ลี่ไทเฮาทอดพระเนตรเหมยกุ้ยฮวาที่นั่งบนตักของหม่ากุ้ยเฟย แล้วทรงตรัสเรียกด้วยน้ำเสียงรักใคร่เอ็นดู "ฮว่าเอ๋อเจ้ามานี่"
หม่ากุ้ยเฟยได้ยินรับสั่งจึงคลายอ้อมกอดออก ประคองให้เหมยกุ้ยฮวายืนบนพื้น ไม่ลืมกำชับเสียงเบาพอให้ได้ยินกันเพียงสองคน ขณะที่ช่วยจัดชุดกระโปรงของเด็กน้อยให้เข้าที่
"อย่าได้ทำอะไรตามอารมณ์ อย่าได้เปิดโอกาสให้ตนถูกทำร้าย เข้าใจหรือไม่"
เหมยกุ้ยฮวาพนักหน้าเบาๆ ดวงหน้ากลมแป้นยังคงประดับด้วยรอยยิ้มอวดฟันซี่ขาว เห็นเช่นนี้หม่ากุ้ยเฟยจึงค่อยวางใจ รุนหลังให้เด็กน้อยก้าวเดินไปข้างหน้า
เหมยกุ้ยฮวาเดินมาหยุดอยู่ข้างเก้าอี้ที่ไทเฮาทรงประทับ ยอบกายทำความเคารพอีกครั้ง ทำท่าจะคุกเข่าลง แต่ไทเฮาทรงยื่นพระหัตถ์มารั้งไว้เสียก่อน
"ฮวาเอ๋อนั่งเถิด" ลี่ไทเฮาพยักพระพักตร์ไปทางเก้าอี้ตัวที่อยู่ถัดไป เหมยกุ้ยฮวาชะงักด้วยความไม่แน่ใจ นี่มิเท่ากับตีตนเสมอฮองเฮาหรอกหรือ พอไม่มั่นใจก็ไม่กล้าก้าวไปนั่ง เมื่อลี่ไทเฮาทรงทอดพระเนตรเห็นว่าเด็กน้อยไม่ยอมขยับไปเสียที จึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ด้วยพระสุรเสียงที่ดังขึ้นจนได้ยินไปถึงหน้าตำหนัก ซ้ำยังเจือด้วยการตำหนิอยู่สามถึงสี่ส่วน
"อายเจียสั่งให้เจ้านั่ง ไยจึงยังยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ พอมีคนอื่นอยู่ด้วย เจ้าก็หูหนวกไม่อยากได้ยินไปด้วยแล้วหรือ"
เหมยกุ้ยฮวาได้สติรีบยอบกายคารวะอีกหนึ่งครั้งแล้วรีบหมุนตัวลงนั่งตามคำสั่ง ไม่ลืมหันหน้ามาทางลี่ไทเฮา เลือกหันหลังให้จางฮองเฮา พลางก้มหน้าสงบนิ่ง เพราะรับปากหม่ากุ้ยเฟ้ยไว้แล้วว่าจะไม่ใช้อารมณ์นำการกระทำ แต่ก็ทำใจมองหน้าบุปผาไร้กลิ่นอย่างจางฮองเฮาไม่ได้เช่นกัน
ได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ จางฮองเฮาโมโหจนแทบลุกขึ้นมากระทืบเท้า คนอื่นหรือ ไม่อยากได้ยินหรือ ยังให้มานั่งข้างๆ ตีเสมอนางอีก นางเป็นใครแล้วนังเด็กน่าตายนี่เป็นใครกัน ไทเฮาไม่ไว้หน้าฮองเฮาเยี่ยงนางเกินไปแล้ว
"เด็กดี" ลี่ไทเฮาเอ่ยอย่างพอใจ
"ฮองเฮา เจ้าดูสิ เด็กน้อยเช่นนางจะทำสิ่งใดล่วงเกินอายเจียได้ เจ้าอย่าได้กังวลกับเรื่องขนไก่เปลือกกระเทียมเช่นนี้เลย จริงสิหรือเจ้ายังไม่รู้ เดิมทีฮวาเอ๋อนางเป็นเด็กที่สดใสร่างเริงมาก ทุกวันจะร้องเรียกบิดา และพี่ชายของนางอย่างประจบเอาใจ นางทั้งฉลาด ทั้งน่ารักน่าเอ็นดู บุรุษตระกูลกู่จึง รัก และถนอมนางยิ่งกว่าสิ่งใด"
ตรัสถึงตรงนี้ลี่ไทเฮาทรงส่ายพระพักตร์ไปมาแล้วทรงถอนพระปัสสาสะ(ถอนหายใจ)คราหนึ่ง พระเนตรทอดมองเหมยกุ้ยฮวาฉายแววสงสาร
"แล้วเจ้าดูตอนนี้สิ ต้องมาถูกทำร้ายจนพูดไม่ได้ ดีเพียงใดแล้วที่มิได้สติเลอะเลือนเสียจนรักษาไม่ได้ ช่างน่าสงสารยิ่งนัก เจ้าว่าหรือไม่"
ลี่ไทเฮาตรัสพลางลอบมองจางฮองเฮาไปพลาง นางหวังสิ่งใด มีหรือผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนจะรู้ไม่ทัน คิดอยากแทงรังแตนที่นี่ก็ลองดู
เหมยกุ้ยฮวาก้มหน้าปิดบังรอยยิ้มมุมปาก จางฮองเฮาท่านเดินหมากผิดซ้ำอีกครั้งแล้ว ใจนึกชื่นชมลี่ไทเฮาอย่างยิ่ง แต่ละวลีที่ลี่ไทเฮาเอ่ยออกมา ล้วนเฉือดเฉือน คมกริบบาดหูไล่ไปถึงใจคนฟังยิ่งนัก สามารถใช้คำพูดของฝ่ายตรงข้ามย้อนกลับไปจี้จุดตายได้อย่างแนบเนียน สมแล้วที่เป็นสตรีผู้อยู่เหนือสตรีทั้งแผ่นดิน 'ข้าน้อยเหมยกุ้ยฮวาขอซูฮกลี่ไทเฮา อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ท่านน่าเลื่อมใสยิ่งนัก' เหมยฮวารู้สึกชื่นชมอย่างจริงใจ
มือเรียวบางของจางฮองเฮากำแน่นจนสั่น เล็บยาวจิกลงบนเนื้อจนรู้สึกถึงโลหิต เพลิงโทสะสุมอกจนแทบกระอัก นางมิได้ใกล้ชิด และมิได้เป็นที่โปรดปราน ของลี่ไทเฮาอยู่ก่อนแล้ว เพราะลี่ไทเอาทรงโปรดปรานหม่ากุ้ยเฟยยิ่งนัก ส่วนนางเกลียดหม่ากุ้ยเฟยยิ่ง จึงเลี่ยงที่จะมาตำหนักปิงจิ้งเหอ เพราะไม่ต้องการเห็นหน้าตาซื่อๆ ทำตัวราวกับบริสุทธิ์ดุจดอกบัวขาวสูงค่าของหม่ากุ้ยเฟย
ถึงแม้จะไม่พอใจเพียงใดนางก็หาทำอันใดได้ไม่ จำต้องเอ่ยตอบลี่ไทเฮาอย่างเอาอกเอาใจ
"เสด็จแม่ทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวาง ทรงมีพระเมตตายิ่งนักเพคะ หม่อมฉันจะจำใส่ใจเป็นอย่างดี"
กล่าวจบก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบหวังใช้ดับโทสะที่ลุกไหม้ในทรวง
"หึ" ลี่ไทเฮาแค่นเสียงในลำคออย่างไม่คิดปิดบัง
"กงกง ให้ห้องเครื่องจัดสำรับ อย่าลืมกำชับให้เพิ่มสำรับสำหรับจางฮองเฮาด้วย" ลี่ไทเฮาสั่ง กงกง คนสนิทด้วยเห็นว่าเวลานี้ย่างเข้ายามเว่ย (13.00-14.59 น.) แล้ว ใกล้เลยเวลามื้อกลางวันแล้ว
"วันนี้ต้องรบกวนเสด็จแม่แล้วขอบพระทัยเพคะ" จางฮองเฮาไม่คิดปฏิเสธอยู่แล้วจึงรีบตอบรับ
"ฮวาเอ๋อ... เจ้าหิวหรือไม่" ลี่ไทเฮาหันไปถามเด็กน้อย มิสนใจใบหน้าบึ้งตึงของจางฮองเฮาอีก
เหมยกุ้ยฮวารีบเงยหน้าขึ้นยิ้มประจบ พยักหน้าติดกันหลายครั้ง ตอนนี้นางหิวมากแล้วจริงๆ ถ้าจางฮองเฮาไม่มาเวลานี้นางคงได้นอนกลางวันไปแล้ว
"โครกคราก" พอพูดถึงอาหาร พลันท้องน้อยๆ ก็ส่งเสียงประท้วง เพียงแต่มันดังจนได้ยินชัด เพราะภายในโถงห้องนี้เงียบเกินไป
หม่ากุ้ยเฟยถึงกับต้องยกมือขึ้นปิดปาก กลั้นหัวเราะอย่างยากลำบาก
ลี่ไทเฮาทรงพระสรวลด้วยความขบขัน
"ดูสิเราผู้ใหญ่ ทำเรื่องรังแกเด็กอย่างเจ้าอีกแล้วใช่หรือไม่"
เหมยกุ้ยฮวาได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ อย่างลุแก่โทษไปให้
จางฮองเฮารอบกรอกตาขาว แค่นเสียง "หึ" ขึ้นบ้าง เด็กน่าตายไร้มารยาทยิ่งนัก คนพวกนี้ก็พาลเลอะเลือน ไม่รู้จะเอ็นดูอะไรนักหนา นังเด็กนี่ทำอะไรก็ชื่นชอบไปเสียหมด นางรู้สึกขัดใจยิ่งนัก หากมิมีเรื่องสำคัญล่ะก็ นางไม่มีทางทนอยู่ที่นี่เป็นแน่ จริงสิ...นางไม่มีทางมาที่นี่ด้วยซ้ำ
มื้ออาหารกลางวันผ่านไปด้วยความกระอักกระอ่วน มีเพียงลี่ไทเฮาที่ทรงพระสรวลอย่างเกษมสำราญ ไม่สนพระทัยท่าทีกราดเกรี้ยวของจางฮองเฮา หรือท่าทีอึดอัดของหม่ากุ้ยเฟ้ย ทรงหยอกล้อพูดคุยกับเด็กน้อยเหมือนเช่นปกติ
แม้เหมยกุ้ยฮวาจะหาวออกมาหลายรอบแล้ว จางฮองเฮาก็ไม่มีทีท่าว่าจะขอตัวกลับ ด้วยร่างเป็นเด็กน้อย และยังถูกตามใจเสียจนเคยตัว พอกินอิ่มก็ตาจะปิด แต่จะให้ออกไปนอนเสียเฉยๆ ทั้งที่ผู้ใหญ่ยังนั่งกันอยู่เช่นนี้ นางก็ทำไม่ได้ ได้แต่พยายามฝืน สะบัดศีรษะไปมาไล่ความง่วงงุนออกไป แต่ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ เผลอสัปหงกอยู่หลายครั้ง
หม่ากุ้ยเฟยมองเหมยกุ้ยฮวา ด้วยความเป็นห่วง นางเองจะขอตัวกลับเพื่อให้ลี่ไทเฮาได้พักผ่อนก็มิกล้า ด้วยจางฮองเฮา ยังไม่กลับ หากนางกลับก่อนจะเป็นการเสียมารยาท จึงทำได้แค่นั่งมองฮวาเอ๋อของนางด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าจะหลับจนพลาดตกเก้าอี้ลงมา
จางฮองเฮายังคงนั่งหลังตรง สงบนิ่ง แม้ใบหน้าจะดูคลายโทสะลงไปแล้ว แต่ก็ยังไม่น่ามองสำหรับเมหยกุ้ยฮวาอยู่ดี
ลี่ไทเฮาทรงรู้สึกไม่พอพระทัยที่จางฮองเฮา ไม่รู้จักกาละเทสะเช่นนี้ เวลานี้จะพ้นยามเว่ย (13.00-14.59 น.) แล้วยังจะนั่งอยู่ที่นี่เพื่ออะไร เมื่อทอดพระเนตรเห็นเหมยกุ้ยฮว่าที่นังโงนเงนไปมาก้พลันสงสาร ไยจางฮองเฮาจึงต้องสร้างความลำบากให้เด็กคนนี้ไม่หยุดหย่อน คิดพลางให้มีโทสะจึงอดเอ่ยขึ้นไม่ได้
"อายเจียจะพักผ่อน หากจางฮองเฮามิมีธุระอันใดก็กลับไปเถิด ไม่ต้องรั้งอยู่ที่นี่หรอก"
"ถ้าเช่นนั้นเสด็จแม่เชิญพักผ่อน หม่อมฉันขอตัวก่อน ทูลลาเสด็จแม่เพคะ"
จางฮองเฮาเอ่ยพร้อมกับลุกขึ้นยอบกายคารวะ แม้จะไม่พอใจที่ลี่ไทเฮาเอ่ยไล่นางเพียงผู้เดียว แต่ก็ทำใจยอมถอยออกไป ด้วยคาดว่า น่าจะเป็นเวลาที่สมควรพอดี
หม่ากุ้ยเฟย และเหมยกุ้ยฮวาเห็นเช่นนั้นจึงลุกขึ้นทำความเคารพจางฮองเฮาด้วยการยอบการคารวะ หม่ากุ้ยเฟ้ยเป็นผู้พูดเพียงคนเดียวว่า "น้อมส่งเสด็จฮองเฮาเพคะ"
จางฮองเฮา ไม่มิทันเดินออกไปพ้นประตู พลันเกิดเสียงโวยวายดังขึ้นจากหน้าตำหนัก
ลี่ไทเฮาสบพระเนตรกับหม่ากุ้ยเฟยด้วยความสงสัย หม่ากุ้ยเฟยก็มีสีหน้าตระหนกเช่นกัน เหมยกุ้ยฮวารีบมองไปที่จางฮองเฮา แม้จะเห็นไม่ชัด แต่เสี้ยวหน้าที่ก้มลงของจางฮองเฮา ปรากฏรอยยิ้มเยียบเย็นครานึง แล้วจางหายไปเหมือนไม่เคยมี ในใจผุดลางสังหรณ์ไม่ดี เช่นนี้ไม่ดีแน่
ลี่ไทเฮารีบโบกมือให้ กงกงออกไปดู ขณะที่จางฮองเฮาหยุดนิ่งไม่ก้าวเดินต่อไปอีก
เพียงชั่วจิบชา กงกง ก็วิ่งกลับเข้ามาสีหน้าซีดเผือดคุกเข่ารายงานด้วยริมฝีปากสั่น
"ทูลไทเฮา องค์ชาย เป็นองค์ชายใหญ่ถูกวางยาพิษ พ่ะย่ะค่ะ"
เหมยกุ้ยฮวารีบหันไปทางหม่ากุ้ยเฟยทันที เห็นเพียงหม่ากุ้ยเฟยหลับตาลง นั่งนิ่งไม่ขยับ จึงหันกลับมามองลี่ไทเฮา ที่พระพักตร์ซีดขาวเพราะตกพระทัย พระหัตถ์สั่นเทาจนสังเกตได้ รีบคำนวณในใจ ด้วยนางอยู่ไกลจากหม่ากุ้ยเฟยเกือบ 1 จั้ง หากหม่ากุ้ยเฟยเป็นลมล้มพับไปนางจะวิ่งเข้าไปรับทันหรือไม่ หรือจะเข้าไปประคองลี่ไทเฮาที่อยู่ใกล้กว่า แต่ลืมคิดไปว่าตัวนางเองก็เล็กจ้อยถึงเพียงนี้จะไปรับร่างใครที่ใดได้เล่า เหมยกุ้ยฮวา มองแล้วมองอีกก็ไม่เห็นใครมีอาการเหมือนจะเป็นลม แม้ผ่านไปเพียงชั่วอึดใจ เหตุใดจึงรู้สึกราวกับนานนัก
"ตามหมอหลวงหรือยัง" ลี่ไทเฮาทรงยั้งสติได้ก่อนหม่ากุ้ยเฟยเอ่ยถามขึ้น
"หมอหลวงกำลังตรวจดูอาการองค์ชายใหญ่พ่ะย่ะค่ะ" กงกงที่ยังคงหน้าซีดปากสั่นเอ่ยตอบ
"อายเจียจะไปดูจิ้นเอ๋อ" ลี่ไทเฮาเอ่ยบอก กงกงพลันรีบลุกขึ้นมาประคองลี่ไทเฮาทันที
หม่ากุ้ยเฟยที่ตั้งสติได้แล้วลืมตาขึ้น เหมยกุ้ยฮวารีบเข้าไปประคองด้วยความเป็นห่วง สัมผัสได้ถึงมือเรียวบางที่ตบลงบนศีรษะนางเบาๆ สองที แล้วกุมมือนางให้เดินตามลี่ไทเฮาออกไป
เหมยกุ้ยฮว่ารู้สึกทึ่งกับท่าทีของหม่ากุ้ยเฟยยิ่งนัก บุตรชายเพียงคนเดียวถูกพิษยังตั้งสติได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ หากเป็นสตรีทั่วไปมิใช่ ร้องไห้ฟูมฟาย น้ำตารินจนน้ำท่วมไปแล้วหรือ ที่เขาว่า วังหลังเปลี่ยนสตรี เป็นเช่นนี้นี่เอง หากหม่ากุ้ยเฟยอ่อนแอแม้เพียงน้อย คงไม่อาจอยู่รอดปลอดภัยมาได้ถึงวันนี้ วันที่มีบุตรเป็นถึงองค์ชายใหญ่
อยู่ในมิติเวลานี้ไม่สามารถดูคนจากภายนอกได้เสียแล้ว เหมยกุ้ยฮวา รำพึงในใจ