4 บอกความจริง - 3

2001 คำ
 เมื่อได้มาช่วยหญิงสาวถือของอย่างนี้ ดรันจึงได้เห็นถึงความทุลักทุเลลำบากในการเดินทางของหล่อนที่ต้องนั่งรถรับจ้างแล้วต่อด้วยนั่งรถเมล์ ครั้นลงจากรถเมล์แล้ว ก็ต้องเดินต่อไปอีกราว ๆ ห้าร้อยเมตรจึงจะถึงที่หมาย         ตลอดทางที่เดินไปยังร้านตัดเย็บเสื้อผ้า เขาสังเกตว่า หญิงสาวดูมีความคุ้นเคยกับผู้คนในย่านนี้ดี จึงยิ้มแย้มพูดจาทักทายคนอื่น ๆ ไปตลอดทาง และจากนั้นเขาก็ยังเห็นเด็กชายเด็กหญิงสามสี่คนท่าทางมอมแมมเล็กน้อยได้วิ่งกรูเข้ามากอดตัวหล่อนอย่างคุ้นเคย หญิงสาวได้พูดคุย ลูบศีรษะ จับใบหน้าเด็กเหล่านั้นด้วยความเอ็นดู ก่อนจะเปิดกระเป๋าสะพาย หยิบเอาขนมที่แอบพกมาด้วยแล้วยื่นให้เด็กน้อยแต่ละคนไปทานกัน                                                          ดรันมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกอิ่มเอิบ ปลอดโปร่ง เพราะหญิงสาวดูมีความสุขสดใสยามได้ออกจากบ้านหลังนั้น อาจจะเป็นเพราะความสัมพันธ์ที่ง่อนแง่นของมารดาและพี่สาว บวกกับการที่หล่อนต้องรับภาระมากมายภายในบ้าน จึงทำให้หล่อนค่อนข้างวางตัวเป็นผู้ใหญ่เคร่งขรึมเกินวัยในครั้งแรกที่เขาได้พบกับหล่อนก็เป็นได้   เมื่อผละจากเด็กกลุ่มนั้น หล่อนก็พาชายหนุ่มเดินไปยังตึกแถวแห่งหนึ่ง โดยที่ตึกแถวดังกล่าวสามห้องแรกจะเป็นร้านขายผ้าขนาดใหญ่ และอีกห้องถัดไปก็ทำเป็นห้องรับตัดเย็บเสื้อผ้าทั่วไป หญิงสาวพาชายหนุ่มตรงไปที่ห้องตัดเย็บเสื้อผ้า จากนั้นหล่อนจึงหันกลับมาทางเขา พลางยื่นมือมาหาแล้วบอก "เอาห่อผ้ามาให้ฉัน แล้วใบ้ก็ไปนั่งรออยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน ฉันเข้าไปไม่นานหรอก"                           ชายหนุ่มรีบส่ายหน้า ถึงอย่างไรก็ให้หล่อนยกห่อผ้าเข้าไปเองไม่ได้เพราะห่อผ้าค่อนข้างมีน้ำหนัก เขาขอเดินเข้าไปเองจนหญิงสาวร้องห้ามแทบไม่ทัน พอเขาเดินเข้าไปภายในร้าน ก็เห็นหญิงวัยกลางคนสี่ห้าคนกำลังตัดเย็บเสื้อผ้ากับจักร และมีหญิงสาวร่างท้วมที่เหมือนจะเป็นเจ้าของร้านคอยควบคุมอยู่ด้วย                                            ครั้นเห็นชายหนุ่ม และหญิงสาวที่เดินเข้ามาภายในร้านจึงหันมายิ้มให้ ชายหนุ่มวางห่อผ้าลงไว้กับเก้าอี้ไม้รับแขก ก่อนจะถอยออกไปยืนห่าง ๆ กระนั้นก็ยังแกล้งทู่ซี้ไม่ยอมออกไปรอนอกร้าน เพื่อจะได้ลอบฟังบทสนทนาของคนทั้งสองไปด้วย   พะนอขวัญยกมือไหว้เจ้าของร้านรับตัดเย็บผ้า ผู้หญิงเจ้าของร้านร่างอ้วนฉุท่าทางยิ้มแย้มดูใจดีทีเดียวรับไหว้หล่อนแล้วก็พากันนั่งลงกับชุดเก้าอี้ไม้รับแขก พูดคุยกันไม่นานหญิงร่างอ้วนฉุจึงเปิดห่อผ้าเพื่อนับดูชิ้นงาน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วบอกหญิงสาวว่า "ครบจ้ะ"                                                                                         จากนั้น ดรันจึงได้ยินผู้หญิงเจ้าของร้านเอ่ยปากชมหญิงสาวตรงหน้าที่ตนพอจับใจความได้ว่า     พะนอขวัญเป็นคนมีฝีมือในการฉลุลายผ้า มักจะมีลูกค้ามาที่ร้านนี้จำนวนไม่น้อย เพื่อซื้อผ้าที่หล่อนฉลุลวดลายเพราะหล่อนมักจะมีลายผ้าที่ได้รับการฉลุลายแบบใหม่ ๆ มาให้กับทางร้านเสมอ ลูกค้าส่วนมากจะเป็นสตรีวัยกลางคน เป็นแม่บ้าน ที่ชอบงานฝีมืออันละเอียดลออเช่นนี้ แล้วมักจะซื้อผ้าที่ได้รับการฉลุลวดลายไปทำริมปลอกหมอนบ้าง ทำลายผ้าบังตาที่ขึงไว้ตามหน้าต่างบ้าง และที่เป็นที่นิยมมากที่สุดก็เห็นจะเป็นการนำไปทำริมผ้าเช็ดหน้า ที่ผู้หญิงต่างก็มีไว้พกพากรีดกรายไปตามที่ต่าง ๆ นั่นเอง   "เมื่อกี้ มีใครคนหนึ่งมารอเจอขวัญด้วย เพราะคิดว่าวันนี้ขวัญน่าจะมาส่งผ้าเอง แต่รอได้ไม่นานก็ขอตัวกลับ เห็นบอกว่ามีธุระต่อ"                                                                                                    "มีอะไรกับขวัญหรือคะ" หญิงสาวถามกลับอย่างสนใจ                      "คุณเขาอยากให้ขวัญฉลุลายผ้าเช็ดหน้าน่ะ คุณเขาอยากทำเป็นของขวัญวันเกิดให้ลูกสาว และจะได้เอาไว้ใช้เองด้วย"                   "หรือคะ แล้วขวัญจะรู้ได้อย่างไรคะ ว่าลวดลายแบบไหนที่คุณเขาอยากได้ ขวัญจะได้ทำให้"    "นี่จ้ะ คุณเขาวาดลายคร่าว ๆ เอาไว้ในพิมพ์กระดาษ เขาฝากไว้แล้ว ส่วนผ้าที่จะใช้ตัดเย็บผ้าเช็ดหน้าคุณเขาก็เตรียมไว้ให้แล้ว แค่ให้ขวัญฉลุลวดลายผ้าให้ตามแบบนี้ก็พอ"                                     พะนอขวัญรับสิ่งที่อีกฝ่ายยื่นให้ ก่อนจะกางกระดาษแผ่นนั้นออก แล้วหล่อนจึงอ่านอักษรที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าชัด ๆ ว่า "ชลันทร"                     "เป็นนามสกุลของคุณเขาน่ะจ้ะ"                                                    "แล้วดอกไม้ที่เป็นพวงล้อมรอบนามสกุลก็คือพวงดอกปีบ..." พะนอขวัญลองเดาดู หล่อนเงยหน้าขึ้น ถามกลับอย่างสนใจ "มีความหมายอะไรคะ ถึงได้เจาะจงดอกไม้ชนิดนี้"                                      "ใช่จ้ะ ดอกปีบ คุณเขาเล่าว่า ก่อนวันที่ลูกสาวของคุณเขาจะเกิด วันนั้นดอกปีบที่บ้านร่วงเต็มสนามหญ้า มองไปทางไหนก็ขาวโพลนไปหมด กลางคืนก็ได้แต่กลิ่นดอกไม้นี้หอมอบอวลไปทั่วห้องนอน คุณเขาจึงอยากให้ขวัญฉลุลายดอกไม้ชนิดนี้อยู่บนผ้าเช็ดหน้าด้วย"                                                                                        "ท่าทางคุณเขาจะรักลูกสาวมาก" พะนอขวัญเอ่ยตามที่ตนเองสัมผัสได้จากเรื่องที่ได้รับฟังนี้                                               "ใช่จ้ะ คุณเขามีลูกสาวเพียงคนเดียวน่ะ เห็นว่ากว่าจะได้ลูกสาวคนนี้มา ก็ตระเวนขอลูกสาวไปตามวัด ตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ จนได้มา เพราะคุณเขามีลูกยาก พอมีแล้วจึงรักลูกสาวคนนี้มาก อะไรที่เกี่ยวข้องกับวันที่ลูกสาวจะเกิด คุณเขาจึงจดจำได้ดีทีเดียว ดอกปีบเลยมีความหมายต่อคุณเขาต่อลูกสาวอย่างนี้"                       "มิน่า ดอกนี้ใคร ๆ ก็ชอบ ขวัญยังชอบเลยค่ะ มีอยู่ที่บ้านสองสามต้น ขวัญปลูกเอาไว้เอง"   "จ้ะ ว่าแต่ ขวัญทำได้มั้ย"                                                              "ได้ค่ะ ขวัญจะทำให้ ไม่รู้ว่าจะถูกใจคุณเขาและลูกสาวจะชอบหรือเปล่านะคะ"        "ได้อยู่แล้ว ขวัญน่ะมีพรสวรรค์กับงานพวกนี้นี่"                         "แล้วคุณเขาชื่ออะไรหรือคะ"                                                         "ชื่อ...คุณผกากรอง"                                                                        หล่อนนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ไม่เข้าใจว่าจะสะดุดใจทำไมกับชื่อนี้นัก ก่อนจะรับคำอย่างแข็งขันว่า "งั้นขวัญจะทำให้ตามนี้นะคะ"             "จ้ะ"                                                                                         หล่อนยิ้ม จากนั้นเจ้าของร้านตัดเสื้อผ้าจึงเปิดกระเป๋าแล้วหยิบเงินยื่นให้หญิงสาว พะนอขวัญยกมือไหว้ พลางรับเงินค่าตอบแทนมา แล้วบอกลาเจ้าของร้าน เจ้าของร้านจึงเดินมาส่งหญิงสาวที่หน้าร้าน และเหมือนอีกฝ่ายจะนึกขึ้นได้ จึงถามถึงชายหนุ่มหน้าตาดีที่มายืนรอหญิงสาวภายในร้านอย่างเงียบ ๆ ด้วย "แล้วนั่นใคร น้าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน"  หล่อนยิ้มให้เจ้าของร้านก่อนจะหันมาบอกว่า "หลานของป้าช้อยค่ะ”  "เพิ่งมาจากต่างจังหวัดล่ะสิ น้าถึงได้เพิ่งเห็นหน้า"                          พะนอขวัญยิ้มรับกับเจ้าของร้านนี้อีกครั้ง เหมือนเป็นการตอบรับกลาย ๆ ก่อนจะยกมือไหว้ลาเจ้าของร้านรับตัดเย็บผ้าไป แล้วก็หันไปพยักหน้าให้ชายหนุ่มเพื่อเตรียมตัวกลับ                                ระหว่างทางเดินกลับไปขึ้นรถเมล์ พะนอขวัญเห็นร้านขายเครื่องดื่มเย็น ๆ ร้านหนึ่ง หล่อนสงสารชายหนุ่มที่ช่วยหอบหิ้วของให้และอากาศยามบ่ายนั้นก็ร้อนจัดด้วย จึงชวนเขาแวะดื่มอะไรเย็น ๆ ที่ร้านนี้ก่อน                 ขณะที่กำลังนั่งรอเครื่องดื่มที่เถ้าแก่ร้านกำลังชงให้ สายตาของชายหนุ่มที่นั่งตรงกันข้ามก็มองหล่อนอย่างจับจ้อง คล้ายกำลังฉงนบางอย่างในตัวหญิงสาวไปด้วยกระนั้น                                              พะนอขวัญจึงยิ้มอย่างขัน ๆ เล็กน้อยแล้วลองถามกลับว่า "จากแววตาของใบ้ บอกว่า ทำไมฉันถึงชอบงานฉลุลายผ้าแบบนี้นักใช่มั้ย"    ต่อมาคล้ายจะเห็นอาการประหลาดใจบนแววตาคมคู่นั้น หล่อนจึงหัวเราะออกคำหนึ่ง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นหล่อนหัวเราะ หัวใจของชายหนุ่มจึงพลอยเต้นแรงตามไปด้วย       พะนอขวัญเป็นคนมีอารมณ์ละเอียดอ่อน หล่อนจึงสามารถสื่อสารกับแววตาคู่นี้ของเขาได้ แม้ไม่ผ่านการพูดจาเพียงแค่มองแววตาเขาก็รู้ความหมาย ซึ่งสำหรับดรันนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่อัศจรรย์ น่าประหลาดใจทีเดียว   ดรันรีบพยักหน้า รู้สึกตะลึงไปเหมือนกันที่หญิงสาว สามารถคาดเดาอะไรเช่นนี้ได้ ความจริงเรื่องราวของหล่อนมากมายที่เขายังไม่รู้ และคิดว่าคงมีความตื้นลึกหนาบางบางอย่างภายในบ้านหลังนั้นอีกด้วย และตอนนี้อาชาก็กำลังสืบความเป็นมาเป็นไปของบ้านหล่อนควบคู่ไปกับการตามหานายใบ้ตัวจริงให้กับเขาอีกด้วย              "เมื่อก่อนตอนฉันเรียนหนังสือที่โรงเรียน อาจารย์แหม่ม..." หล่อนหมายถึง อาจารย์ที่สอนวิชาภาษาอังกฤษให้และเป็นชาวอังกฤษ "ท่านเป็นคนสอนงานฉลุลายผ้าให้ฉันเอง ฉันก็เลยชอบ เพราะทำแล้วรู้สึกสงบ ไม่วุ่นวายและมันทำให้ฉันเจ็บปวดจากเรื่องของคุณแม่ได้น้อยลง..." พะนอขวัญรู้สึกอย่างที่บอกกับนายใบ้จริง ๆ หล่อนมักจะใช้การฉลุลายผ้า เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งจากมารดาและพี่สาว หล่อนเหมือนได้รับการบำบัด เยียวยาความเจ็บปวดต่อการนั่งทำงานฝีมือชนิดนี้ มาก ๆ เข้าจึงเกิดเป็นความสงบ และหล่อนจึงเริ่มยึดการฉลุลายผ้าเป็นการสร้างรายได้ไปในตัวอีกทาง สุดท้าย จึงยึดทำเพื่อใช้เลี้ยงตนเองและเลี้ยงคนอื่น ซึ่งงานนี้อาจจะทำให้หล่อนได้เงินไม่มากนัก แต่ในเมื่อหล่อนไม่ได้เป็นพวกฟุ่มเฟือย ที่ผ่านมาก็ใช้จ่ายอย่างประหยัด และรู้จักเก็บหอมรอมริบ จึงทำให้ไม่ได้เดือดร้อนอะไร   ขณะที่หญิงสาวกำลังเอ่ยถึงมารดาและพี่สาว ดรันราวกับจะเห็นน้ำตาขึ้นมาคลอขังฉาบฉานอยู่บนดวงตาสีดำคู่ตรงหน้า แต่ก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อหล่อนได้กะพริบตาเพื่อไล่น้ำตาที่ไหลรื้นนั้นไปเสีย   ความเงียบงันคล้ายปรากฏขึ้นมารอบ ๆ ตัวของคนทั้งคู่ ดรันได้นึกถึงคำเตือนของอาชาขึ้นมา ในเรื่องการบอกความจริงให้หญิงสาวตรงหน้าได้รับรู้เสียทีว่า เขาคือใคร เขาไม่ใช่คนบ้าใบ้ แต่เป็น ดรัน อาจณรงค์ ต่างหาก  ภายใต้โต๊ะทรงกลมที่ทั้งสองกำลังนั่งรอเครื่องดื่ม ขายหนุ่มได้กุมมือทั้งสองเข้าด้วยกันอย่างแน่นเกร็ง สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นจนมีเหงื่อผุดซึมออกมาจากฝ่ามือทั้งสอง เพราะถือว่านี่จะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เขาจะตัดสินใจสารภาพความจริงต่อหล่อนออกมาแล้ว ทว่า...                                                                                      "มาแล้วค่ะพี่ขวัญ ชาเย็น และโอเลี้ยงเย็น ๆ"                                 เสียงของลูกสาวเถ้าแก่พร้อมกับเครื่องดื่มสองแก้วที่ถูกนำมาวางลงตรงหน้า ทำให้ชายหนุ่มทำได้แค่เพียงขยับริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นหญิงสาวก็หันไปคุยกับลูกเถ้าแก่คนนั้นต่อ ดรันจึงทำได้แค่ เสมือหยิบเครื่องดื่มตรงหน้าขึ้นมาดื่มดับกระหาย และดับอาการของใจที่กำลังเต้นโครมอยู่ในอกลงเสีย                              เป็นอันว่าโอกาสที่เขาจะเอ่ยความจริงกับหล่อน จึงถูกทำลายลงไปแล้วเป็นครั้งแรก …
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม