม้กระทบกันดัง ป็อก ป็อก เป็นจังหวะพักใหญ่ ขณะที่หมากสีขาวเริ่มชิงเข้ามุมไป่หานก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจเท่าไร เขายังคงวางหมากอย่างไม่รีบร้อน ยิ่งกว่านั้นตลอดเวลารั่วหลานทำเพียงวางหมากของตนเองลงโดยไม่รีบเร่ง แต่ก็ไม่ได้ชักช้า ราวกับว่านางใช้เวลาเพียงครู่เดียวคิดคำนวณ
“…” ขณะที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น จุดยุทธศาสตร์ในตำรากำลังถูกคนตรงหน้าครอบครอง ใบหน้าหวานปราศจากความร้อนใจยิ่งกว่านั้นยังรู้หลบหลีกและรุกคืบ ทักษะการหลอกล่อให้คู่ต่อสู้ตายใจเพื่อกลืนกินลงไป รู้ตัวอีกทีปริมาณช่องว่างที่เหลืออยู่ก็น้อยเกินกว่าจะแก้เกม
“หืม” มือกร้านหันมาลูบคางด้วยความสงสัย เขาแพ้… แน่นอนว่าอย่างราบคาบ
“ใต้เท้าเห็นว่าข้าเป็นเพียงเด็กที่ไม่รู้ประสาถึงได้ยกจุดที่ดีที่สุดในการกุมชัยให้อย่างง่ายดายอย่างไรเล่าเจ้าคะ” คนงามชี้แจง
“ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว” แม้จะพูดได้ไม่เต็มปากว่าเขาเป็นคนยึดมั่นในคุณธรรม ถ้าเป็นเรื่องการแข่งขันเซี่ยไป่หานรู้ดีว่ามันวัดกันที่ความสามารถและยากเกินกว่าจะคดโกงกันได้ เขาเพียง ‘สงสัย’ เท่านั้น แน่นอนว่าความคิดที่วนเวียนในหัวก็ถูกฝั่งตรงข้ามอ่านออกอย่างง่ายดาย
“อยากลองอีกสักครั้งหรือไม่เจ้าคะ บางทีข้าอาจทำให้ความเคลือบแคลงของใต้เท้าหายไป”
เจ้าบ้านตระกูลเซี่ยไม่ตอบอะไร เขายังคงจดจ่อกับกระดานไม้ ทันทีที่รั่วหลานเริ่มลงหมากสีขาวเขาก็วางของตนลงมาโดยไม่รั้งรอ
บรรยากาศสงบนิ่งยามเช้าดำเนินไปเช่นนี้พักใหญ่ ทั้งสองผลัดกันแพ้ชนะ แต่ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไรก็ต้องยอมรับว่ามันสร้างความบันเทิงให้เซี่ยไป่หานยิ่งนัก
“นายท่าน ใกล้ได้เวลาแล้วขอรับ” เว่ยเทียนอีเข้ามาแจ้ง วันนี้ช่วงสายนายเหนือหัวมีนัดกับเจ้ากรมมหาดไทยและนี่ก็จวนได้เวลาที่ต้องออกเดินทางแล้ว
“ข้าจะกลับมาจัดการเรื่องที่เจ้าขอไว้อีกที หลี่รั่วหลาน” หญิงสาวโค้งศีรษะทำความเคารพขณะที่ร่างโปร่งลุกออกไปจากโถงรับรอง
ที่นางเลือกใช้วิธีนี้เพราะรู้ดีว่าอนาคตของชายผู้นั้นจะเป็นเช่นไรจึงต้องรีบมาโดยมิอาจชักช้า ยิ่งกว่านั้นหากนางสามารถทำประโยชน์ได้ คนอย่างเซี่ยไป่หานต้องเสียดายที่จะมอบนางให้เป็นคู่หมายของบุตรชายตระกูลกู้
เรื่องวางแผนขอให้บอกเถอะ ถ้านางไม่แน่จริงคงเขียนนิยายที่หักหลังนักอ่านสายวิเคราะห์ไม่ได้แน่ โฉมสะคราญจะรู้หรือไม่ว่าใบหน้าสวยสดในยามนี้กำลังฉายแววชั่วร้ายเพียงใด
“คุณหนูทำได้อย่างไรเจ้าคะ” ลั่วจงผิงเอ่ยถามหลังจากที่โถงรับรองเหลือเพียงนางและเจ้านาย
“เรื่องหมากล้อมงั้นรึ”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้พยักหน้ารับ
“ข้าเคยเล่นมาบ้างน่ะ” นางมิได้โกหกเพียงแต่เคยเล่นมาในชาติก่อนเท่านั้นเอง สมัยนั้นปู่ของซูเจินเป็นคนสูงวัยที่ฉลาดเป็นกรด เขามีมรดกมากมายที่ยังไม่โอนให้ลูกๆ เพื่อคงไว้ซึ่งความสำคัญของตนเอง ลูกหลานคนใดต้องการมรดกเหล่านั้นก็จำต้องเข้าหาอีกฝ่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่าหนึ่งในคนที่เข้าหาชายชราก็คือซูเจิน
เขาเป็นคนชอบการแข่งขันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นไม่ว่าจะหมากล้อม หมากรุก หมากจีน คำถามเชิงปรัชญา เศรษฐศาสตร์หรือการคำนวณทางวิศวกรรมนางล้วนผ่านมาจนหมดสิ้น ซูเจินตั้งใจศึกษาเรื่องข้างต้นเพื่อเอาชนะชายชราซึ่งหากหญิงสาวชนะ เงินจำนวนมากก็จะถูกโอนเข้าบัญชีเป็นของรางวัล แน่นอนว่าคอนโดหรูใจกลางเมืองนั่นก็เป็นสิ่งที่ได้รับมาจากคุณปู่ แม้ญาติคนอื่นจะรังเกียจวิธีการประจบประแจงเหล่านี้ แต่คนที่มีพร้อมทั้งเงินทอง ชื่อเสียงและอำนาจจะมาเข้าใจคนที่ต้องปากกัดตีนถีบเพื่อให้มีชีวิตได้อย่างไร ริมฝีปากจิ้มลิ้มหัวเราะออกมาเบา ๆ เมื่อนึกถึงช่วงชีวิตที่ผ่านมา ไม่คิดว่าการพยายามเรื่องเหล่านั้นจะมามีประโยชน์ในตอนนี้
“บ่าวขอถามถึงจุดประสงค์ได้หรือไม่เจ้าคะ” คนด้านข้างเอ่ยด้วยความสงสัย ตั้งแต่รับใช้เจ้านายมา นางเป็นคนอ่อนแอไม่คิดว่าการเฉียดตายวันนั้นจะทำให้กล้าหาญมากขึ้นราวกับเป็นคนละคน
“ข้ารู้ว่าใต้เท้าเซี่ยรับดูแลเด็กไร้ญาติขาดมิตรเพราะอะไร หากเอาแต่โทษดินฟ้าแล้วนั่งเสียใจถึงการจากไปของท่านพ่อ ชีวิตข้าจะเป็นเพียงตุ๊กตาที่ถูกเชิดตามคำสั่ง” ห้าปีหลังจากนี้คือการตัดสินโชคชะตาของเรื่องราวทั้งหมด
บ่าวคนสนิทนั่งฟังเจ้านายอย่างสงบนิ่ง รั่วหลานรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนมีความคิดอ่าน ไม่ใช่ประเภทที่ใครชี้ให้ทำอะไรนางก็ไป จงผินเป็นคนเก่งที่ซื่อสัตย์หาใดเปรียบ นี่คงเป็นโชคดีเพียงอย่างเดียวของตัวประกอบอย่างหลี่รั่วหลานกระมัง
“บทบาทของสตรีน้อยนิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจงผิน หากข้าไม่ทำอะไรก็ต้องยอมถูกใช้เป็นเบี้ยอยู่ร่ำไป ข้าถึงได้อยากจะออกจากกระดานไม้แผ่นนั้นอย่างไรเล่า” ดวงเนตรสีอ่อนมองไปยังหมากสองสีที่เรียงรายอยู่บนกระดาน
“จงผินเป็นเพียงบ่าว ขอเพียงคุณหนูสั่งมาก็พร้อมรับใช้ทุกอย่างเจ้าค่ะ” ทั้งสองยิ้มให้กันขณะที่กำลังเก็บข้าวของออกจากโถงรับรอง ขืนอยู่นานกว่านี้หัวหน้าพ่อบ้านได้ตามมาบ่นอีกแน่
“ขอบคุณนะ” ร่างเล็กเอ่ยกับหญิงสาวที่ตัวสูงกว่า หลังจากที่พวกนางออกจากห้องมาแล้ว
“มันเป็นหน้าที่ของบ่าวอยู่แล้วเจ้าค่ะ” นางยกกระดานไม้ด้วยท่าทางสบาย ๆ ทั้งที่มันมีน้ำหนักไม่น้อย
“ข้าหมายถึงเรื่องที่เจ้าเชื่อใจและอยู่ข้างกายข้าเสมอมา” หลี่รั่วหลานไม่ได้บังเอิญตกน้ำ มันคือความตั้งใจที่ได้รับการวางแผนมาเป็นอย่างดี สตรีวัยเพียงสิบกว่าหนาวอยู่ในวัยก้ำกึ่งระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ นางต้องการความรักและความห่วงใยจากครอบครัว ในความคิดของนางก็เหมือนกับเด็กทั่วไปที่ร้องไห้เมื่อเจอของที่อยากได้แล้วพ่อแม่ไม่ยอมซื้อให้
ถ้าไม่มีก็แค่เรียกร้องเอา…
................................................................................
เพราะไร้ญาติขาดมิตรทำให้เด็กน้อยคนหนึ่งคิดแก้ปัญหาได้แค่นั้น
ยังโชคดีที่มีคนไว้ใจได้อยู่ข้างกาย เพราะถ้าสาวใช้ยังชั่วร้ายนี่น่จะเหนื่อยหนัก