ตำหนักขององค์ชายใหญ่ จ้าวหลี่จิ้น อยู่ห่างจากตำหนักปิงจิ้งเหอ พอสมควร ลี่ไทเฮาจึงเสด็จโดยรถม้า มีหม่ากุ้ยเฟย และทรงอนุญาตให้ฮวาเอ๋อ ร่วมขบวนเสด็จด้วย เหมยกุ้ยฮวา นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างผู้อาวุโสทั้งสอง แม้ระยะทางจะไม่ไกลมาก แต่แรงบีบที่ฝ่ามือทั้งสองข้างของนาง ทำให้รู้สึกยาวนานเหลือแสน แม้สีหน้า และท่าทีของผู้ร่วมทางมิได้ร้อนรน หรือตื่นตระหนก แต่แรงบีบมือนั้นแน่นขึ้นเรื่อยๆ เหงื่อชื้น และความรู้สึกสั่นเทา จากมือใหญ่ของคนสองคนช่างบีบรัดหัวใจของนางเหลือเกิน
ตำหนัก เหลาเหลา (***ที่แปลว่าหนักแน่น) เป็นตำหนักขององค์ชายใหญ่ อยู่ทางปีกตะวันตกของพระราชวัง ขนาดเล็กกว่าตำหนักเทียนหลง ของฉงเจินฮ่องเต้ ราวสามส่วน ป้ายหน้าประตูเป็น ตัวอักษรสีทองเขียนคำว่า หนักแน่น ไม้ชิงชันสีน้ำตาลแดง ตัวอักษสีแดงล้อมกรอบด้วยลายมงคลสีทองบนพื้นสีเขียว เห็นได้ว่า เป็นพระโอรสที่ได้รับความโปรดปรานอย่างยิ่ง
ทันทีที่รถม้าหยุดลง กงกง รีบเปิดม่านแล้วเข้าประคองลี่ไทเฮาให้ก้าวลงอย่างระมัดระวัง ตามด้วยหม่ากุ้ยเฟย และเหมยกุ้ยฮวา
ห้องโถงรับรองภายในตำหนักเหลาเหลา มีขันที และนางกำนัล นั่งคุกเข่าหมอบอยู่กับพื้นอย่างหวาดหวั่น ทันทีที่ ลี่ไทเฮา และหม่ากุ้ยเฟย ก้าวเข้ามา ความรู้สึกกดดันยิ่งเพิ่มขึ้นทวีคูณ จนคนบนพื้นสั่นเทาอย่างพร้อมเพรียงกันถูกความกลัวครอบคลุมจนมิกล้าขยับหรือส่งเสียงส่งเดช
กู่จางเหว่ย ก้าวขึ้นมาทำความเคารพเต็มพิธีการ พร้อมกับองครักษ์ของจ้าวหลี่จิ้น
"ลุกขึ้น ลุกขึ้น" ลี่ไทเฮาโบกพระหัตถ์ห้ามก่อนจะเสด็จประทับลงบนเก้าอี้ชุดรับแขก เพราะมิอาจฝืนพระองค์ให้ก้าวต่อไปได้อีก หม่ากุ้ยเฟยรีบก้าวขึ้นมาประคอง แล้วนั่งลงตรงตำแหน่งถัดไป เหมยกุ้ยฮวาจึงเดินไปยืนอยู่ด้านหลังหม่ากุ้ยเฟย อย่างรู้ความ
เป็นจังหวะเดียวกับที่ จางฮองเฮาเสด็จมาถึง ทุกคนในโถงจึงทำความเคารพเต็มพิธีการพร้อมกัน จางฮองเฮาทำเพียงโบกพระหัตถ์ไปมาอย่างรำคาญ ไม่ใส่ใจ แล้วไปหยุดนั่งลงที่เก้าอี้ข้างโต๊ะกลางห้อง ยังคงท่วงท่าสง่างาม สูงส่ง คล้ายรอชมการแสดงเล่าเรื่องนิทานก็มิปาน
ตอนที่ออกจากตำหนักปิงจิ้งเหอ ไม่มีใครใคร่สนใจจางฮองเฮา ด้วยรีบร้อนมากดูอาการขององค์ชายใหญ่ เพราะความเป็นห่วง เหมยกุ้ยฮวาเองก็ไม่นึกว่าจางฮองเฮาจะเสด็จตามมาด้วย รอยยิ้มร้ายที่เห็นทำให้ไม่อาจมองเห็นเจตนาดีของนางได้เลย
"เจ้าคือกู่จางเหว่ย บุตรชายคนโตของแม่ทัพกู่ใช่หรือไม่"
ลี่ไทเฮาเอ่ยถามกู่จางเหว่ยที่ยังคงคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า ไม่ลืมปลายหางตาไปทางเหมยกุ้ยฮวา ที่ยืนชะเง้อคอมองอยู่ด้านหลัง
"ทูลไทเฮา กระหม่อม กู่จางเหว่ย พ่ะย่ะค่ะ"
กู่จางเหว่ยเอ่ยตอบอย่างฉะฉาน น้ำเสียงมั่นคงหนักแน่น ไม่มีความหวาดหวั่นแม้แต่น้อย
"เกิดอะไรขึ้นกับองค์ชายใหญ่" ลี่ฮองเฮาเอ่ยถามอีกครั้ง
"ทูลไทเฮา องค์ชาย ถูกพิษเพราะเสวยขนมถั่วกวนที่มีคนนำมาถวาย พ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้หมอหลวงกำลังตรวจพระอาการ สั่งห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปรบกวน"
พูดถึงตรงนี้กู่จางเหว่ยก็ก้มหน้าลง คำสั่งนี้จะใช้ได้กับเชื้อพระวงศ์จริงๆ หรือ เหตุใดองค์ชายใหญ่หลี่จิ้นจึงต้องมอบหมายหน้าที่กีดขวางให้เขาด้วย
"เหลวไหล!!! เหตุใดจึงต้องห้ามเข้า มีสิ่งใดต้องปกปิดกัน"
จางฮองเฮา ตวาดเสียงดัง ทำให้ขันที นางกำนัลถดตัวหนี และสั่นเทามากกว่าเดิม
แต่ไม่ได้ผลกับ กู่จางเหว่ย เขายังคงสงบนิ่ง หลังยืดตรง ไม่มีแม้แต่อาการสะดุ้ง หรือขยับให้เห็นแม้เพียงนิด เขาหันกลับไปค้อมกายคำนับจางฮองเฮา คราหนึ่ง และตอบตามที่ได้รับคำสั่งมาให้ตอบว่า
"ทูลฮองเฮาภายในห้องบรรทมมีหมอหลวง และผู้ช่วยอีกหลายคน ทุกคนล้วนทำหน้าที่สำคัญ อีกทั้งพระอาการยังสาหัสอยู่มาก องค์ชายทรงกระอักโลหิตจนเตียงบรรทมแดงฉาน มิใช่สิ่งที่น่าทอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ"
กู่จางเหว่ยเอ่ยเสียงเรียบ สำหรับคนอื่นอาจคิดว่านี่คือแรงกดดันที่มหาศาล และยากที่จะรับมือ แต่เชื่อเถอะ สำหรับคนตระกูลกู่ นี่นับว่าน้อยกว่าเสียงตวาดของ กู่จางหย่ง ผู้เป็นบิดาของเขา ถ้าเทียบกันแล้วคงไม่ถึงสองในสิบส่วนกระมัง นี่สินะ...เหตุผลที่องค์ชายหลี่จิ้น เลือกเขาให้ทำหน้าที่นี้ กู่จางเหว่ย คิดทบทวนในใจ
ลี่ไทเฮาได้ยินพระพักตร์พลันซีดลงกว่าเดิม ยกพระหัตถ์ขึ้นกุมพระนลาฏ (หน้าผาก) กงกง รีบโบกพัดให้คลายกังวล
ส่วนหม่ากุ้ยเฟยยังคงนั่งนิ่ง สายตามองไปยังหลังม่านไม้ ที่เป็นห้องบรรทมขององค์ชายใหญ่ แววตาสั่นไหวแต่มิมีน้ำตา
"นี่เจ้า!!!" จางฮองเฮาผุดลุกขึ้นยืน แผดเสียงเล็กแหลมด้วยแรงโทสะ พระหัตถ์กำแน่นจนสั่น
ดี!!! ดี!!! คนตระกูลกู่ ในเมื่อขวัญกล้าเทียมฟ้าไม่เห็นฮองเฮาอย่างนางอยู่ในสายตา ลบหลู่นางถึงเพียงนี้ อย่าได้มากล่าวโทษว่านางโหดร้ายทีหลังเล่า
"คุณชายกู่ผู้นี่ วาจาสามหาวนัก กล้ากล่าว ว่าข้าจะเข้าไปขวางการรักษาของหมอหลวง ยังไม่รีบนำตัวไปลงโทษอีก!!!"
จางฮองเฮา ชี้พระหัตถ์ไปที่กู่จางเหว่ย ที่ยังคงนิ่งอยู่ที่เดิม สิ้นเสียงรับสั่ง กงกง คนสนิทของจางฮองเฮา สองคนเดินตรงไปที่กู่จางเหว่ยทันที
เหมยกุ้ยฮวา ตกใจแทบหลุดตะโกนเรียกพี่ชาย นี่เกินไปแล้ว หม่ากุ้ยเฟยที่เป็นพระมารดาแท้ๆ ยังไม่แสดงอาการเช่นนี้เลย เหตุใด จางฮองเฮาจึงต้องเป็นเดือดเป็นร้อนอยากเข้าไปดูอาการขององค์ชายใหญ่นักเล่า
กงกง คนสนิทของ จางฮองเฮา ช่วยกันจับแขนทั้งสองข้างของกู่จางเหว่ยหวังใช้กำลังพาเขาออกไปรับโทษนอกตำหนัก แต่มีเสียงหนึ่งขัดขึ้นเสียก่อน
"พวกเจ้าทำอะไร!!! เวลาเช่นนี้ยังมีแก่ใจมาเอะอะเสียงดังรบกวนหมอที่กำลังช่วยชีวิตองค์ชายใหญ่ หรือพวกเจ้ามิอยากให้องค์ชายใหญ่มีชีวิตรอด!!!"
ฮ่องเต้จ้าวฉงเจินได้ยินเสียงโวยวายตั้งแต่อยู่ด้านหน้าประตู รีบสาวพระบาทเข้ามาภายในโถง ก่อนตวาดด้วยเสียงทรงอำนาจ และเฉียบขาด
กู่จางหย่งเดินตามเข้ามา ข้างหลังเขาคือกู่หวังเหว่ย หวังกงกง และองครักษ์ส่วนพระองค์อีกสี่คน
กงกง คนสนิทของจางฮองเฮาถึงกับหน้าถอดสี รีบปล่อยตัวกู่จางเหว่ย ลนลานคุกเข่าเอ่ยติดๆ กันหลายครั้ง
"กระหม่อมมิกล้า!!! มิกล้า!!!"
ข้อหานี้มิใช่โทษตายทั้งตระกูลหรอกหรือ มิกล้ารับ รับมิได้
คนภายในห้องโถงแสดงความเคารพฮ่องเต้ฉงเจินพร้อมกัน "ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นได้"
จ้าวฉงเจินเอ่ยบอก ก่อนรีบเดินไปหาลี่ไทเฮา จับพระหัตถ์ขึ้นมาตบเบาๆ พลางเอ่ยปลอบว่า
"เสด็จแม่อย่าได้กังวลพระทัย จิ้นเอ๋อจะต้องปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ"
"เห็นว่าอาการสาหัสนัก ใครกันกล้าทำเช่นนี้" ลี่ไทเฮาเอ่ยเสียงแผ่ว ปรายตามองไปทางจางฮองเฮา
"เรื่องนี้ลูกสั่งการลงไปแล้ว จะต้องสืบความให้กระจ่าง เสด็จแม่วางพระทัยเถิดพ่ะย่ะค่ะ เวลานี้โปรดทรงรักษาพระวรกายด้วย ลูกเป็นห่วง"
ฮ่องเต้ฉงเจินเข้าใจความนัย ที่ลี่ไทเฮาบอก เพียงแต่ยังไม่สามารถทำการใดๆ ในตอนนี้ได้ ต้องหาหลักฐานมัดตัวคนผิดให้ได้เสียก่อน ไม่เช่นนั้นจะเป็นการตีหญ้าให้งูตื่น
ลี่ไทเฮาพยักพระพักตร์ อย่างเข้าพระทัย
ฮ่องเต้ปล่อยพระหัตถ์ของลี่ไทเฮาแล้วเดินไปหยุดยืนที่หน้าหม่ากุ้ยเฟย หม่ากุ้ยเฟยจึงยืนขึ้น ทำท่าเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่เอ่ยคำใด ดวงตาสับสนเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น และคาดหวัง ฮ่องเต้ฉงเจินจึงยื่นพระหัถต์ไปจับไหล่บางเอาไว้ บีบเบาๆ ก่อนเอ่ย
"เจี๋ยเอ๋อ เจ้าก็อย่าได้กังวล ข้าจะไม่ยอมให้ลูกของเราเป็นอะไร เจ้าเข้าใจหรือไม่"
หม่ากุ้ยเฟยพยักหน้ารับ หยดน้ำตาพลันร่วงหล่นอย่างห้ามไม่อยู่ นางต้องการเพียงเท่านี้ เพียงแค่บุรุษตรงหน้ารับปากนาง นางก็จะเชื่อ เพราะนอกจากตำแหน่งฮองเฮาที่นางเอกก็ไม่เคยต้องการแล้ว ไม่มีอะไรที่ จ้าวฉงเจิน ผู้นี้ทำให้นางไม่ได้ เขาไม่เคยผิดคำพูด หากผู้ใดกล่าวว่ากษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ นางขอยืนยันว่าเป็นเช่นนั้น คนอื่นใช่หรือไม่นางไม่รู้ แต่สำหรับ จ้างฉงเจิน เขาเป็นเช่นนั้นกับนางจริงๆ
จางฮองเฮาที่รู้สึกเสียหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นภาพตรงหน้าแทบกระอักโลหิต จ้าวฉงเจิน ท่านไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาเชียวหรือ แต่ต่อหน้าพระพักตร์ นางอาละวาดไม่ได้ เอาผิดตระกูลกู่ก็ไม่ได้ ลงโทษหม่ากุ้ยเฟยยิ่งไม่ได้ ได้แต่ต้องขัดจังหวะเพื่อรักษาหน้าให้ตัวเองเท่านั้น
"ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันเป็นห่วงองค์ชายใหญ่ยิ่งนัก จึงร้อนใจอยากจะเข้าไปดู กู่จางเหว่ยผู้นี้กลับขัดขวาง หม่อมฉันจึงได้สั่งลงโทษเพคะ"
กู่จางหย่งที่ยืนนิ่งมองไปที่บุตรชายคนโต พยักหน้าให้หนึ่งครั้ง ก่อนจะมองหาบุตรี เมื่อเห็นว่าอยู่ด้านหลังหม่ากุ้ยเฟ้ยก็พยักหน้าให้อีกหนึ่งครั้ง เหมยกุ้ยฮวาเห็นเช่นนั้น จึงหันทางมองลี่ไทเฮา ลี่ไทเฮาทรงทองพระเนตรเห็นเข้าพอดีจึงพยักหน้าอนุญาต เหมยกุ้ยฮวา จึงเดินอ้อมด้านหลังไปหาผู้เป็นบิดา และพี่ชาย ครอบครัวตะกูลกู่ยืนรวมกันอยู่ ๔ คน
"ลงโทษหรือ เหตุใดจึงต้องลงโทษในเมื่อคำสั่งห้ามเข้าไปเป็นคำสั่งของเรา ฮองเฮาจะลงโทษเราด้วยหรือไม่เล่า"
จ้าวฉงเจินเอ่ยด้วยท่าทีหยอกเย้า แต่น้ำเสียงแฝงความดุดันหลายส่วน
จางฮองเฮาพลันได้สติ นางโกรธจนเกือบทำให้เสียเรื่อง แสดงอาการร้อนรนจนเกินไป แม้อยากจะเห็นองค์ชายใหญ่ว่ามีสภาพย่ำแย่เพียงใด แต่หากยังดึงดันจะเข้าเป็นเช่นนี้ ย่อมไม่ส่งผลดีแน่ คิดได้ก็ทิ้งตัวลงคุกเข่า เสียงกระแทกพื้นดัง ปึก!!! ละล่ำละลักกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
"หม่อมฉันมิกล้าเพคะ เพียงแต่ร้อนใจมากไปเท่านั้น ขอฝ่าบาทลงโทษหม่อมฉันเถิดเพคะ" พลางยกปลายแขนเสื้อขึ้นซับน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริง
เหมยกุ้ยฮวา ลอบปรบมือให้ในใจ การแสดงล้ำเลิศ เปลี่ยนสีหน้าได้ฉับไวยิ่งนัก น้ำเสียงโศกเศร้าเรียกความสงสาร เรียกว่าการแสดงนี้ไม่มีที่ติหากเป็นช่วงเวลาที่นางจากมา จางฮองเฮาท่านต้องได้เป็นซุปเปอร์สตาร์อย่างแน่นอน
"ฮองเฮา เราขอบใจมากที่เป็นห่วงองค์ชายใหญ่ถึงเพียงนี้ แต่เจ้ากลับไปก่อนเถิด"
ฮ่องเต้ฉงเจินกล่าว เรื่องที่จ้าวหลี่จิ้นถูกวางยาพิษ ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด และหากว่าตระกูลจางเป็นผู้ลงมือ ย่อมไม่มีทางทิ้งร่องรอยใด ให้สืบสาวไปถึงได้ การให้จางฮองเฮาอยู่ห่างจาก หลี่จิ้น นับเป็นเรื่องดีที่สุด
"เช่นนั้นหม่อนฉันทูลลาฝ่าบาท ทูลลาเสด็จแม่เพคะ"
ลี่ไทเฮาโบกพระหัตถ์ให้จางฮองเฮา นางไปได้เสียที ตำหนักนี้จะได้สงบลงได้บ้าง
กู่จางหย่งเดินเข้ามาใกล้ฮ่องเต้ฉงเจิน น้อมกายคำนับก่อนเข้าไปกระซิบความบางอย่าง ชั่วจิบชา
ฮ่องเต้ฉงเจิน พยักหน้ารับ ก่อนเอ่ยสั่ง
"นำตัว ขันที และนางกำนัลพวกนี้ไปขังรอการไต่สวน คนอื่นออกไปรอด้านนอกให้หมด"
ขันทีและนางกำนัลที่คุกเข่าอยู่บนพื้นส่งเสียงร้องไห้ร้องขอความเมตตาระงม องครักษ์ส่วนพระองค์ พร้อมทหารองครักษ์ประจำตำหนักเข้ามากุมตัวออกไป กงกง และนางกำนัลที่เหลือเดินออกไปตามคำสั่ง
กูจางหย่งสั่งให้กู่จางเหว่ย และกู่หวังเหว่ยพา เหมยกุ้ยฮวากลับจวนแม่ทัพ เหมยกุ้ยฮวาจึงเดินไปคารวะไทเฮาและหม่ากุ้ยเฟย ไม่ลืมวาดตัวอักษร อั้นเชวียน (***ที่แปลว่า ปลอดภัย) บนมือของผู้อาวุโสทั้งสอง ได้รับคำชมว่า "เด็กดี...เด็กดี..." พร้อมกับอ้อมกอดอบอุ่น
ออกจากตำหนัก เหลาเหลา มาแล้ว เหมยกุ้ยฮวายังคงหันกลับไปมองอีกหลายครั้ง นางเป็นห่วงลี่ไทเฮา ห่วงหม่ากุ้ยเฟย และที่สำคัญนางเป็นห่วง พี่ชายบุญธรรมของนางยิ่งนัก หากนางมิได้อยู่ในร่างเล็กจิ๋วเช่นนี้ นางจะเข้าไปตรวจอาการของเขาด้วยตัวเอง ด้วยการแพทย์สมัยใหม่ที่นางเรียนมาย่อมดีกว่าการแพทย์ช่วงเวลานี้เป็นแน่ คิดแล้วพลางถอนใจ บรรพบุรุษเจ้าคะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
กู่จางเหว่ยเห็นท่าทางของน้องสาวเป็นกังวลจึงเอ่ยปลอบ "พี่บุญธรรมของเจ้ามิได้เป็นอันใดมากหรอก อย่าได้ห่วงไปเลย วันพรุ่ง องค์ชายก็ออกไปซื้อของเล่นให้เจ้าได้แล้ว"
เหมยกุ้ยฮวา แปลกใจ ก็เมื่อครู่พี่ใหญ่ของนางมิได้บอกว่าองค์ชายใหญ่อาการสาหัสหรอกหรือ แล้วเหตุใดจึงบอกว่าพรุ่งนี้ก็ออกไปเที่ยวเล่นได้แล้ว
เมื่อเห็นว่าน้องสาวมีสีหน้าฉงนสงสัย กู่จางเหว่ยจึงจูงมือพาให้เดินออกไปให้ไกลอีกหน่อย มีกู่หวังเหว่ยเดินตามมาด้วย จางเหว่ยรอจนปลอดคนจึงได้เอ่ยขึ้นว่า
"เมื่อครู่ พี่ใหญ่ของเจ้ากล่าวว่าองค์ชายอาการสาหัสใช่หรือไม่ แต่พี่มิได้บอกว่าองค์ชายใหญ่อาการสาหัสนี่"
"พี่ใหญ่ อย่าได้เอ่ยวาจาเหลวไหล เรารีบพาฮวาเอ๋อกลับจวนกันเถิด" กู่หวังเหว่ยเอ่ยขัดขึ้น สายตามองรอบข้างไปมาอย่างระแวดระวัง
กู่จางเหว่ย กู่หวังเหว่ยพา เหมยกุ้ยฮวาที่ งุนงง ขึ้นรถม้ากลับจวนแม่ทัพทันที
อะไรคือองค์ชายใหญ่ มิใช่องค์ชายใหญ่ แล้วหมายถึงใครเล่า เหตุใดจึงไม่พูดให้เข้าใจง่ายสักหน่อย นางจะเอ่ยถามก็ไม่ได้ แล้วจะเข้าใจได้อย่างไร คืนนี้นางต้องคิดจนนอนไม่หลับเป็นแน่ พี่ชายท่านรักและเอ็นดูข้าเหมยกุ้ยฮวาจริงหรือไม่ หากรักข้าหวงข้าถึงเพียงนั้น ไยจึงทรมานข้าเช่นนี้ ข้าอยากรู้...